ได้ยินคำนี้มาแล้วให้นึกขำ แต่ในชีวิตจริงคงขำไม่ค่อยออก
ภาระหนี้สินจะกลายเป็นภาวะฟองสบู่ตัวต่อไปหรือเปล่า กู้กันง่ายเหลือเกิน
ภาวะราคาน้ำมันที่สูงขึ้นจะทำให้ฟองสบู่แตก ประชาชนสุดท้ายต้องยอมขึ้นศาล
การที่รัฐพยายามมาซื้อหนี้ เป็นการยืดเวลาออกไปเท่านั้น ยังไม่ใช่การแก้ปัญหาระยะยาว
อันนี้เป็นข้อมูลของปลายปีที่แล้ว(2547)
"....
คนไทยรวยหนี้ทวีคูณ
คุณพงษ์เทพ ถิฐาพันธ์ระบุตัวเลขของคนที่มีหนี้สินนอกระบบ(จากการรวบรวมได้) มีจำนวนประมาณ 1.7 ล้านคน คิดเป็นจำนวนเงินหนี้นอกระบบประมาณ 1.3 แสนล้านบาท
ดร.สมชัย สุจิตชน ได้ชี้ให้เห็นทิศทางการเป็นหนี้ของคนไทยว่ามีปริมาณหนี้ และอัตราการเพิ่มของหนี้ที่ สูงขึ้น กล่าวคือเมื่อก่อนคนไทยเป็นหนี้คิดเป็นอัตราประมาณร้อยละ 20-30 ของรายได้ แต่ในปัจจุบันอัตราการเป็นหนี้เพิ่มขึ้นมาอยู่ในระดับอัตราประมาณร้อยละ 50 ของรายได้
สะท้อนให้เห็นว่าประชาชนโดยเฉพาะในระดับรากหญ้ามีปัญหาหนี้สินเป็นจำนวนมาก โดยเฉพาะปัญหาเร่งด่วนคือเรื่องหนี้นอกระบบ
ต้นเหตุ ทำกินล้มละลาย-ใช้จ่ายเกินตัว
สำนักวิจัยเอแบคโพลล์ มหาวิทยาลัยอัสสัมชัญ ได้เสนอผลสำรวจเรื่อง "ความคิดเห็นต่อการแก้ไขปัญหาหนี้สินนอกระบบ : กรณีศึกษาตัวอย่างประชาชน 19 จังหวัดจากทั่วประเทศ และเจ้าหน้าที่ปฏิบัติงานที่เกี่ยวข้อง" ดำเนินการสำรวจระหว่างวันที่ 24 กันยายน - 19 ตุลาคม 2547 จากประชาชนที่ลงทะเบียนปัญหาหนี้สินนอกระบบจำนวน 5,197 ตัวอย่าง และเจ้าหน้าที่ที่ปฏิบัติงานในพื้นที่ 1,197 ตัวอย่างพบว่าสาเหตุของปัญหาหนี้สินของประชาชนอันดับแรกคือร้อยละ 67.4 มีการกู้ยืมเพื่อมาลงทุนในการทำมาหากิน ร้อยละ 41.9 กู้ยืมมาใช้จ่ายในชีวิตประจำวัน ร้อยละ 33.0 ใช้ส่งลูกหลานเรียนหนังสือ ร้อยละ 20.2 ใช้สร้าง/ซ่อมแซมที่อยู่อาศัย
ซึ่งสอดคล้องกับความเห็นของผศ.ดร.บัญชร แก้วส่องที่ระบุว่าปัญหาสำคัญที่ทำให้คนยากจนในชนบทมีหนี้สินมากที่สุดคือการล้มละลายของการลงทุนเพื่อการทำมาหากิน โดยเฉพาะการผลิตยุคใหม่ทำให้คนชนบทต้องลงทุนสูง (เช่นต้นทุนเมล็ดพันธุ์ ปุ๋ย ยาฆ่าแมลง ค่าดูแลจัดการ) ในขณะที่ผลผลิตตกต่ำ ผลตอบแทนไม่คุ้มกับการลงทุน ปัญหาเรื่องการใช้จ่ายฟุ่มเฟือยเนื่องจากกระแสบริโภคนิยมที่ทำให้คนชนบทหารายได้ไม่เพียงพอกับรายจ่าย นอกจากนี้ลูกหนี้บางส่วนยังมีพฤติกรรม หมุนหนี้ คือกู้ยืมเพื่อนำเงินจากแหล่งเงินกู้หนึ่งไปใช้คืนแหล่งกู้ยืมอีกแห่งหนึ่งที่เร่งรัดมากกว่า
....มาตรการการโอนหนี้จากนอกระบบเข้าสู่ในระบบยังไม่ใช่คำตอบสำเร็จรูป และไม่เพียงพอต่อการแก้ปัญหาหนี้สินหรือปัญหาความยากจน ทางออกจะต้องมีการพัฒนาฟื้นฟูระบบอาชีพอย่างมีประสิทธิภาพ ทำให้ชาวบ้านระดับล่างมีความมั่นคงในเรื่องรายได้ ทำให้กระบวนการลงทุนรายย่อยสามารถเพิ่มพูนผลผลิตที่คุ้มค่ากลับคืนมา ไม่ปล่อยให้คนทำมากินตกอยู่ในภาวะ ยิ่งทำยิ่งจน จะต้องพัฒนาทักษะและโอกาสแวดล้อมทำให้ผู้ประกอบกิจการรายย่อยสามารถดำรงชีพอยู่ได้อย่างมั่นคงเพื่อไม่ให้เกิดภาวะล้มเหลวทางอาชีพที่จะเป็นสาเหตุนำไปสู่ปัญหาหนี้สินต่อไป ..."
"..หนี้สินจากการกู้ยืมเฉลี่ย 82,485 บาท ต่อครัวเรือน
นำไปใช้จ่ายในครัวเรือนถึง 52,403 บาท
เอาไปใช้เพื่อการเกษตรเพียง 16,597 บาทเท่านั้น
เงินถูกนำไปใช้ในภาคการผลิตน้อยมาก จึงไม่เกิดรายได้ส่วนเกินพอจะไปใช้หนี้ได้..."
ของปีนี้ยังไม่รู้ว่าจะเพิ่มเป็นเท่าไหร่
ประเทศเราต้องยอมรับว่าเป็นประเทศผู้บริโภคทางเทคโนโลยีมากกว่าเป็นผู้ผลิต
รัฐยังไม่มีโครงการที่เป็นรูปธรรมเพื่อเป็นผู้นำทางเทคโนโลยีในภูมิภาคนี้ (มีแต่สนามบินที่คิดว่าใหญ่ที่สุด)
การนำสินค้าเกษตรไปฟาดฟันกับสินค้าเทคโนโลยี เราเสียเปรียบมากจริงๆ
จากคุณ :
โฆษิต
- [
11 ต.ค. 48 09:48:21
]