ความคิดเห็นที่ 1 มันอยู่ในงบดุลอะครับ สินทรัพย์ (Asset) จากคุณ : เซ็งแมน - [ 13 พ.ย. 48 19:41:07 A:58.9.128.18 X: TicketID:100915 ]

ความคิดเห็นที่ 2 มันอยู่ในงบดุลอะครับ สินทรัพย์ (Asset) = หนี้สิน (liability) + ส่วนของเจ้าของ (Owner Equity) ส่วนของเจ้าของ ประกอบด้วย ทุนจดทะเบียน + กำไร(ขาดทุน)สะสม ดังนั้น เมื่อมีขาดทุนสะสม การทำให้ตัวเลขขาดทุนนี้หายไป ก็คือ การหักจากทุนจดทะเบียน ซึ่งก็คือ การลดพาร์ นั่นเองครับ จริงๆแล้วก็เป็นแค่การล้างขาดทุนทางบ/ช โดยหักจากเงินลงทุนเริ่มแรกนั่นเองครับ จากคุณ : เซ็งแมน - [ 13 พ.ย. 48 19:41:37 A:58.9.128.18 X: TicketID:100915 ]

ความคิดเห็นที่ 3 tpi ผลประกอบการมีกำไรมาหลายไตรมาสติดต่อกัน คิดว่าจะเป็นเช่นนี้อยู่ tpi ก่อนหน้านี้มีขาดทุนสะสมอยู่ประมาณสองหมื่นล้านกว่า ได้ลดพาร์จาก 10.00 บาทเป็น 1.00 บาท เอาส่วนต่าง 9.00 บาทไปล้างขาดทุนสะสมกลับมามีกำไรสะสม(ยังไม่จัดสรร) 595.93 ล้านบาท ณ สิ้นสุดรอบบัญชี 30 มิถุนายน 2548 กำไรสะสมจะเพิ่มขึ้นตามที่มีกำไรในไตรมาส 3 ฉะนั้นที่ได้ยินไม่ถูกต้อง คนที่พูดไม่รู้ว่าตัวเองพูดอะไร ดีแล้วที่ได้เข้ามาสอบถามในห้องนี้ เพื่อนๆทุกๆคนยินดีที่จะให้ข้อมูลที่เชื่อถือได้ แต่ท่านต้องเข้าใจในข้อมูล มิฉะนั้นแล้วอาจถูกหลอกก็เป็นไปได้ ด้วยเหตุนี้ จขกท ต้องใช้วิจารณญาณอย่างชาญฉลาดหามุมมองตัวเอง เชื่อตัวเองให้มากๆ ได้เสียเงินของ จขกท ทั้งสิ้น สติปัญญาเท่านั้นนำความสำเร็จร่ำรวยสู่ตัวเราเอง ขอให้โชคดีรวยๆๆๆ *************** TPI : บริษัท อุตสาหกรรมปิโตรเคมีกัลไทย จำกัด (มหาชน)   *งบรวม   งบดุล ณ วันที่ 30/06/2548 (6 เดือน)  (ล้านบาท)   สินทรัพย์ เงินสดและรายการเทียบเท่าเงินสด 6,568.51 เงินลงทุนชั่วคราว 1,906.66 ลูกหนี้และตั๋วเงินรับการค้าสุทธิ 6,930.32 ลูกหนี้และตั๋วเงินรับการค้า-บุคคลหรือกิจการอื่น 6,406.81 ลูกหนี้และตั๋วเงินรับการค้า-บุคคลหรือกิจการที่เกี่ยวข้องกัน 802.35 หัก ค่าเผื่อหนี้สงสัยจะสูญ 278.84 เงินให้กู้ยืมระยะสั้นแก่บุคคลหรือกิจการที่เกี่ยวข้องกัน-สุทธิ 2,244.58 สินค้าคงเหลือ/อสังหาริมทรัพย์ 31,742.56 สินทรัพย์หมุนเวียนอื่น 5,263.21 รวมสินทรัพย์หมุนเวียน 54,655.83 เงินลงทุนซึ่งบันทึกโดยวิธีส่วนได้เสีย 40.19 บริษัทร่วม/กิจการร่วมค้า 40.19 เงินลงทุนระยะยาวอื่น 9,084.02 ที่ดิน อาคาร และอุปกรณ์สุทธิ 89,753.22 สินทรัพย์ที่ไม่มีตัวตน 20.63 สินทรัพย์ไม่หมุนเวียนอื่น 1,745.57 รวมสินทรัพย์ไม่หมุนเวียน 100,643.64 รวมสินทรัพย์ 155,299.47 หนี้สิน เงินเบิกเกินบัญชีและเงินกู้ยืมระยะสั้นจากสถาบันการเงิน 156.36 เจ้าหนี้และตั๋วเงินจ่ายการค้าสุทธิ 9,436.68 เจ้าหนี้และตั๋วเงินจ่ายการค้า-บุคคลหรือกิจการอื่น 9,151.10 เจ้าหนี้และตั๋วเงินจ่ายการค้า-บุคคลหรือกิจการที่เกี่ยวข้องกัน 285.58 ส่วนของหนี้สินระยะยาวที่ถึงกำหนดชำระภายในหนึ่งปี 39,589.78 หนี้สินตามสัญญาปรับโครงสร้างหนี้และฟื้นฟูกิจการ 39,589.78 เงินกู้ยืมระยะสั้นจากบุคคลหรือกิจการที่เกี่ยวข้องกัน-สุทธิ 550.52 เงินรับล่วงหน้าจากลูกค้า 1,045.92 หนี้สินหมุนเวียนอื่น 13,748.01 รวมหนี้สินหมุนเวียน 64,527.26 เงินกู้ยืมระยะยาวอื่น 67,926.86 หนี้สินตามแผนฟื้นฟูกิจการ 67,926.86 หนี้สินไม่หมุนเวียนอื่น 269.85 รวมหนี้สินไม่หมุนเวียน 68,196.72 รวมหนี้สิน 132,723.98 ทุนจดทะเบียน 19,500.00 ทุนจดทะเบียน - หุ้นสามัญ 19,500.00 ทุนที่ออกและชำระแล้ว 7,848.91 ทุนที่ออกและชำระแล้ว - หุ้นสามัญ 7,848.91 ส่วนเกิน (ต่ำกว่า) ทุน 12,298.82 ส่วนเกิน (ต่ำกว่า) มูลค่าหุ้น - สามัญ -32,048.53 ส่วนเกิน (ต่ำกว่า) ทุนอื่น 44,347.35 จากการเปลี่ยนแปลงมูลค่าเงินลงทุน 4,100.64 จากการตีราคาสินทรัพย์ 37,969.86 อื่นๆ 2,276.84 กำไร (ขาดทุน) สะสมรวม 2,555.93 กำไรสะสม - จัดสรรแล้ว 1,960.00 สำรองตามกฎหมาย 1,960.00 กำไรสะสม - ยังไม่ได้จัดสรร 595.93 หุ้นสามัญรับซื้อคืน/หุ้นของบริษัทที่ถือโดยบริษัทย่อย 128.21 รวมส่วนของผู้ถือหุ้นของบริษัทใหญ่ 22,575.44 ส่วนของผู้ถือหุ้นส่วนน้อย 0.04 ส่วนของผู้ถือหุ้นรวม 22,575.49 มูลค่าหุ้นของบริษัทที่ถือโดยบริษัทย่อย (หน่วยเป็นพันบาท) 128.21 จากคุณ : luck me - [ 13 พ.ย. 48 20:50:59 ]

