ความคิดเห็นที่ 1 ขอบอกว่าทั้ง 2 ตัวนี้ ราคาได้ลงมามากจนเกินควร psl ลงมา 21 บาท  ก็ราวๆ 36% tta ลงมา 17 บาท  ก็ราวๆ 36% rcl ลงมาน้อยที่สุด 9 บาท  ก็ราวๆ 23% ทางเทคนิค  oversold ทางพื้นฐาน  ราคาต่ำมากเมื่อเทียบกับกำไรที่คาดว่าจะลดลง ประมาณ 20%   ซึ่งอันที่จริงก็เป็นเพียงการคาดคะเน ก็เห็นพูดกันมาตั้งแต่กลางปี 2004 นู่น  ทำให้มีการทิ้งหุ้นจนราคาลงมาเละ แต่แล้ว เมื่อต้นปีนี้เอง  psl and rcl  กลับทำราคา new high  1 ปีครึ่งผ่านไป  คนที่ขายทิ้ง หรือตัดขาดทุน ก็ยังไม่สามารถ cover short ได้เลย วันที่ 24 และ 25 เดือนหน้า จะมีการประชุมใหญ่ระดับนาๆชาติที่  Imperial Queenspark [คลิกเพื่อชมภาพขนาดจริง] จากคุณ : prettypetite - [ 12 พ.ย. 48 14:52:38 ]

ความคิดเห็นที่ 2 กำไรปี 2005>2006>2007 พอจะเข้าใจใช่มั๊ยครับ ว่าทำไมคนถึงขายกัน... จากคุณ : Resurrection - [ 12 พ.ย. 48 19:23:46 ]

ความคิดเห็นที่ 3 ผมเห็นด้วยกับความเห็นของของคุณ Prettypettie ครับ ผมว่าบางครั้งเราก็ Panic กับเหตุการณ์มากเกินไป จากการเช็คข้อมูลเบื้องต้น นอกจากราคาที่ปรับลดลงตามที่คุณ Prettypettie แสดงความเห็นไว้ หากดูปริมาณเรือเทกองในช่วงนี้เทียบกับปริมาณความต้องการ ก็ดูเหมือนว่าปริมาณเรือในปีต่อไปจะไม่เพิ่มขึ้นมาก เนื่องจากมีปริมาณเรือส่วนหนึ่งที่หมดอายุการใข้ รวมถึงปริมาณการต่อเรือเพิ่มก็ไม่มากนัก ประกอบกับลักษณะการประกอบธุรกิจของเรือเทกองตัวที่ได้รับผลกระทบอย่างมากคือ เรือเทกองที่มีขนาดใหญ่ แต่เรือเทกองของ TTA และ PSL จะเป็นขนาดไม่ใหญ่ นอกจากนี้กลยุทธ์ของทั้ง 2 บริษัทเรือจะใช้กลยูทธ์การเช่าเหมาลำล่วงหน้าไว้จำนวนหนึ่ง ทำให้ลดความเสี่ยงจากความผันผวนของราคาเรือไปบ้าง สำหรับ TTA นั้นเท่าที่ผมศึกษาจะมีลักษณะพิเศษด้วยคือ มีการกู้ยืมเงินเป็นเงินต่างประเทศในรูปดอลลาห์ จึงทำให้ Hedge เงินตราต่างประเทศไปในตัว เนื่องจากรายได้ของบริษัทก็อยู่ในรูปเงินดอลลาห์ โดยสรุปก็คือ แม้ว่าปีต่อไป บริษัทขนส่งทางเรือทั้งหลายจะมีความเสี่ยงจากราคาค่าขนส่งที่มีแนวโน้มปรับลดลง แต่บริษัทเรือเหล่านี้ก็มีการปรับกลยุทธ์บางส่วนเพื่อลดความเสี่ยงไปบ้างแล้ว ประกอบกับต้นทุนสินค้าที่ใช้การขนส่งทางเรือในรูปของ Logistic Cost จะเห็นว่าการขนส่งทางน้ำจะมีต้นทุนที่ถูกที่สุด