ความคิดเห็นที่ 1 ยังไงเมืองไทย ต้องยอมรับว่า ตลาด Equity ยังนิยมมากกว่าครับ ถ้าให้ผมเลือกระหว่าง Fixed income กับ Equity ผมเลือก Equity นะ อีกสิบปีข้างหน้า Equity ก็ยังน่าสนใจมากกว่า แต่ตอนนี้ผมเริ่มจะสนใจตลาด Derivatives แล้ว เพราะสนุกเร้าใจกว่า (มันเป็น The Big Casino ของจริงเลยล่ะครับ) แต่จะเป็น Derivatives FM ได้ ต้องได้ CFA 3 ก่อนล่ะครับเพราะ ก.ล.ต. เพิ่งออกกฎใหม่ มาตอน ก.ค. นี่เอง ตอนนี้คงต้องตามเก็บให้ได้ก่อน ผมมองว่า ภายในสิบปี ตลาด Derivatives บูมแน่นอน และต้องเงินดีมากๆ แน่ สำหรับ FM เพราะนิสัยคนไทย รักการพนันเป็นที่สุด ตลาดนี้ จะเป็นแหล่งดูดเงินชั้นดี ของแมงเม่าเงินหนาครับ ส่วนพวกเจ้ามือ รายใหญ่ กินเงินแน่นอน ถ้าให้มองภาพ 10 ข้างหน้า Equity ก็ยังจะได้รับความนิยมต่อไป และ Derivatives จะมาแรง ส่วน Fixed Income จะ so so ครับ ต้องแล้วแต่ความถนัดของคุณด้วยแหละครับ ว่าชอบแบบไหน ถึงโอกาสดี เงินดี แต่คุณไม่ถนัด ทำแล้วไม่ชอบ ก็อย่าไปทำเลยครับ เพราะ FM มันเครียดอยู่แล้ว ทำในสิ่งที่ตัวเองรักและถนัดจะดีที่สุด ผมนี่ Fixed Income ไม่ถนัดเลยครับ เคยมีติดต่อมาหลายที่ ให้ผมทำด้าน Fixed Income ผมตอบปฏิเสธตลอด เพราะรู้ตัวครับ จากคุณ : หมากเขียว - [ 9 ต.ค. 48 02:17:49 ]

ความคิดเห็นที่ 2 เรื่องอนุพันธ์จะเป็นอย่างนั้นจริงหรือครับคุณหมากเขียว(เรียนถามตามตรงด้วยความไม่รู้นะครับ) จริงอยู่ครับที่ตลาดอนุพันธ์นั้นของเมืองนอก(โดยเฉพาะอเมริกา)จะใหญ่มาก เเต่ของไทยนั้นจ้อยร่อยเหลือเกิน เเละปัญหาที่สำคัญผมว่ามีอยู่2อย่างครับคือ 1.บุคคลากร  ในเมืองไทยขาดเเคลนบุคคลากรด้านนี้มากๆ พวกเด็กจบใหม่จะหาคนที่เชี่ยวชาญด้านนี้ได้น้อยมากเลย  ที่มหาลัยของผม(สมัยป.ตรีนะ)คนที่เรียนวิชานี้  เชื่อไหมครับมีคลาสนึงไม่ถึง5คน(เเละไม่เคยมีถึงมานานเเล้ว) . .ส่วนนึงคงเป็นเพราะความยากของมันด้วยมั้งครับ . . .สำหรับป.โทเราก็มัปัญหาเพราะเราไม่มีหลักสูตรfinancial engineeringที่เปิดสอนกันภายในประเทศ  เท่าที่ทราบของธรรมศาสตร์จะมีเเต่ก็เป็นเพียงวิชาหนึ่งของไฟเเนนซ์  สำหรับนิด้าได้ข่าวว่าจะเปิดเเต่ก็น่าจะเป็นข่าวโคมลอยเสียมากกว่าเพราะได้ยินมากหลายปีเเล้วยังไม่เห็นมีอะไรเกิดขึ้นครับ   2.ผมว่าเรื่องตราสารอนุพันธ์เป็นเรื่องเชิงเทคนิคค่อนข้างสูงครับ  คนทั่วไปไม่มีความรู้เลยเเละที่สำคัญไม่มีเเม้กระทั่งความคุ้นเคยว่ามันคืออะไร  ทั้งตัวอาจารย์หรือนักวิชาการเอง คนที่จบfinancial engineeringมาโดยตรงมีน้อยมากๆครับ ยอมรับตามตรงว่าผมเอกยังไม่รู้จักเลยความในไทยมีใครจบด็อกเตอร์ด้านนี้มาบ้าง     . . ผมต้องการจะบอกว่ารากฐานเรายังหลวมอยู่มากๆเลยครับ  โดยส่วนตัวเลยคิดว่าที่คุณบอกว่าอีก10ปีจะบูมคงเร็วไป ผมมีเพื่อนคนนึงเป็นfinancial engineerมันก็ยังกลุ้มใจอยู่ครับว่า ถ้าจะเอาดีทางด้านนี้จริงในอนาคตอาจต้องไปทำงานที่สิงคโปร์(ซึ่งมันก็ไม่อยากไป)  ที่เเย้งมาก็คือต้องการเเลกเปลี่ยนความเห็นนะครับ  ถ้าคนอื่นว่ายังไงก็ลองเเลกเปลี่ยนมาครับ จากคุณ : har har (har har) - [ 9 ต.ค. 48 11:04:29 ]