ความคิดเห็นที่ 4 ครับ เพิ่มเติม คห. 2 นิดหนึ่ง ด้วยการยกตัวอย่างนะครับ (ดู สมการงบดุลหรือ Balance Sheet ใน คห. 2 ประกอบ) เผื่อจะเข้าใจได้อีกมิติหนึ่ง - อย่างเจ้าของกระทู้ กับผม หุ้นกันทำกิจการ รวมแล้ว ลงต๋งกันได้เงินทุนรวมกันอยู่ 10 ล้านบาท - เอาล่ะ เกิดวิกฤต ทำให้ปีหนึ่ง มีขาดทุนมากโข ปีเดียว ขาดทุนไปห้าล้านบาท จึ๋ยยย์... แย่จัง กิจการเรา ก็ดีนี่นา แต่ ด้วยฟ้าดินประทาน (ฟร่ะ) -  ดิ้นรนรอดมาได้ ไม่เจ๊ง ปีต่อๆ มา กำไรปีละห้าแสนบ้าง ล้านนึงบ้าง แบบนี้ กว่าจะเอาทุนคืน (ที่ขาดทุนไป ห้าล้าน น่ะ) ก็ต้องมีห้าหกเจ็ดปี แหม... ช้าจัง ถ้าเจ้าของกระทู้ กับผม ทนได้ ก็โอเคนะ รอกันไป ก็มีเรา แค่สองคนนี่นา ฮาๆๆๆ ไว้รอไป เอาทุนคืน ให้เป็นสิบล้าน เหมือนเดิมก่อนก็แล้วกัน ไม่เห็นจะเป็นไร แต่บางบริษัท มีผู้ถือหุ้นเยอะ และโดยเฉพาะอย่างยิ่ง หาก ต้องการเงินทุนเพิ่มเติม จากผู้ถือหุ้นใหม่ เพื่อมาขยายกิจ การต่อไป เอาล่ะสิ! คราวนี้ ผู้ถือหุ้นใหม่ เขาจะยอมมาจ่าย เงินร่วมทุน เขาก็ไม่อยากรับผิดชอบ (รับกรรมนั่นแหละ) กับปีที่ขาดทุนไปห้าล้านบาทนั่น เขาก็บอกว่า ต้องลดทุน เดิมก่อนนะ ล้างขาดทุนสะสมให้หมดไปก่อน เรียกว่าล้าง ไพ่ ก็ได้ เวลาเขาเอา "เงินใหม่" มาลงแล้ว จะได้ถือว่าเริ่ม ต้นกันใหม่ ไม่ใช่ต้องเอาเงินเขา ไปทำกิจการเพื่อใช้หนี้ เดิมที่เจ้าของเดิมทำๆ เอาไว้ที่ขาดทุน ปีเดียว ห้าล้านนั่น (และบางบริษัท อาจจะบอกอีกว่าจะต้องไม่มีขาดทุน สะสมนะ ถึงจะจ่ายปันผลกับผู้ถือหุ้นได้) ทำไงดี - เอางี้ๆ เรามาถือว่า ทุนของเรา มีแค่ห้าล้านบาทก็แล้วกัน (ก็... มันมีอยู่สิบล้านทีแรก ขาดทุนปีเดียวไปเลยห้าล้าน จริงๆ แล้ว ถ้าไม่คิดว่ามันขาดทุนสะสมเหลืออยู่ ก็คือทุน เราเหลืออยู่ห้าล้านนั่นแหละ ไม่ได้แปลกอะไรหรอก) แล้วก็ ปีหน้า มีกำไร ก็จ่ายปันผลกันเลยก็แล้วกัน คนใหม่ ที่เขาเอาเงินมาลงทุนด้วย ก็จะได้ "ยอม" เอาเงินมาลงทุน ไม่งั้น เท่ากับว่าเขาต้องไปรับผิดชอบ การขาดทุนสะสม เดิม ที่เขาไม่ได้ก่อไว้ด้วย - ทำแบบนี้ได้ ก็คือการ "ลดทุน" จากสิบล้าน เหลือห้าล้าน บาท จะด้วยการ ลดพาร์ (สมมติเดิม พาร์ 10 บาทมาเหลือ 5 บาท) แต่เจ้าของกระทู้ กับผม ก็เหลือหุ้นเท่าๆ เดิมนะ หรือจะหารหุ้นลงครึ่งหนึ่ง ก็ตามเถอะ แบบนี้เรียกว่าลดทุน ครับ เพื่อล้าง ที่เราได้ขาดทุนสะสมอยู่ - ส่วน เมื่อลดทุนแล้ว จะเพิ่มทุน จากผู้ถือหุ้นใหม่ ก็ว่ากัน ไป แต่เรื่องก็คือ ต้องลดทุนก่อน เพื่อล้างขาดทุนสะสม หรือล้างไพ่ก่อน ผู้ถือหุ้นใหม่ เขาจะได้เต็มใจ เอาเงินมา ร่วมลงทุนแบบ "เริ่มต้นกันใหม่" จากคุณ : มือเก่าหัดขับ - [ 13 พ.ย. 48 22:48:01 ]

