ความคิดเห็นที่ 1 ต่างกันเยอะครับเพราะ ratch ผลิตไฟฟ้าให้ กฟผ ต้นทุนค่าไฟฟ้าถูกกำหนดโดย บ.เเม่( กฟผ ) ฉะนั้นการเติบโตของกผฟ จึงดีกว่าเเน่นอนเพราะ กฟผ สามารถกำหนดอัตราค่าไฟได้ ซึ่งจะทำให้ผลกำไรออกมาเเตกต่างกันอย่างมาก จากคุณ : นินจา (ansboy66) - [ 29 ต.ค. 48 18:48:14 ]

ความคิดเห็นที่ 2 ประเด็นค่าไฟฟ้าเป็นอย่างนี้     -RATCH มีสัญญาค่าไฟฟ้าที่ปรับราคาตามเชื้อเพลิงกับ กฟผ.  คือมีกำไรที่แน่นอน ไม่มีความเสี่ยง     -ค่าไฟฟ้าของ กฟผ.จะมีกรรมการกำกับดูแลกิจการการไฟฟ้าชุดหนึ่งดูแล  ยังไม่ทราบว่าเป็นใครบ้าง  ปัจจุบันกระทรวงพลังงานดูแลอยู่     -ปัจจุบันกระทรวงพลังงานได้กำหนดสูตรปรับค่าไฟฟ้าผันแปรตามราคาเชื้อเพลิงและค่าซี้อไฟฟ้า  เพื่อใช้อธิบายในการทำ ROAD SHOW ในการขายหุ้น กฟผ.  ซึ่งที่จริงกรรมการกำกับดูแลฯจะเอาตามหรือไม่ก็ได้     -สรุปว่า กฟผ.ไม่มีสิทธิกำหนดค่าไฟฟ้าเอง จากคุณ : ศิล - [ 29 ต.ค. 48 21:01:39 ]

ความคิดเห็นที่ 3 กฟผ. ผูกขาดการผลิตไฟฟ้า น่าจะดีเพราะครองตลาดแต่ผู้เดียว แต่ การที่ผูกขาด ก็เป็นผลเสียต่อความกระตือรือร้น ที่จะแข่งขัน เมื่อไม่มีใจจะแข่ง Growth ก็คงจะไม่แข่งขัน มูลค่าที่ซ่อนในราคาหุ้น ก็คง ไม่ Growth ด้วยเช่นกัน อีกอย่าง สัดส่วนการกระจายหุ้น ให้รายย่อย ค่อนข้างมาก ประมาณ 720 ล้านหุ้น ส่งผลให้ราคาหุ้น(อาจ) ไม่มีคนพาให้วิ่ง ก็ได้นะ จากคุณ : D (มะลิ บาน บาน) - [ 29 ต.ค. 48 22:44:34 ]