เนื่องจากไม่มีต้นทุน Infrastructureมากเท่ากับหมวดอื่น หรือการบริโภคน้ำมันก็แตกต่างจากหมวดอื่นด้วย เช่น การสร้างทางถนน หรือต้นทุนทางอากาศที่มีต้นทุนการขนส่งที่เปรียบเทียบแพงกว่ากันมาก ประกอบกับปริมาณความต้องการสินค้าจากประเทศจีน และประเทศอินเดีย จะมีDemand ความต้องการที่สูงขึ้นต้องกันต้องใช้ด้านการเกษตรน่าจะสูงขึ้นตามไปด้วย ซึ่งจะเห็นได้จากปริมาณการบริโภคน้ำมันที่ผ่านมา ที่ทำให้ราคาน้ำมันปรับตัวสูงขึ้นอย่างมากเป็นต้น ผมจึงเชื่อว่า ที่คุณ Resurrection กล่าวนั้นก็จริง แต่การปรับลดลงของความต้องการคงน่าจะแตกต่างจากในอดีตครับที่ราคาตกลงแบบราคาตกเหว และที่ผานมา 2 [บริษัทเรือก็ชดเชยความเสี่ยงด้านราคามาเน้นการเพิ่มปริมาณเรือชดเชยไปบ้างครับ สำหรับ RCL เป็นการขนส่งแบบตู้คอนเทนเนอร์ ซึ่งมีแนวโน้มที่น่าจะดีกว่า 2 บริษัทเรือครับ จึงได้รับผลกระทบการปรับตัวของราคาน้อยกว่า เป็นความเห็นเบื้องต้นนะครับ คงต้องศึกษาเชิงลึกต่อไป จากคุณ : ยิ่งสูงยิ่งหนาว - [ 13 พ.ย. 48 07:17:21 A:203.156.27.109 X:203.130.159.3 ]

ความคิดเห็นที่ 4 ขอบคุณสำหรับการชี้แนะครับ จากคุณ : auxin (auxin) - [ 14 พ.ย. 48 07:20:41 ]

ความคิดเห็นที่ 5 คุณยิ่งสูงยิ่งหนาว พูดถึงกลุ่มนี้ได้กระจ่างดีค่ะ ขอบคุณมากนะคะสำหรับข้อมูล จากคุณ : puntarika - [ 14 พ.ย. 48 11:49:07 ]

ความคิดเห็นที่ 6 ช่วยลุ้น จากคุณ : wat3311 - [ 14 พ.ย. 48 14:14:41 ]

ความคิดเห็นที่ 7 ข้อมูลเพิ่มเติมสำหรับ TTA เท่าที่ผมหาข้อมูลมาได้มีดังนี้ 1. ในส่วน Core Business จะมีการซื้อเรือเพิ่มขึ้นจำนวน 12 ลำ และขายเรือที่หมดอายุไป 1 ลำ คงเหลือปัจจุบันอยู่ที่ 48 ลำ และคาดว่าจะมีเรือหมดอายุในช่วง 50 - 51 อีก 6 ลำครับ ตรงนี้ที่ผมวิเคราะห์ไว้ว่าจะมาชดเชยในเรื่องของราคาที่ลดลงโดยการเพิ่มปริมาณเรือ ทำให้มีเที่ยวเรือที่ให้บริการต่อวันเพิ่มขึ้นครับ นอกจากนี้สัดส่วนของเรือเช่าเหมาลำล่วงหน้า กับเรือเช่าปกติจะอยู่ที่ประมาณ 50:50 ทำให้ลดความเสี่ยงของด้านราคาไปบางส่วน นอกจากนี้ในประเด็นของเรือเช่าเหมาลำล่วงหน้า บริษัทไม่ต้องเสี่ยงในเรื่องของราคาน้ำมันเนื่องจากในสัญญาการเช่า ผู้เช่าเป็นผู้รับภาระค่าน้ำมันด้วยครับ 2. ในส่วน Non Core business ได้มีการทบทวนแนวทางการลงทุน