ความคิดเห็นที่ 5 คุณ "มือเก่าหัดขับ" อธิบายได้ดีมากเลยคับ อ่านแล้วเข้าใจเลย ขอบคุณแทนเจ้าของกระทู้ละกันเลยนะคับ จากคุณ : Teepor - [ 14 พ.ย. 48 04:20:35 ]

ความคิดเห็นที่ 6 ขอบคุณ Khun มือเก่าหัดขับ และ ท่านเจ้าของกระทู้ที่ทำ กระทู้ดีๆอย่างนี้  โหวตให้ครับ จากคุณ : ตำรวจโลก - [ 14 พ.ย. 48 06:44:28 ]

ความคิดเห็นที่ 7 ยังงง อยู่อีกนิดนึงอะครับ หยั่งงี้ก็แสดงว่า การลดราคาไม่ได้เอาเงินไปโป๊ะ จริงๆ ใช่มั้ยครับ เหมือนกับแค่ตกแต่งบัญชีเฉยๆ ซึ่งก็ไม่เสียอะไรใช่ปะครับ แล้วก็งง สมการอีกนิดหน่อยอะครับ สินทรัพย์ (Asset) = หนี้สิน (liability) + ส่วนของเจ้าของ (Owner Equity) ทุนจดทะเบียน + กำไร(ขาดทุน)สะสม สินทริพย์นี่หมายถึงอะไรหรอครับยิ่งเยอะยิ่งดี หรือยิ่งน้อยยิ่งดีหรอครับ งงๆๆ T__T ขอบคุณมากครับ ขอบคุณคุณมือเก่าหัดขับ แล้วก็คุณ Luck Me มากๆ ครับ ที่ช่วยป้อนความรู้ใหม่ๆ ให้ผมได้เข้าใจ ^^ จากคุณ : U Know Me a Little Go - [ 14 พ.ย. 48 06:59:17 ]

