ในระบบทุนนิยมคงต้องยอมรับครับ ว่า egat ก็จะเป็นอีกธุรกิจหนึ่งของรัฐที่จะต้องระดมทุนเข้าตลาดหลักทรัพย์ในอีกไม่นานนี้ แต่ปัญหาที่สำคัญสำหรับegat ตอนนี้คือเรื่องค่า FT ที่จะปรับขึ้น ยังไง ไม่ว่าปรับขึ้นยังไง กับราคาค่าไฟย่อมกระทบต่อ ระบบเศรษฐกิจของประเทศไทยแน่นอน ยิ่งจะมีกองทุนชดเชยแล้วด้วยนั้น ผมไม่เห็นด้วยอย่างยิ่ง ทุกคนคงทราบถึงการชดเชยกองทุนน้ำมันแล้วนะครับ ไม่ว่ายังไง วันหนึ่งเราจะมีปัญหากับกองทุนนี้เช่นเดียวกับกองทุนน้ำมันเช่นกัน ผมไม่เข้าใจ vision ท่านผู้นำเลยครับ ที่จะทำกองทุนนี้ขึ้นมา แล้วต้องเดือดร้อนต่อประชาชนไทยในอนาคต เงินภาษีจะต้องถูกนำมาใช้จ่ายทั้งเงินต้นและเงินดอก เช่นกองทุนน้ำมัน และปัญหาก็อย่างที่พูดไปหมด ก็ลงกับประชาชน คนไทยทุกคน

ทางออกที่ดี คือการคงราคาค่าไฟฟ้าสำหรับ ประชาชนทั่วไป ที่มีการใช้ไฟฟ้าไม่ฟุ่มเฟือย การใช้สิทธิกับธุรกิจ ภาคเกษตรกรรม การประมง ธุรกิจขนาดเล็กที่ชาวบ้านทั่วไปจัดตั้งขึ้น หรือธุรกิจขนาดเล็กทั่วไปโดยมีการควบคุมการใช้ไฟฟ้าในแต่ละเดือน ถ้าเกินกว่านั้นให้ส่วนเกินในอัตราเต็ม

และเก็บค่าไฟฟ้าที่เต็มอัตรา เพื่อผลกำไรของท่านในระบบทุนนิยม กับธุรกิจอุตสาหกรรม ธุรกิจสื่อสารขนาดใหญ่ ธุรกิจโรงงานขนาดใหญ่ ธุรกิจบริษัทจำกัด ธุรกิจบริษัทมหาชน ต่างๆ ผมว่าคงเข้าท่าดีกับระบบทุนนิยมนี้

ผมว่าธุรกิจที่เป็นพื้นฐานของประชาชน นั้นจะนำเข้าสู่ตลาดหลักทรัพย์ต้องคิดอย่างรอบคอบ เพราะจะเหมือนดาบสองคม มากระทบ กับประชาชนได้ คุณบอกว่า ptt ทำให้รัฐได้กำไรไม่ต้องเสียภาษี แต่คุณก็ต้องรับกับภาวะ หนี้กองทุน กับภาวะ เงินเฟ้อ มหาศาล เนื่องจากระบบทุนนิยม ทำให้ธุรกิจพื้นฐานที่รัฐดูและจะทำการทำกำไรอย่างพอเพียงอย่างค่อยเป็นค่อยไป หรือไม่ก็มีการใช้ภาษีประชาชนไปช่วยเหลือ แต่ก็ไม่รุนแรงจนเป็นหนี้กองทุนหนักหนาเหมือนในปัจจุบัน ผมยังบอกว่ากองทุนพลังงานเราก็ยังคงเป็นหนี้มหาศาลครับ เนื่องจากทุกวันเรายังต้องชดเชยค่าก๊าซ อยู่ตลอด ในราคา 2บาทเกือบ3บาทต่อหน่วยมาเป็นเวลานานแล้ว แต่โดยรวมผมก็สนับสนุนเข้าตลาดหลักทรัพย์เพื่อการบริหารที่มีประสิทธิภาพมากกว่า และแนวทางบริหารที่มีทั้ง vision และมีแนวคิดเพื่อประชาชน และเพื่อทุกคนที่เกี่ยวข้องกับองค์กรณ์ ถ้าทำได้จะเกิดประโยชน์ที่สุด

คงเหมาะกับระบบทุนนิยม ถ้า egat เข้าตลาด ดังนั้นก็สามารถเรียกเก็บค่าไฟฟ้ากับภาคธุรกิจได้อย่างเต็มที่ เนื่องจาก ท่านก็ทราบว่า ภาคธุรกิจก็คงไม่ค่อยมีผลกระทบมากนัก แต่ภาคประชาชน ถือว่าหนักหนานะครับ เหมือนเป็นระบบทุนนิยม ก็ขอให้องค์กรณ์ที่เกี่ยวข้องในระบบทุนนิยม รับภาระตรงนี้ไป บริษัทต่างๆมีขีดความสามารถรับภาระตรงนี้อยู่แล้วครับ แล้วรัฐก็ทำการควบคุม ราคาสินค้าไม่ให้มีกำไรเว่อร์ต่อไป ซึ่งรัฐสามารถทำการตรวจสอบตรงนี้ได้ครับ

ค่าไฟฟ้าไม่เหมือนกับน้ำมัน เพราะ เวลาไปเติมไม่มีคนเชคออกว่า คุณมาจากหน่วยงานไหน แต่ไฟฟ้า จะต่อตรงไปกับหน่วยงานนั้นโดยตรง และถ้ามีการลักลอบ ก็ ส่วนเกินจากที่กำหนดขั้นต่ำนั้น ก็รับไปเต็มๆครับ สำหรับภาคประชาชน และต่อมา ทุกคนก็จะหันมาหา ทางเลือกที่จะผลิตไฟฟ้าด้วยตนเองสูงขึ้น เช่นแผงsolar เป็นต้น

ผมอาจจะไม่มีความรู้ไรมากนัก แต่ก็แค่มาพูดเท่านั้น มีไรติติงได้ครับ ผมพร้อมมาตอบ และพูดในหลักเหตุและผล

สรุป
ในระบบทุนนิยม ก็คือ ค่าไฟฟ้าที่เพิ่มขึ้น ขออย่าตกเป็นภาระในภาคประชาชน ภาคการเกษตร ประมง ภาคธุรกิจsme ขนาดเล็ก และมีการกำหนดฐาน การใช้ไฟฟ้าไว้ ถ้าเกินก็ต้องจ่ายส่วนเกินในอีกอัตรา

แต่ในภาคอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ ภาคบริษัททุนต่างๆ ก็สมควรรับภาระตรงนี้ไป เพราะค่าไฟฟ้าบ้านเราก็ต้องยอมรับว่าถูก แต่ธุรกิจพื้นฐานถ้าผลักภาระให้กับกลุ่มแรก จะก่อปัญหาได้ แต่กลุ่มที่มีขีดความสามารถรับส่วนนี้ได้ คาดว่าคงไม่มีปัญหาหนักเท่าไร

และไม่สนับสนุนมีกองทุนชดเชย เพราะจะเป็นปัญหาในอนาคต

และที่อยากบอกทุกคนจริงๆ ถ้าทุกคนประหยัด รู้จักใช้สิ่งที่มีให้เกิดประโยชน์ที่สุด ปัญหาต่างๆจะคลี่คลายได้ครับ สุดท้ายแล้ว ก็ต้องร่วมมือร่วมใจกันทุกคน