โดยขายเงินลงทุนของบริษัทย่อยบางส่วนออกไปเนื่องจากเล็งเห็นว่าต้องใช้เงินลงทุนที่สูงขึ้นอย่างมาก แล้วมาลงทุนเพิ่มในบริษัท เมอร์เมต (ทำธุรกิจเรือขุดเจาะหลุมทะเล รับจ้างเหมาเรือเพื่อขุดเจาะก๊าซธรรมชาติ ให้กับ ปตท.) ซึ่งทำให้ช่วยลดความเสี่ยงในเรื่องรายได้จากค่าระวางเรือขนส่งสินค้า นอกจากนี้ยังมีการลงทุนในท่าเทียบเรือที่ ฮาจา แถบตะวันออกกลาง เนื่องจากเป็นกลุ่มประเทศที่มีการเติบโตทางเศรษฐกิจสูง ประกอบกับราคาน้ำมันที่ผ่านมามีต้นทุนที่สูงขึ้น การบริหารท่าเทียบเรือจึงทำให้มีรายได้เสริมมากขึ้น และลดต้นทุนการขนส่งสินค้าไปบางส่วน นอกจากนี้มีข่าวว่ามีการศึกษาความเป็นไปได้ในการบริหารท่าเรือ C0 ของการท่าเรือแห่งประเทศไทย แต่เนื่องจาก TOR ของการท่าเรือจะเน้นเรือเร็ว ซึ่งไม่ตรงกับความต้องการของ TTA โดยผู้บริหารระดับสูงของบริษัทตั้งเป้าหมายในส่วนนี้ไว้ที่ 30% ครับต้องติดตามผลงานต่อไปว่าจะเป็นไปตามเป้าหมายหรือไม่ 3. ความเสี่ยงในเรื่องของราคาค่าระวางที่ปรับลดลง เนื่องจากประเทศจีนมีการฃะลอการนำเข้า เพื่อชะลอเศรษฐกิจ และการปรับค่าเงินหยวน ทำให้ต้นทุนนำเข้าสูงขึ้น ซึ่งต้องดูว่าสถานการณ์ต่อจากนี้จะเป็นอย่างไร ถ้าเศรษฐกิจของประเทศจีนยังมีการขยายตัวอย่างต่อเนื่อง อัตราค่าระวางเรือที่ลดลงค่อนข้างมากในปีนี้ ก็คงลดลงอีกไม่มากครับ จากคุณ : ยิ่งสูงยิ่งหนาว - [ 14 พ.ย. 48 14:25:18 A:203.155.105.41 X: ]

ความคิดเห็นที่ 8 แถมข้อมูลผลการดำเนินงานล่าสุด Q3 ปี 48 ที่น่าสนใจคือ 1. กำไรสุทธิสะสมถึงไตรมาส 3 กำไรสุทธิ 7.60 บาทต่อหุ้น เทียบกับ ปี 47 กำไรสุทธิอยู่ที่ 4.95 บาทต่อหุ้น กำไรเพิ่มขึ้น 53.53% ซึ่งเกิดจาก ค่าเช่าเรือเฉลี่ยต่อวันในไตรมาส 3 ยังสูงถึง 16,334 ดอลลาห์ต่อวัน เทียบกับ 15,232 ดอลลาห์ต่อวัน อันเนื่องจาก ค่าระวางเรือยังอยู่ในอัตราสูงอยู่ แถมการเพิ่มกองทัพเรือที่กล่าวถึงข้างต้น ทำให้ไตรมาส3 มีจำนวนวันเดือนเรือ (จำนวนเรือ คุณ จำนวนวัน) สูงขึ้นเป็น 4349 วันเทียบกับไตรมาสปีที่แล้ว 3908 วัน และทำให้ขนาดเรือโดยสารเฉลี่ยต่อลำเพิ่มเป็น 26,347 เดทเวทตัน จากเดิม 24,776 เดทเวทตัน หรือเพิ่มขึ้น 6% และเมื่อขายเรือที่หมดอายุไป 1 ลำ ก็ทำให้ขนาดเรือโดยสารเฉลี่ยต่อลำเพิ่มสูงขึ้นเป็น 26,801 เดทเวทตัน และมีขนาดกองทัพเรืออยู่ที่ 48 ลำจาก 49 ลำ ข้อมูลไตรมาส 3 เป็นสิ่งที่ยืนยันให้เห็นว่า แม้ว่าดัชนีค่าระวางเรือจะปรับลดลง แต่บริษัท TTA สามารถแก้ไขด้วยการเพิ่มปริมาณเรือ เพื่อเพิ่มปริมาณวันเดินเรือและน้ำหนักบรรทุกสินค้าโดยเฉลี่ยให้มีประสิทธิภาพสูงขึ้น ชดเชย Margin ของค่าระวางที่ลดลงได้ครับ ซึ่งทำให้ผลงานของ TTA ยังมีกำไรสุทธิที่สูงกว่าปี 47 และมี Margin of Safety เมื่อมองจาก PE ต่ำประมาณ 3.28 หมายความว่า ถ้าหากบริษัทสามารถรักษาระดับอัตราการเติบโตของกำไรให้เท่ากับปีนี้ได้ นักลงทุนที่ลงทุนในหุ้นนี้จะใช้เวลาประมาณ 3 ปีกว่าก็จะมีกำไรในระดับที่คืนทุนได้ครับ 2. หากมองในรูปปันผล ปีที่แล้วปันผลทั้งปีอยู่ที่ 4.50 บาทต่อหุ้น (ปันผล 3 ครั้ง) ปีนี้ปันผลไปแล้ว 1 ครั้ง จำนวน 2 บาท คาดว่าในเดือน ก.พ. น่าจะสามารถปันผลอีกไม่น้อยกว่า 2 บาทต่อหุ้นครับ รวมปันผล 4 บาท คิดเป็นปันผล 13.79% ต่อปี แต่หากปันผลเท่ากับปีที่แล้ว 4.50 บาทต่อหุ้น จะปันผลคิดเป็น 15.51%ต่อหุ้นครับ 3. TTA ได้ลงนามสัญญาเช่าเรือสำหรับปีหน้าไปแล้วไม่ต่ำกว่า 30% จึงต้องดูว่าจะสามารถทำสัญญาเช่าล่วงหน้าได้เพิ่มขึ้นอีกหรือไม่ เพื่อป้องกันความผันผวนของราคา 4. ไตรมาส 4 ได้จำหน่ายหุ้นบริษัทย่อย คือ บริษัท SATCOM ต้นทุนอยู่ที่ 37.81 ล้านบาท จำหน่ายไปในราคา 63 ล้านบาท กำไรประมาณ 25.19 ล้านบาทและจำหน่ายเรือหมดอายุไปอีก 1 ลำ ในราคา 67.65 ล้านบาท กำไร 15.42 ล้านบาท ตอนนี้คงต้องรอดูผลการดำเนินที่จะประกาศผลไม่นานเกินรอว่า ผลการดำเนินงานของ TTA จะยังคงสามารถรักษาอัตราการเติบโตของกำไรเทียบกับปีที่แล้วเป็นอย่างไรครับ แต่ระดับตรงนี้ถือว่ามี Margin of Safety ที่มองจาก PE ค่อนข้างต่ำ และยังมีปันผลที่รองรับอีกด้วยครับ จากคุณ : ยิ่งสูงยิ่งหนาว - [ 14 พ.ย. 48 18:50:50 A:203.155.105.41 X: ]

ความคิดเห็นที่ 9 ขอบคุณทุกท่านครับ ข้อมูลดีๆทั้งนั้น จากคุณ : ศาสตร์ - [ 15 พ.ย. 48 13:57:39 ]

ความคิดเห็นที่ 10 ประกาศผลการดำเนินงานล่าสุด Q4 กำไรเทียบกับปีที่ผ่านมาลดลง แต่กำไรต่อปีสูงกว่าปีที่ผ่านมาค่อนข้างมากครับ เลขที่เรื่อง COR:MS/EL05018/ms วันที่ 14 พฤศจิกายน พ.ศ. 2548 เรื่อง ชี้แจงผลประกอบการไตรมาสที่ 4 สิ้นสุดวันที่ 30 กันยายน พ.