ความคิดเห็นที่ 8 ตอบ คห.7 นะครับ การลดทุน ไม่ได้หมายถึงเอาเงินจริงๆ ไปโปะครับ เพราะเงินจริงๆ "ลง" กันไปแล้วตั้งแต่ทีแรก จะเรียกว่า ตกแต่งบัญชีหรือเปล่า ก็คงไม่เชิงครับ เรียกว่า "โยกย้าย" ส่วนของเงินในบัญชี ดีกว่า คือที่ขาด ทุนไปแล้ว ก็แล้วกันไป ซึ่งจริงๆ ก็คือ "ทุนหาย" นั่นเอง แหละครับ ในสมการ "งบดุล" (ดู ความเห็นลงท้ายด้านล่าง ประกอบ ด้วยนะครับ) จริงแล้วคือ สินทรัพย์ = หนี้สิน+ส่วนของผู้ถือหุ้น(ทุน)+กำไร/ขาดทุน บางบริษัท ดำเนินธุรกิจด้วยทุน ก็จะมีส่วนของผู้ถือหุ้น มากหน่อย มีหนี้น้อยหน่อย อาจจะเป็นเพียงหนี้การค้า ที่ หมุนเวียนเท่านั้น ไม่ได้มีเงินกู้ระยะยาวมากนัก แต่บางบริษัท อาจจะมีทุนน้อย หรือถ้าจะทำธุรกิจโดยไม่ ก่อหนี้ ก็จะต้องมีทุนมาก มีหุ้นเยอะ เวลาหารกันแล้วเหลือ น้อย เขาก็จะ optimize โดยการกู้หนี้ยืมสินบ้าง แล้วก็ ทะยอยใช้หนี้กันไป ทำให้หลังๆ กิจการมีกำไรสามารถ แบ่งกันได้มากขึ้น เพราะทุนเดิม หรือจำนวนหุ้นเดิม มีน้อย อันนี้ก็แล้วแต่เลือกเอา (เรียกว่ Debt Financing) ย้อนกลับไปสมการข้างบน จะเห็นว่า เมื่อบริษัทดำเนิน กิจการไป ได้กำไร มาแต่ละปี ก็จะเอาไปบวกในส่วนของ ผู้ถือหุ้น ก็คือ ส่วนของทุน มีมากขึ้นๆ นั่นเอง (สมมติว่าไม่ ได้เอาไปจ่ายปันผล ทุนนี้ ก็มักจะเป็นเงินสดนั่นเอง - คิด แบบง่ายๆ ก่อนนะครับ) เช่น ผมกับเพื่อน ร่วมกันทำธุรกิจ ลงต๋งกันรวมกันมีเงิน 7 ล้านบาท กู้มาอีก 3 ล้านบาท รวมกันเป็น 10 ล้านบาท ดังนั้น สินทรัพย์คือ 10 (สินทรัพย์) = 3 (หนี้สินเป็นเงินกู้) + 7 ทุนหรือส่วน ................................................... ของผู้ถือหุ้น ทีนี้ ดำเนินกิจการไป ปีแรก ได้กำไรมา 2 ล้านบาท ก็จะ ได้สมการเป็น 12 (สินทรัพย์) = 3 (หนี้สินเป็นเงินกู้) + 7 ทุนหรือส่วน ................................................  ของผู้ถือหุ้น ................................................ + 2 (กำไร) ดังนั้น คร่าวๆ แล้วจะเห็นว่า ส่วนของผู้ถือหุ้น จะมากขึ้น หรือน้อยลงได้ ก็คือมาจากกำไร/ขาดทุน ในแต่ละปีนี่เอง (พูดอีกที คือกำไรในแต่ละปี จะ Merge หรือรวมเข้าไป กลายเป็นส่วนของผู้ถือหุ้นครับ) ส่วนคำถามที่ว่า สินทรัพย์ยิ่งเยอะ ดีหรือไม่ จริงๆ แล้ว ถ้าสินทรัพย์นั้น ไม่ได้มาจากการกู้หนี้ยืมสินมากนัก ก็จะดี แต่หากสินทรัพย์ ได้มาจากการกู้หนี้ ก็ไม่ดีนัก เพราะจะ ต้องมีภาระดอกเบี้ยจ่ายตามมา และในหลายๆ ที ทางบัญชี เรามีการคำนวณผลตอบแทน ต่อสินทรัพย์ด้วยในรูปของ ROA (Return of Asset) ซึ่ง เป็นดัชนีบอกว่า ผู้บริหาร หรือ บริษัท สามารถใช้ประโยชน์ จากสินทรัพย์ได้ดีเพียงไรครับ ค.ล. ความเห็นลงท้าย งบการเงิน หรือ Financial Statement นั้นประกอบไปด้วย งบฯ สี่อย่างนะครับคือ 1. งบดุล (Balance Sheet) 2. งบกำไรขาดทุน (Profit/Loss) 3. งบหรือบัญชีกระแสเงินสด (Cash Flow statement) 4. บัญชีแสดงส่วนเปลี่ยนแปลงของผู้ถือหุ้น จะเห็นว่า งบดุลนั้น เป็นเพียงหนึ่งในสี่อย่าง ของงบการเงิน เท่านั้นเอง ยังมีอีกสามบัญชี ที่ต้องพิจารณาด้วยครับ แก้ไขเมื่อ 14 พ.ย. 48 09:03:54 จากคุณ : มือเก่าหัดขับ - [ 14 พ.ย. 48 09:01:02 ]