ความคิดเห็นที่ 4 ผมคิดว่าไม่แตกต่างกันมากครับ ธุรกิจไฟฟ้าเติบโตตามอัตราการเติบโตการใช้ไฟฟ้าของประชาชน  และภาคอุตสาหกรรมของประเทศ  ซึ่งปีหนึ่งมีอัตราการเติบโตไม่ได้มากอะไร  บางปีเติบโตระดับเลขสองหลักก็ถือว่าดีมากแล้ว นอกจากนี้  ธุรกิจไฟฟ้าเป็นสาธาณูปโภคขั้นพื้นฐาน  ที่คนทั้งประเทศใช้  การจะมาตั้งค่าไฟฟ้าที่ทำให้บริษัทได้รับอัตรากำไรขั้นต้นมากๆ ยิ่งเป็นการยากเข้าไปใหญ่  โดยเฉพาะค่าไฟฟ้าเป็นเรื่องอ่อนไหวทางการเมืองด้วยแล้ว  ใครมาเป็นรัฐบาลก็ต้องพยายามไม่ทำให้ค่าไฟฟ้าสูงจนเกินไป  อีกทั้งเมื่อเข้าตลาดหุ้นแล้ว  ต้องมีการเปิดเผยตัวเลขทางการเงิน  ก็ยิ่งทำให้ต้องกำหนดค่าไฟในอัตราที่พอสมควร  ไม่ใช่ว่าอยากจะกำหนดให้ได้รับอัตรากำไรขั้นต้นสัก 40-50 % หรือเท่าไหร่ก็ได้ สรุปคือการเติบโตของกำไร  ก็น่าจะขึ้นอยู่กับอัตราการเติบโตของการใช้ไฟฟ้าของประเทศเป็นหลัก  ดังนั้นใครที่ฝันหวานว่าซื้อหุ้น กฟผ  หวังว่ามันจะขึ้นไปถึง 200 - 300 บาทต่อหุ้นในช่วง 1-3 ปี แบบ ปตท  ก็คงอาจจะฝันค้างก็ได้นะครับ  เพราะว่าโครงสร้างธุรกิจแตกต่างกัน  ปัจจัยแวดล้อมแตกต่างกันมากครับ  อีกอย่างถ้าราคาก๊าซ  น้ำมัน  และปิโตรฯ ไม่ขึ้นมาเป็นร้อยเปอร์เซนต์  ปตท  ก็คงไม่สามารถทำกำไรได้มากมายแบบที่เป็นอยู่  และราคาหุ้นก็คงไม่ขึ้นมากว่า 500 %  เนื่องจากราคาหุ้นถูกขับเคลื่อนด้วยกำไรของบริษัทครับ จากคุณ : GS Mobile - [ 30 ต.ค. 48 08:08:16 ]

ความคิดเห็นที่ 5 มาเพิ่มเติมความเห็นอีกนิดหน่อยครับ ผมมีความเห็นอีกอย่างคือ  RATCH  นั้น  มีขนาดธุรกิจเล็กกว่า  กฟผ  มาก  นั่นมีผลต่อความหยืดหยุ่นในการบริหารที่มากกว่า  และนั้นรวมไปถึงการที่ RATCH อาจจะทำให้บริษัทเติบโตได้มากกว่าก็ได้ครับ อย่างช่วงหลายปีที่ผ่านมา  RATCH มีอัตราการเติบโตเฉลี่ยแล้วสูงกว่าอัตราการเติบของการใช้ไฟฟ้าแต่ละปี  ทั้งนี้นอกจากกำลังการผลิตไฟฟ้าที่เพิ่มขึ้น  ยังมีการ Acquisition  ที่เป็นส่วนสำคัญทำให้ RATCH มีอัตราการเติบโตที่ดี  ซึ่งตรงจุดนี้ถือเป็นข้อได้เปรียบของ RATCH  กว่า กฟผ นอกจากนี้  การแปรรูปก็เป็นการแปรรูปเพียงแต่ชื่อบริษัท  แต่แท้จริงเนื้อในก็ยังมีองค์ประกอบเดิมๆ  เช่น  norm  ทัศนคติ  วัฒนธรรมองค์การ  ซึ่งไปดึงประสิทธิภาพการทำงาน ส่วนอีกข้อคือ  กฟผ  มีสหภาพแรงงานรัฐวิสาหกิจ  ที่ช่วงที่ผ่านมามีบทบาทในการเรียกร้องผลประโยชน์ต่างๆ ให้กับกลุ่ม  ซึ่งเป็นสหภาพที่มีอำนาจต่อรองสูง  ตรงนี้เป็นข้อเสียที่สำคัญของ กฟผ  อีกอย่างครับ สิ่งที่ทำให้ กฟผ ดูดีก็ตรงมีสินทรัพย์มาก  การนำเข้าตลาดหุ้นเพื่อไปช่วยเพิ่มขนาดมูลค่าตลาด  ส่วนการจะไปเปลี่ยนแปลง  หรือปฏิรูปองค์การคงต้องใช้เวลาพอสมควรครับ สรุปว่าไม่จำเป็นว่าใหญ่แล้วจะต้องดีกว่าเสมอไปครับ แก้ไขเมื่อ 30 ต.ค. 48 11:42:36 แก้ไขเมื่อ 30 ต.ค. 48 11:39:22 จากคุณ : GS Mobile - [ 30 ต.ค. 48 11:35:34 ]