ศ. 2548 เรียน กรรมการและผู้จัดการตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย บริษัท โทรีเซนไทย เอเยนต์ซีส์ จำกัด (มหาชน) มีผลกำไรสุทธิ 3 เดือน สิ้นสุด 30 กันยายน พ.ศ. 2548 เท่ากับ 1,100.51 ล้านบาท โดยรวมผลกำไรจากอัตราแลกเปลี่ยน จำนวน 48.53 ล้านบาทแล้ว เทียบกับผลกำไรสุทธิ 1,212.14 ล้านบาท โดยรวมการขาดทุนจากอัตราแลกเปลี่ยน จำนวน 90.22 ล้านบาท ในงวดเดียวกันของปีก่อน กำไรสุทธิลดลงร้อยละ 9.21 เมื่อเทียบกับไตรมาสเดียวกันของปีที่แล้ว เนื่องมาจากอัตราค่า ระวางเรือโดยเฉลี่ยของกองเรือโทรีเซนปรับตัวลดลง โดยที่อัตราค่าระวางเฉลี่ยซึ่งรวมอัตราค่าระวาง เรือที่ได้รับจากเรือที่บริษัทฯ เช่ามาเสริมกองเรือ ลดลงร้อยละ 9.5 จาก 13,335 ดอลล่าร์สหรัฐอเมริกา ต่อวันต่อลำในไตรมาสที่ 4 สิ้นสุด 30 กันยายน พ.ศ. 2547 เป็น 12,067 ดอลล่าร์สหรัฐอเมริกาต่อวัน ต่อลำในไตรมาสที่ 4 สิ้นสุด 30 กันยายน พ.ศ. 2548 อย่างไรก็ตาม ผลประกอบการของบริษัทฯ ยังคงอยู่ในระดับที่น่าพอใจ โดยเฉพาะอย่างยิ่งจาก การที่บริษัทฯ มีกำไรสุทธิเกิน 1,000 ล้านบาท ต่อเนื่องกันถึง 7 ไตรมาส ซึ่งมีปัจจัยหลายอย่างประกอบกัน ได้แก่ อุปสงค์ของการขนส่งสินค้าทางเรือในสายเดินเรือประจำเส้นทางหลักของบริษัทฯที่ยังอยู่ในภาวะที่ดีอยู่ รวมถึงผลจากการลงทุนปรับปรุงกองเรือให้มีขนาดใหญ่ขึ้น และมีประสิทธิภาพดียิ่งขึ้นในช่วง 24 เดือนที่ผ่านมา อย่างไรก็ตาม บริษัทฯ ยังคงดำเนินการเพิ่มประสิทธิภาพของกองเรือในด้านเทคนิคต่อไปอีก เพื่อทำให้ กองเรือของบริษัทฯ สามารถแข่งขันได้ในสภาพตลาดปัจจุบัน จำนวนวันเดินเรือของบริษัทฯ ในไตรมาสนี้ มีจำนวน 4,461 วัน เทียบกับ 3,955 วันในรอบ ไตรมาสเดียวกันเมื่อปีที่แล้ว และขนาดเรือโดยเฉลี่ยในไตรมาสนี้เพิ่มขึ้นเป็น 26,801 เดทเวทตัน เทียบกับ 25,767 เดทเวทตัน ในรอบไตรมาสเดียวกันเมื่อปีที่แล้ว หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 4 ด้วยเหตุที่บริษัทฯ มีผลกำไรอยู่ในระดับสูง บริษัทฯ จึงได้วางแผนที่จะขยายการลงทุนในธุรกิจ บริการที่เกี่ยวข้องกับการเดินเรือให้มากขึ้น โดยจะลงทุนในธุรกิจที่มีความชำนาญอยู่แล้ว เช่น การเพิ่มสัดส่วน การลงทุนในบริษัท เมอร์เมด มาริไทม์ จำกัด ซึ่งให้บริการธุรกิจนอกชายฝั่งเพิ่มขึ้นอีกร้อยละ 10.11 บริษัท โทรีเซนไทย เอเยนต์ซีส์ จำกัด (มหาชน) หน้า 2 เลขที่เรื่อง COR:MS/EL05018t/ms อุปสงค์ของการขนส่งสินค้าทางเรือสำหรับสายเดินเรือประจำเส้นทางหลักของบริษัทฯ ยังคงอยู่ในระดับที่น่าพอใจ และบริษัทฯ ยังคงดำเนินกลยุทธ์ในการปล่อยเรือให้เช่าเป็นระยะเวลาตั้งแต่ หนึ่งถึงสามปีอยู่ต่อไป ในรอบปีบัญชี 30 กันยายน พ.