ความคิดเห็นที่ 9 ขอบคุณพี่ มือเก่าหัดขับ ครับ จากคุณ : ธงผา - [ 14 พ.ย. 48 09:22:19 ]

ความคิดเห็นที่ 10 น่าจะเปลี่ยนชื่อเป็น  มือเก่าขับคล่อง นะ   ขอบคุณมากครับ จากคุณ : zz_ok - [ 14 พ.ย. 48 09:27:09 ]

ความคิดเห็นที่ 11 ขอบคุณครับ จากคุณ : d.hunt - [ 14 พ.ย. 48 10:40:24 ]

ความคิดเห็นที่ 12 ขอบคุณทุกคนมากๆ ครับ ^^ พี่ๆ ห้องนี้จายดีจังเลย ^^ จากคุณ : Por3k - [ 14 พ.ย. 48 17:04:51 ]

ความคิดเห็นที่ 13 เท่าที่อ่าน+รู้แบบงูๆ ปลาๆ ผมก็ว่า ลดพาร์เพื่อล้างขาดทุนสะสมนี่ มันก็เป็นเหตุเป็นผลนะ ไม่งั้นรอกว่าจะทำกำไรลบ ขาดทุนได้นี่ ไม่รู้ต้องรออีกตั้งเท่าไหร่ แต่ถ้าจำไม่ผิด ลด par กะแตก par นี่ต่างกันมั้งครับ ลด par จะไม่มีผลต่อจำนวนหุ้นที่เราถือ แต่ถ้าแตก par จะมีผลต่อหุ้นที่เราถือ เช่น ถ้าเรามี หุ้นอยู่ 10 หุ้น    พาร์ 10 บาท   รวมเท่ากับ 100 บาท ถ้าแตก par จาก 10 บาทเป็น 1 บาท ก็จะทำให้จาก 10 หุ้นที่เราถือเป็น 100 หุ้น 100 หุ้น 100 บาท มูลค่าโดยรวมเท่าเดิม  แต่ต่อหน่วยจะเปลี่ยนไป ตรงนี้ผมคงเข้าใจไม่ผิดนะ แก้ไขเมื่อ 14 พ.ย. 48 21:40:41 จากคุณ : แมวหลงทาง - [ 14 พ.ย. 48 21:38:01 ]

ความคิดเห็นที่ 14 ดีครับได้ความรู้ดี จากคุณ : กะลังจะเป็นแมงเม่า (UNSOURCE) - [ 14 พ.ย. 48 22:05:24 ]

ความคิดเห็นที่ 15 ... เข้ามาดู จากคุณ : Mr. Fusion - [ 14 พ.ย. 48 23:55:09 ]

ความคิดเห็นที่ 16 ขอถามเสริมอีกอย่างนึงนะครับ มีใครพอจะชี้แจงได้บ้างครับ ว่าเจ้า พาร์ ( par) ทุนจดทะเบียนอะไรนี่ มันมีประโยชน์ยังไงอ่ะครับ แล้วมันจำเป็นแค่ไหนที่ต้องมีอ่ะครับ ดูๆไปแล้วแบบนี้ จดทะเบียน 10 บาท หรือบาท เดียวก็ไม่มีผลอะไรเลยอ่ะดิครับ แบบนี้จดทะเบียน ตัวละ 1 สตางค์ดีกว่า จะได้ไม่ต้องเสียเงิน ว่าแต่มันมีผลยังไงเหรอครับ ช่วยชี้แจงด้วยครับ ขอบคุณครับ จากคุณ : คนสงสัย - [ 15 พ.ย. 48 00:07:14 A:203.118.85.248 X: TicketID:111281 ]

ความคิดเห็นที่ 17 พาร์เดิมสิบ ทำขาดทุนไปแปด ก็ลดพาร์เหลือหนึ่ง กำไรตั้งเท่าตัว จากคุณ : appendix - [ 15 พ.ย. 48 00:47:10 A:192.38.24.19 X: TicketID:090028 ]