ความคิดเห็นที่ 3 กระทู้นี้มี fixed income fund manager ด้วย เดาว่าเดี๋ยวซักพัก Goddess ต้องแว่บมาตอบแน่ๆ อิอิ จากคุณ : Quantie - [ 10 ต.ค. 48 10:47:39 A:unknown X:203.146.147.102 TicketID:106665 ]

ความคิดเห็นที่ 4 ผมคิดแบบนั้นจริงๆ น่ะครับ ปีหน้าก็จะเริ่มเทรด index future อย่างเป็นทางการ เป็นของเล่นใหม่ของพวกเงินหนา ยังไง ผมคิดว่า index future บูมแน่ๆ ครับ เพราะรับเทรดเฉพาะผู้ที่มีเงินหนา และสถาบัน เงินสะพัดแน่นอน เพราะมันเป็น The Big Casino อย่างที่ผมบอกตอนแรก บุคคลากร ตอนนี้ ในสาย FM ผมว่า มีพอสมควรนะครับ ระดับ CFA3 นี่ แต่ละที่มีกันหลายคน รองรับระบบได้สบาย ระยะเวลาสิบปี น่าจะผลิตบุคคลากรได้พอสมควรนะครับ ไม่ต้องขึ้นขั้นด๊อกฯ ทาง Derivatives หรอกครับ ด๊อกฯ ทาง สาย RM มีเพียบเลยครับ ครอบคลุม Derivatives อยู่แล้ว คนทั่วไปนี่ ยอมรับว่า Derivatives คงเป็นเรื่องลึกเกินไปสำหรับพวกเขา แต่ตลาดนี้ สำหรับ พวกรายใหญ่ กับสถาบันอยู่แล้วครับ ถ้าผมจำไม่ผิด พอร์ทต้องเกิน 10 ล้านขึ้นไปถึงจะเทรดได้ และเทรดคราวละไม่ต่ำกว่า 3 ล้าน (ถ้าจำไม่ผิดนะ ต้องไปเชคตัวเลขอีกที) ซึ่งคิดว่า พวกนี้คงมีความรู้ Derivatives พอสมควรล่ะครับ Derivatives จะเป็นเนื้อหาหนึ่งในวิชา RM ซึ่งตอนผมเรียน ผมชอบเครื่องมือชนิดนี้มากๆ เป็นวิชาที่สนุกที่สุดในบรรดาวิชาที่เรียนนะ ในความคิดผม เพราะกลยุทธ์มันหลากหลายดี และมีโอกาสทำ Arbitrage ได้สูงกว่าเครื่องมืออื่นๆ จากคุณ : หมากเขียว - [ 10 ต.ค. 48 12:39:45 ]