ศ. 2549 นี้ บริษัทฯ ได้ทำสัญญาให้เช่าเรือไปแล้วคิด เป็นสัดส่วนประมาณ ร้อยละ 36 ของกำลังบรรทุก ทั้งนี้ บริษัทฯ คาดว่า ในส่วนธุรกิจเดินเรือของบริษัทฯ เองรวมถึงการขยายตัวไปในธุรกิจบริการที่เกี่ยวข้องกับการเดินเรือจะทำให้บริษัทฯ ยังคงรักษาผลกำไรให้อยู่ ในระดับที่น่าพอใจในไตรมาสต่อๆ ไป จึงเรียนมาเพื่อทราบ ขอแสดงความนับถือ (ม.ล. จันทรจุฑา จันทรทัต) (น.ส. นุช กัลยาวงศา) กรรมการผู้จัดการ ผู้จัดการทั่วไปฝ่ายบัญชีและการเงิน สังเกตุรายงานดูจะเห็นประเด็นที่ TTA มีการปรับเปลี่ยนกลยุทธตามที่เคยวิเคราะห์ไว้ดังนี้ 1. ด้าน Core Business ลงทุนเพิ่มกองทัพเรือเพิ่มขึ้น ทำให้มีมีปริมาณเรือในการรับส่งสินค้าที่สูงขึ้นจากเดิม ส่งผลให้รายได้สูงขึ้นจากเดิม จำนวนวันเดินเรือเฉลี่ยสูงขึ้นกว่าเดิม และจำนวนอัตราเฉลี่ยของการบันทึกสูงขึ้นกว่าเดิม ชดเชยราคาค่าระวางเรือ Spot ที่ปรับลดลง 2. เร่งการทำสัญญาเช่าเรือระยะยาว ทั้งเรือที่ประจำ และเรือที่ไม่ประจำทางคิดเป็นร้อยละ 36 จากเดิม ร้อยละ 30 ทำให้ลดความเสี่ยงจากราคาค่าระวางเรือที่มีแนวโน้มลดลงได้บ้าง 3. ขยายธุรกิจไปที่ Non Core เพิ่มขึ้น ด้วยเหตุที่บริษัทฯ มีผลกำไรอยู่ในระดับสูง บริษัทฯ จึงได้วางแผนที่จะขยายการลงทุนในธุรกิจบริการที่เกี่ยวข้องกับการเดินเรือให้มากขึ้น โดยจะลงทุนในธุรกิจที่มีความชำนาญอยู่แล้ว เช่น การเพิ่มสัดส่วนการลงทุนในบริษัท เมอร์เมด มาริไทม์ จำกัด ซึ่งให้บริการธุรกิจนอกชายฝั่ง นอกจากนี้กำลังจะหารายได้จากการนำเงินไปลงทุนในตลาดหลักทรัพย์จำนวน 800 ล้านบาท คาดว่าจะมีส่วนเพิ่มรายได้ด้านอื่นมากขึ้นลดความเสี่ยงของค่าระวางเรือที่มีแนวโน้มลดลง 3. กรณีค่าเงินบาทแข็งขึ้น ก็ทำให้มีกำไรจากอัตราแลกเปลี่ยนเนื่องจากมีเงินกู้ยืมจากต่างประเทศบางส่วนเช่นเดิยวกับที่เกิดขึ้นในไตรมาส 4 แต่หากค่าเงินบาทอ่อนตัวลง ก็จะทำให้มีรายได้จากการขนส่งสินค้าเพิ่มขึ้น แต่อาจขาดทุนจากอัตราแลกเปลี่ยนครับ จากคุณ : ยิ่งสูงยิ่งหนาว - [ 15 พ.ย. 48 14:00:42 A:203.155.105.41 X: ]