ความคิดเห็นที่ 18 ... เข้ามาดู จากคุณ : M_and_M (Myth&Miracle) - [ 15 พ.ย. 48 01:32:40 ]

ความคิดเห็นที่ 19 เรื่องของการ "แตกพาร์" ในต่างประเทศ เรียกว่า "Split" ก็คือแตกหุ้นออก โดยมีเป้าหมายเพื่อทำให้มีจำนวน หุ้นมากขึ้น และราคาซื้อขายลดลงตามส่วน เช่นเดิมที มีหุ้นทั้งหมด สิบล้านหุ้น ราคาพาร์หุ้นละ 10 บาท ก็แตกออกเป็น ยี่สิบล้านหุ้น ราคาพาร์หุ้นละ 5 บาทเป็นต้น วัตถุประสงค์หลัก ในทางทฤษฎีของการแตกพาร์ เนื่องจาก ราคาหุ้น ไม่สะท้อนผลประกอบการที่ดีขึ้น คือเมื่อหุ้นมี ราคาสูงมากๆ ราคาที่เพิ่มขึ้นอาจจะเริ่มไม่สัมพันธ์กับ ผลประกอบการที่ดีขึ้น จึงทำการแตกหุ้นออก เพื่อให้ราคา หุ้นต่ำลง การซื้อขายก็ง่ายขึ้น ทำให้ราคาหุ้น สะท้อนความ เป็นจริงได้มากขึ้น (ดูรูปประกอบ) อีกทั้ง ทำให้สภาพ คล่องในการซื้อขายดีขึ้นด้วย ทั้งนี้ ต้องอย่าลืมว่า การลง ทุนในตลาดหุ้นนั้น มีข้อดีที่เหนือกว่าการลงทุนเอง หรือ การลงทุนในรูปอื่นๆ หลายๆ ลักษณะ ตรงที่สามารถ "แยก หรือตัดส่วน" แบ่งขายเปลี่ยนมือ หรือเปลี่ยนเป็นเงิน ได้ ดีกว่า และเร็วกว่าการลงทุนในอีกหลายๆ แบบครับ จากคุณ : มือเก่าหัดขับ - [ 15 พ.ย. 48 08:09:56 ]

ความคิดเห็นที่ 20 ดังนั้น เจ้าของใหญ่, นักลงทุนส่วนใหญ่, หรือผู้ถือหุ้นส่วน ใหญ่ ก็มักจะพยายามรักษาความมีสภาพคล่องนี้ไว้ หาก สภาพคล่องต่ำเกินไป ก็มักจะแตกพาร์ออกมา อันนี้ว่ากัน ตามทฤษฎีนะครับ ไม่พิจารณาถึงว่า แตกแล้วใครๆ ก็คิด (ตามๆ) กัน (เอาเอง) ว่าจะวิ่งขึ้นต่อ แล้วมันก็เลยวิ่งต่อ จริงๆ (ฮา...) ส่วนทำไมต้องมีราคาพาร์ ก็คงเป็นทุนเริ่มแรกน่ะครับ จริงๆ แล้วการขายหุ้น หากขายได้มากกว่าราคาพาร์ ก็จะ บันทึกไว้เป็นส่วนเกินมูลค่าหุ้น อยู่ในส่วนของผู้ถือหุ้นนั่น เอง และเมื่อกิจการดำเนินงานไปเรื่อยๆ เกิดกำไรสะสม มากขึ้น หรือในทางตรงกันข้าม เกิดขาดทุนสะสมขึ้น ราคา พาร์ก็ไม่ได้มีความหมายอะไรนัก ตัวเลขที่มีความหมาย มากกว่ายังมีอีกมาก เช่น Book Value หรือ Earning per Share, ROA, ROE, D/E Ratio เป็นต้น สำหรับผม ราคาพาร์ บอกแต่เพียงว่า หุ้นตัวหนึ่งๆ ผ่านร้อน ผ่านหนาว มาอย่างไร เจริญเติบโตมาแค่ไหนเมื่อนับจาก วันเริ่มแรก เช่น SCC ราคาตอนนี้เป็นสองร้อยเท่าของพาร์ ในขณะที่ Book Value ก็เพิ่มขึ้นกว่าร้อยเท่าของพาร์ เป็นต้นครับ จากคุณ : มือเก่าหัดขับ - [ 15 พ.ย. 48 08:17:57 ]

ความคิดเห็นที่ 21 ถ้าไม่อยากจำอะไรให้ยุ่งยาก ให้จำแค่ง่ายๆดังนี้ครับ "ถ้ามีการลดจำนวนหุ้นลง พอร์ตจะเสียหายมากที่สุด" ส่วนวิธีอื่น  เป็นวิธีการแต่งบัญชี ไม่ให้พอร์ตของผู้ถือหุ้นรายใหญ่เสียหายมากครับ จากคุณ : endophine - [ 15 พ.ย. 48 08:38:32 ]