ความคิดเห็นที่ 5 แต่ผมชอบ Fixed income มากกว่า Equity นะ ผมว่ามันสนุกกว่า  ยิ่งพอมี Embeded Option เข้ามาด้วยยิ่งชอบเลย   ผมมองว่าตลาดตราสารหนี้เมืองไทยน่าจะใหญ่กว่านี้ ในประเทศที่เจริญแล้วส่วนใหญ่ ตลาดตราสารหนี้จะต้อง ใหญกว่า ตลาดตราสารทุน ไม่ใช่เหรอ ส่วนเรื่องตราสารอนุพันธ์  ผมว่าถ้าสำหรับคนที่ชอบความ เสี่ยง ผมว่ามันก็คือการแทงขึ้นแทงลงดีๆ นี่เอง จากคุณ : cfamania (CfaMania) - [ 11 ต.ค. 48 20:39:56 ]

ความคิดเห็นที่ 6 ตราสารอนุพันธ์ทำอะไรได้หลายอย่างนะครับ ทำได้มากกว่าการแค่แทงขึ้นแทงลงอ่ะครับ เพียงแต่ตอนนี้ตลาดยังใหม่มาก และ intrument ก็น้อยครับ เลยยังประยุกต์อะไรไม่ค่อยได้ แต่ถ้ายาวๆนี่น่าสนใจนะ ผมเป็นอีกคนที่คิดว่าอีกหน่อยตลาดนี้คงจะน่าสนใจทีเดียว จากคุณ : Quantie - [ 12 ต.ค. 48 10:25:15 A:unknown X:203.146.147.102 TicketID:106665 ]

ความคิดเห็นที่ 7 ผมเชื่อว่าคนที่เรียนจบปริญญาตรี คณิตศาสตร์ หรือสถิติสามารถทำงานด้าน financial engineer ได้นะครับ ผมอยากจะบอกบริษัทต่างๆที่หาบุคลากรสายวิชาชีพนี้ ลองให้ความสนใจกับนิสิตที่จบทางสถิติและคณิตศาสตร์ดูครับ ผมเรียนจบสถิติมา ซึ่งความรู้ที่เรียนมาผมเชื่อว่านำมาใช้ในการออกแบบ model ทางการเงินได้นะครับ (ไม่แน่ใจครับ) จากคุณ : plodium - [ 14 ต.ค. 48 10:47:21 ]

ความคิดเห็นที่ 8 ผมก็คิดว่า ตลาด Derivatives เป็นตลาดที่น่าสนใจและน่าจะบูม และที่สำคัญ บุลคลากรก็ยังน้อยอยู่..พอดีมี Background ด้าน Engineering กับ Economics มาก็เลยตัดสินใจมาเรียนด้านนี้ที่อังกฤษ.. พร้อมๆกับ self-study สอบ CFA ควบคู่กันไป..   นี่ก็เริ่มเรียนมาได้สองอาทิตย์..ก็หนักพอดูเลยทีเดียว แก้ไขเมื่อ 14 ต.ค. 48 14:45:39 จากคุณ : Shanky - [ 14 ต.ค. 48 14:43:58 ]

