กระสือการเงินที่เอาเปรียบประชาชนที่แท้จริงคือธนาคาร
นอกเหนือจากการขูดรีดส่วนต่างดอกเบี้ยเงินฝากและเงินกู้ที่ต่างกันมาก อัตราแลกเปลี่ยนเงินตราที่เราไปซื้อและไปขายกับธนาคาร ก็ต่างกันมากแล้ว ล่าสุดเท่าที่พบมากับตนเองเมื่อ ปตท. ออกหุ้นกู้รุ่นล่าสุดที่จะให้ประชาชนเป็นผู้กู้ กำหนดระยะเวลากู้ 6 ปี ให้ดอกเบี้ย 6.7 % โดย ปตท. จะชำระดอกเบี้ยให้ทุก 6 เดือน ประชาชนผู้สนใจ ต้องชำระเงินภายในสิ้นเดือนพฤศจิกายน 2548 นี้ โดยมีธนาคารกสิกรไทย ธนาคารไทยพาณิชย์ และ ธนาคารกรุงเทพ เป็นแกนนำการจัดจำหน่าย เมื่อมีผู้รู้ข่าว และติดต่อกับธนาคารดังกล่าวข้างต้น จะได้รับคำตอบว่า ธนาคารใหญ่ตัดตอนไว้ทั้งหมดแล้ว แต่ถ้าสนใจ ธนาคารมีกองทุนรวมเพื่อซื้อพันธบัตร และ หุ้นกู้ ระยะเวลา 3 ปี ให้ดอกเบี้ย 3.5 % เท่านั้น ลองคิดดูซิว่า นอกจากกันไม่ให้หู้นกู้ดี ๆ ดอกเบี้ยสูง ๆ ตกถึงมือประชาชนยังไม่พอ กลับสามารถเอาเงินประชาชนผู้สนใจจะซื้อแต่ซื้อไม่ได้ ไปซื้อเงินกองทุนรวมของธนาคารแทนและให้ดอกเบี้ยเพียงครึ่งเดียวของที่ควรจะได้ ธนาคารไม่ต้องลงทุนอะไรเลย ได้ดอกเบี้ยอีกครึ่งหนึ่งไปอย่างสบาย ผู้นี่มันเกิดอะไรขึ้นกับระบบการเงินของประเทศชาติ แทนที่ประชาชนจะได้มีช่องทางลงทุนที่ได้ผลตอบแทนที่ดีขึ้น กลับมาถูกกระสือการเงินเหล่านี้ดูดไปเสียหมด แต่หากมีการออกหุ้นกู้ของบริษัทฯ ที่การประกอบการไม่ดี โดยมีธนาคารเป็นแกนนำการจัดจำหน่าย ก็จะมีพนักงานของธนาคารเที่ยวโทรศัพท์ไปอ้อนวอนให้ผู้ฝากเงินของธนาคารช่วยซื้อกันอุตลุด โดยจะให้เหตุผลว่า ช่วยกันซื้อหน่อย มิฉะนั้นพนักงานผู้นั้นจะถูกพิจารณาว่า ผลงานไม่ดี ซึ่งจะมีผลกระทบต่อหน้าที่การงานได้ ทำให้ต้องซื้อด้วยความสงสาร และ ฯลฯ
ทำไมบริษัทที่จะออกหุ้นกู้ซึ่งเป็นบริษัทที่มีธรรมาภิบาลในการประกอบการสูง เช่น ปูนซีเมนต์ไทย และ ปตท. จึงไม่คิดออกหุ้นกู้ โดยผ่านสำนักงานสาขาซึ่งมีอยู่ทั่วประเทศด้วยตนเอง เพื่อ เป็นการได้ติดต่อสื่อสารโดยตรงถึงประชาชนผู้พร้อมจะเอาเงินให้กู้ด้วยความเต็มใจเล่า เมื่อพูดถึง ปูนซีเมนต์ไทย หากการออกหุ้นกู้แต่ละครั้ง ไม่มีกฏเกณฑ์ว่า จะให้ผู้ถือหุ้นกู้เดิมเป็นผู้ซื้อหุ้นกู้แล้วไซร้ มีหวังประชาชนก็คงจะไม่ได้ซื้อหุ้นกู้อีกเช่นกัน คงจะถูกบังคับทางอ้อมให้ซื้อเงินกองทุนของธนาคารซึ่งให้ดอกเบี้ยต่ำ ๆ แทนแน่นอน
จากคุณ :
ผ่านมาช่วยตอบ
- [
20 พ.ย. 48 10:29:26
]