ความคิดเห็นที่ 22 ห้องนี้มีคนเก่งๆ อีกเยอะมากๆ แต่ไม่ค่อยแสดงตัวกันออกมา ขอบคุณ คุณมือเก่าหัดขับมากครับ ให้รายละเอียดดีมากเลย จากคุณ : Birdiaya - [ 15 พ.ย. 48 09:42:45 ]

ความคิดเห็นที่ 23 ยินดีครับ อยากให้ นักลงทุน มีความรู้กว้างๆ หลายๆ ด้าน ทั้งด้านการเงิน บัญชี ธุรกิจการตลาด การเมือง สังคม น่ะครับ เพราะการเป็นนักลงทุน ดูเผินๆ แล้วเหมือนว่าจะ ง่าย แต่เอาเข้าจริง จะต้องมีความรู้หลากหลายมาก จึงจะ ประสบความสำเร็จได้ครับ ในห้องนี้ ยังมีเพื่อนๆ เก่งๆ อีกมากมายครับ ซึ่ง ไม่ใช่ผม หรอก จากคุณ : มือเก่าหัดขับ - [ 15 พ.ย. 48 11:05:46 ]

ความคิดเห็นที่ 24 เป็นการล้างขาดทุน แบบ พลิกฝ่ามือ ง่ายๆ เลยครับ ผมว่า ไม่มีฝีมือ นะครับ จากคุณ : samsam - [ 15 พ.ย. 48 11:43:05 ]

ความคิดเห็นที่ 25 คุณมือเก่าหัดขับ ทำให้มือใหม่ยังไม่ได้เริ่มหัดอย่างผม เข้าใจได้เลยครับ อธิบายเห็นภาพเลย ขอบคุณมากๆครับ จากคุณ : แฟน not found (แฟน not found) - [ 15 พ.ย. 48 15:11:28 ]

ความคิดเห็นที่ 26 ขอบคุณครับ ได้ความรู้ดีกระทู้นี้ จากคุณ : แมวหลงทาง - [ 15 พ.ย. 48 15:41:02 ]

ความคิดเห็นที่ 27 ได้ความรู้เยอะเลยครับ จากกระทู้ นี้ครับ ขอบคุณครับ จากคุณ : Boomer&Ben - [ 15 พ.ย. 48 16:57:32 ]

ความคิดเห็นที่ 28 ได้ความรู้ดีครับ กระทู้นี้ จากคุณ : samsam - [ 16 พ.ย. 48 12:44:08 ]

ความคิดเห็นที่ 29 ขอบคุณทั้งผู้ตั้งกระทู้ และคุณมือเก่าหัดขับครับ ได้ความรู้เพิ่มขึ้น จากคุณ : นายทอง - [ 16 พ.ย. 48 13:20:10 A:61.47.97.65 X: ]

ความคิดเห็นที่ 30 โหวตครับ คุณมือเก่าหัดขับ ตอบได้กระจ่างมากครับ จากคุณ : โตนปลิว - [ 16 พ.ย. 48 15:26:36 ]

ความคิดเห็นที่ 31 ขอบคุณมาก ๆ ค่ะ ละเอียดดีจัง จากคุณ : แนนแนน - [ 16 พ.ย. 48 18:52:31 ]

ความคิดเห็นที่ 32 โหวด  ได้ความรู้เพิ่มขึ้นมากเลย จากคุณ : pisoran - [ 16 พ.ย. 48 21:13:36 ]

ความคิดเห็นที่ 33 ขอบคุณมากครับ ผมกดเก็บเข้าคลังกระทู้เก่าแล้ว ถือว่าเป็นกระทู้น่าเก็บ จากคุณ : popo \-_-/ - [ 17 พ.ย. 48 07:14:35 ]

ความคิดเห็นที่ 34 เข้ามาทัก พี่น๊อตครับ จากคุณ : GABLIEL - [ 17 พ.ย. 48 19:23:37 ]