ความคิดเห็นที่ 9 พูดตรงๆนะคับ(เป็นการมาเยี่ยมครั้งแรกเลยนะเนี่ยอิอิ ลงชื่อหนับหนุนเพิ่งโผล่มาอ่าิ) ช่วงนี้เครียดงานเยอะนิด และกำลังปรับปรุงเทคนิคอย่างจังพร้อมกะสอบปี 4ของมหาลัี่ยอีก งานหนักโคด เอาเริ่มเรื่องใหม่หุๆ พูดตรงๆนะคับ ดวงมีผลอย่างไรต่อการลงทุน ผมได้ประสบพบเจอมาด้วยตนเองแล้วอย่างยิ่ง และบอกได้ตรงๆเลยว่า  เรื่องดวงจะไม่เกี่ยวกับเทคนิคที่เราใช้ในการลงทุนเลยสักนิดครับ แต่มันกับไปเกี่ยวเรื่องของการทำอย่างอื่นเช่น เน็ตเสีย(เน็ต56kห่วยๆแต่modemดีก็เท่านั้น)เลยตัดสินใจไม่เข้าซื้อขายดีกว่าเรา ไม่พร้อมไม่เข้า และเป็นไงหรอหุๆ ที่คิดไว้ดันถูก และเราก็อด ต้องรอรอบใหม่ ยังไม่พอ เอ้......ทำไมตัวนี้วันนี้ไม่ไปเลยอ่าเนี่ย เปลี่ยนใจดีกว่าไปเข้าอีกตัวแทนเพื่อจะดี ทำไปทำมากลับไม่ไปไหน แต่ตอนที่เราออกมานั้นตัวนั้นกลับไปดีซะอย่างนั้น >_< เอ่อ อะไรกานนี่ ผมต้องลำบากลำบนไปถึงใจกลางเมืองกรุงเทพเพื่อไปซื้อการ์ดมาเล่นเน็ตไร้สาย(ลงทุนโคดอิอิ) มีเงินไม่ใช่คำตอบเสมอไป กว่าจะไปถึงเหนื่อยมากๆ เจอรถติดห้าแยกลาดพร้าว ขับรถไปเองยังเหนื่อย กว่าจะไปหาซื้อมาเล่นเน็ตออนไลตลอดเวลาได้ อ่านะ เล็กน้อยๆครับประสบการณเรื่องดวงกับการลงทุน เชื่อเถอะไม่มีผลหรอก แต่พอเวลาดวงคุณบีบคุณจะไม่ให้ได้กำไร มันจะทำให้คุณไม่ได้เองทางใดทางหนึ่งแ่น่นอน เพราะฉะนั้นผมจึงรู้อีกอย่างว่าการทำไรคนเดียวมันเหนื่อย............จริงๆ  มีสองย่อมดีกว่าหนึ่งแน่ๆ แต่ตูยังหาแฟนไม่ได้เลยเว้ยยยยยยยยย ^^" กลุ้มนิด ปล.ผมเข้าเทรดจริงแล้วคับ แต่ไม่ใช้ตลาดหุ้นไืทย แต่เป็นที่ไหนอย่างไรขออุบนิดนึงแล้วกาน(แต่เดาไม่ยากและคิดว่าทุกท่านก็เดาถูก) แต่ถามว่าผมได้กำไรไหม ยังไม่ได้เลยขาดทุน เพราะการเล่นจริงกันในเกม มันต่างกันมากมายทั้งความเครียดที่จะได้รับ(สุดยอดประทับใจ)ผมกำลังเปลี่ยนความพ่ายแพ้เป็นพลังต่อสู้อยู่ ยิ่งแพอีก้ ยิ่งพัฒนา การแพ้ที่แท้จริง ไม่ได้อยู่ที่การผิดพลาดอยู่เสมอ แต่การแพ้ที่แท้จริง คือการแพ้ที่ไม่ยอมรับและแก้ไขนะคับทุกท่าน (ปล.เรื่องเมื่อสัปดาห์ก่อนเองนะเนี่ยอิอิ) แก้ไขเมื่อ 17 ต.ค. 48 00:11:15 จากคุณ : Moonzonezturn - [ 17 ต.ค. 48 00:07:21 ]

ความคิดเห็นที่ 10 ขอแย้งอีกนิดหนึ่ง คนที่ทำ model การเงินการลงทุนได้เก่งๆ ผมให้คนที่มาจากสาขา วิศวะคับ 5555 และที่พลาดไม่ได้ผมให้นักปรัญชากับนักจิตวิทยาเป็นของแถมด้วยแล้วกาน จากคุณ : Moonzonezturn - [ 17 ต.ค. 48 00:17:07 ]

ความคิดเห็นที่ 11 ใช่ครับ ควรมีนักปรัชญานะ อย่างน้อยก้อเอาไว้เถียงกับลูกค้า จากคุณ : ! o_o ! - [ 26 ต.ค. 48 01:16:56 ]