ความคิดเห็นที่ 35 พาร์เป็นราคาแรกเริ่มการเข้าตลาดหลักทรัพย์ครับ เป็นจุดอ้างอิงที่มักเริ่มกันที่ หุ้นละ 10 บาท  ต่างจาก ค่า Book Value ที่เป็นค่าหุ้นที่คำนวณจาก ทุนจริงๆในขณะนั้นของบริษัท หารด้วยจำนวนหุ้นทั้งหมดที่มีอยู่  และก็มีอีกค่าหนึ่ง ก็คือ ราคาตลาด ของหุ้นที่มีการตกลงซื้อขายกันจริงๆ ในแต่ละเวลาขณะหนึ่ง   ปกติแล้ว ถ้าหากบริษัทขาดทุน   ตัวเลขทางบัญชีจะแสดงให้เห็นว่ามี จำนวนขาดทุนเท่าใด ตัวเงินจริงๆ อาจถูกจ่ายไปแล้ว หรือยังค้างอยู่เป็นหนี้ก็ได้  เมื่อสรุปบัญชี เขาก็ต้องหาเงินมาลบยอดขาดทุนออกไป เพื่อเป็นการได้ทราบจริงๆว่า มีเงิน หรือทุนคงเหลืออยู่เท่าใด หรือเป็นการชำระหนี้ขาดทุนที่ค้างอยู่ให้หมดไป  เช่น เดิมมีทุน 10 ล้านบาท ไตรมาสนี้ขาดทุน 2 ล้านบาท  แสดงว่า ทุนก็หายไป 2 ล้านบาท คงเหลือเป็น 8 ล้านบาท ราคา Book Value ก็ลดลงไป (สมมติว่า หุ้นละ 10 บาทเป็นราคาพาร์  มี 1 ล้านหุ้น) เมื่อ ทุนลดลง ราคาหุ้นตาม Book Value ก็เหลือ หุ้นละ 8 บาท  แต่ราคาพาร์ยังคงเดิมอยู่คือ 10 บาทต่อหุ้น  จนเมื่อทางบริษัทต้องการหาคนมาเพิ่มทุน เพราะ ทุนเหลือ 8 ล้านบาททำงานยาก บางทีเงื่อนไขการขายสินค้า ลูกค้าอาจต้องการทุน 10 ล้านบาท เลยต้องหาคนมาเพิ่มทุนต้องประกาศหาเงินเพิ่มอีก 2 ล้านบาทมาชดเชย  โดยประกาศเพิ่มทุนในตลาดหุ้นอีก 2 แสนหุ้นในราคาพาร์ (หุ้นละ 10 บาท )แต่ไม่มีใครเอาเข้าร่วมเพราะรู้ว่าบริษัทขาดทุน ราคา BookValue  ลดลงเป็น 8 บาท เจ้าของบริษัทต้องประกาศลดราคาพาร์เป็น 8 บาทต่อหุ้นเหมือนกัน จึงจะมีคนสนใจ โดยต้องขายหุ้นเพิ่มอีก จาก 2 แสนหุ้นเป็น 2 แสนห้าหมื่นหุ้นเพื่อให้ได้เงินทุน 2้ ล้านกลับมาคงเดิม คราวนี้ผู้สนใจเข้าร่วมหุ้นเขาก็ยินดี เพราะได้มีจำนวนหุ้นมากกว่าเดิมจากราคาพาร์เดิม 10 บาทต่อหุ้นในจำนวน 2 แสนหุ้นเท่านั้นครับ และยังได้สิทธิ์การเป็นเจ้าของเพิ่มอีกคือได้ 20% ครับ (ถ้าราคาพาร์เดิมจะได้เพียง 16% ครับ) เท่านี้  บริษัทก็กลับมามีทุนคงเดิม 10 ล้านบาท แต่มีหุ้นเพิ่มขึ้นมาเป็น 1 ล้าน 2 แสน 5  หมื่นหุ้นครับ แต่ในทางปฏิบัติ ลดราคาพาร์ลงแค่ 8 บาทอาจไม่จูงใจให้ใครเข้ามาลงทุน เพราะรู้ว่าเคยขาดทุนเลยต้องลดลงมากๆ เช่นเหลือ 5 บาทต่อหุ้น หรือ 1 บาทต่อหุ้นไปเลยครับ แก้ไขเมื่อ 18 พ.ย. 48 14:37:41 จากคุณ : มิราชช (vilaithong) - [ 18 พ.ย. 48 14:34:38 ]

ความคิดเห็นที่ 36 เมื่อก่อน บ่อยมาก ที่ทั้งลดจำนวนหุ้น ทั้งแตกพาร์ไปพร้อมๆกัน เช่น ตัวอย่างจริง หุ้นบุริมสิทธ์ NFS พาร์ 100 ตอนนั้นยังเป็นลีกวงมิ้ง แต่แล้ว เกิดวิกฤติราชาเงินทุน 1 หุ้นเก่า กลายเป็น 3 หุ้นใหม่ พาร์ 10 บาท เท่ากับว่า หุ้น 10 ส่วน หายไป 7 ส่วน   11 ปีต่อมา ขนาดมีการเพิ่มทุน 3 ครั้ง ยังราคาหุ้นละตั้งเกือบ 500 บาท แต่ 4 ปีต่อมา เหลือ 2 บาท 10 สตางค์  ยังดีกว่าเจ๊งแหละน่า 7 ปีต่อมา  คือตอนนี้แหละ ได้เวลาเพิ่มทุนอีกครั้งแล้ว จากคุณ : prettypetite - [ 20 พ.ย. 48 19:46:42 ]