ความคิดเห็นที่ 12 #3 มา mention ถึงชั้นทำไมยะ "โดยส่วนตัวแล้วผมรู้สึกว่าคนไทยโดยส่วนใหญ่ยังให้ความสนใจกับตลาดหุ้นมากกว่าตลาดตราสารหนี้ แต่เท่าที่ได้สัมผัสมารู้สึกว่า fixed-income FM จะทำงานหนักและเหนื่อยกว่า equity FM (อาจเป็นเพราะกองทุนตราสารหนี้มีกฏระเบียบจุกจิกมากกว่ากว่ากองทุนตราสารทุน) เคยได้ยินมาว่า equity FM จะต้องมีทั้งดวและฝีมือต่างจากทาง fixed-income ทีดูจะใช้ฝีมือมากกว่าดวง" ตอบเจ้าของกระทู้ ความเข้าใจของคุณถูกต้องทุกประการคร้าบผมมมมม ************************ ในประเทศที่พัฒนาแล้ว ตลาดตราสารหนี้มีขนาดใหญ่กว่าตราสารทุนมาก แม้แต่เมืองไทยก็ตาม Asset management companies ก็มี port ตราสารหนี้ใหญ่กว่า port หุ้นตั้งไม่รู้กี่เท่า (หรือกองทุนที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทย คือกบข.และประกันสังคม port หุ้นเค้าก็แค่ประมาณ 7-15% เท่านั้นเอง) Fund Manager ที่ดังที่สุดในโลกก็เป็น Fixed-income FM (ไม่แน่ใจว่าพวกคุณจะเคยได้ยินชื่อกันหรือเปล่า เรากำลังพูดถึง Bill Gross แห่ง PIMCO ซึ่งเค้ามี market influence ระดับน้องๆ Greenspan เลย  ออกมาพูดอะไรนิดนึง ก็ทำตลาดป่วนได้) และจากข้อมูลปี 2004 จากนิตยสาร Fortune (มั้ง) ได้ทำการสำรวจรายได้+โบนัสเฉลี่ยใน Wall Street ก็ปรากฎว่าผู้ทำงานด้านตราสารหนี้ได้รับผลตอบแทนสูงสุด (แต่ในที่นี้คือ bond traders นะคะ ไม่ใช่ bond FM) สรุปเป็น fixed-income FM จะเจ๋งกว่า ก้าวหน้ามากกว่าในประเทศที่พัฒนาแล้ว แต่เนื่องจากเราอยู่เมืองไทย ดังนั้นในการคำนวณโอกาส ความก้าวหน้าในอนาคต คุณก็ต้องวิเคราะห์ว่าอีก 10 ปี เมืองไทยจะสามารถพัฒนาตลาดตราสารหนี้ไปได้ในระดับไหน ถ้าคิดว่าน่าจะโตเร็ว เพราะรัฐบาลสนับสนุน ก็น่าจะทำด้านนี้เพราะว่า หาคนมีประสบการณ์ตรงได้ยาก โดย nature แล้ว bond valuation มันซับซ้อนกว่าหุ้นอยู่แล้ว (คิดง่ายๆว่า คนเล่นหุ้นกันทั้งเมือง แต่คนเล่น bond มีไม่กี่คน เพราะฉะนั้นถ้าได้ทำตรงนี้มันก็โดดเด่นพอสมควร It's just a matter of standing out from the crowd.) หรือคิดอีกแบบว่า ให้ bond FM ย้ายไปดู port หุ้น มันก็ไม่เหลือบ่ากว่าแรงอะไร  ยังไงก็เล่นหุ้นกันเป็น/คุ้นเคยกับตลาดหุ้นอยู่แล้ว แต่ถ้าให้ equity FM ย้ายไปดู port bond อันนี้อาจถึงขั้นกระอักเลือด เพราะตลาดตราสารหนี้มันคนละเรื่องเลย คนไม่ได้อยู่ในวงการจะไม่คุ้นเคย ไม่รู้จัก ต้องจับมาเทรนใหม่หมดตั้งแต่ basic การดูราคา bid/ask yield จาก dealer (เพราะเป็นตลาด OTC) การดู yield curve, duration, spreads ฯลฯ แต่ในทางกลับกันถ้าคิดว่ายังไงๆ เมืองไทยก็คงบ้าเล่นหุ้นไปอีก 20-30 ปีอย่างนี้ แล้วตลาด bond ก็คงยังไม่เกิดจริงๆจังๆ ก็ควรเลือกทำด้าน equity ค่ะ เพราะโอกาสโชว์ performance เจ๋งๆมีมากกว่าแยะ จากคุณ : Goddess - [ 26 ต.ค. 48 19:57:10 ]

ความคิดเห็นที่ 13 สำหรับตลาด Futures market (TFEX) นั้น product แรกจะเริ่มด้วย SET50 index futures ส่วน product ต่อมา plan ว่าจะเป็น bond futures ค่ะ จากคุณ : Goddess - [ 26 ต.ค. 48 20:13:44 ]