PANTIP.COM : I3900147 หูย ไรจะถูกขนาดนี้ psl !! []

ความคิดเห็นที่ 9

ฮ่าๆ มีคนใส่หัวโขนให้ผมเสียแล้ว
คุณ virust เรื่อง ๖๕๕ ผมเคยพูดไว้นานแล้วเลยขี้เกียจท้าวความ
และก็อย่าเชื่อผมมากครับ แค่แลกเปลี่ยนความเห็นกันเฉยๆ ถ้ามันกลับตัวจากตรงนี้ ผมซะอีกที่จะต้องไปหาจุดไล่ตามตาลีตาเหลือก ฮ่าๆ

ส่วนเรื่องความถูกสัมพัทธ์ กับ psl ผมเคยพูดไว้แล้วเหมือนกัน ลอง search ดูเองนะครับ

อีกอย่าง ผมก็แค่คนเล่นหุ้นคนหนึ่ง มีถูกมีผิดได้ เล่นหุ้นให้ตนเองอย่างเดียว รับความเสี่ยงเอง ไม่ได้สนใจนักวิเคราะห์ หรือใครอยู่แล้ว ก็แค่ทำตามสิ่งที่ตัวเองเห็น ก็เท่านั้นครับ แลกเปลี่ยนความเห็นเฉยๆ

ตอนนี้ ผมมีแต่เงินสด หลังจากหลุด ๖๗๖ รอบแรก ผมก็ขายล้างปอด สบายใจเฉิบ (ซื้อตอนนี้ กำไรส่วนต่างขาลงทุกตัวแล้ว) กับเล่นซื้อเย็นขายเช้า มาพักหนึ่งแล้ว

ก็แค่บอกให้ฟังว่าจุดไหน ผมจะซื้อเต็มปอดอีกรอบ และ psl เป็นหนึ่งในตัวที่มีความถูกสัมพัทธ์เมื่อเปรียบเทียบ กับสมดุลย์ของมัน(อันนี้ ผมไม่เคยพูดถึง และคงจะไม่อธิบาย เพราะมันจะซับซ้อนเกินไปครับ เรื่องสมดุลย์นี้ หมายความว่ามีแต้มต่อ เมื่อเทียบกับคนที่ซื้อใกล้ๆกัน และมันง่าย ที่จะทำราคาขึ้น เมื่อมาถึงจุดนั้นๆ เพราะมันหลุดสมดุลย์ไปแล้วครับ ส่วนจะไปไกลแค่ไหน ก็ต้องไปดูว่า รอบของ ภาพรวมคือ index มันไปไกลแค่ไหน หรืออาจจะเป็นแค่รีบาวด์ ก็สั้นหน่อย แต่โอกาสขึ้น อย่างไร ก็มีมากกว่าลง แม้ว่า cycle ของมันจะเป็นขาลงก็ตามครับ
psl ผมเคยพูดตอบไว้ ลอง search ดูครับ
ตัวอย่างคือ atc เป็นตัวหนึ่งที่หลุดสมดุลย์ แล้วราคาขึ้นเมื่อรอบที่ผ่านมาครับ แม้ผมจะไม่ได้เล่นก็ตาม แต่เห็นแล้วเสียดายเหมือนกัน เพราะตอนนั้น ก็เหมือน psl แบบนี้แหละ)
อย่างไรก็ดี ผมก็ผิดบ่อยไปครับ

ตอบคุณพ่อน้องไอซ์ครับ
ผมใช้ทฤษฎีคลื่น เลขฟิโบฯ แพทเทริ์นของแท่งเทียนความสัมพันธ์ระหว่างราคา กับ rsi
ก็คงประมาณนี้
ผมไม่ได้ใช้โปรแกรม
ผมใช้มือนี่แหละ ขีดเอาเลย
กราฟไหนก็ได้ โปรแกรมไหนก็ได้ เหมือนกันแหละ เพราะผมขีดเอาด้วยมือครับ ฮ่าๆ(ชอบระบบ manual มากกว่า auto)

ส่วนรายละเอียดการคำนวน ลอง search กระทู้เก่าๆดู เคยอธิบายแล้ว เพียงแต่ไม่ได้โพสต์ภาพเท่านั้น ถ้าไม่มีพื้นความเข้าใจมาเลย ก็คงจะเข้าใจยากเหมือนกัน

เทคนิคมันเป็นเรื่องของความเข้าใจครับ
กราฟไม่ใช่พระเจ้า มันก็แค่สะท้อนการกระทำของมนุษย์ ที่พยายามปกป้องผลประโยชน์ของตน ในสถานะที่ไม่มั่นใจครับ(เพราะไม่มีใครเห็นอนาคต ได้แต่คาดเดา และตื่นกลัว และโลภ ไปตามกระแส วนไปเวียนมา)

ถ้าเข้าใจแล้วมันก็ง่าย
อธิบายง่ายๆว่า

๑ การเคลื่อนไหวของชนหมู่มาก ใช้จิตวิทยาการทำตามกัน มนุษย์มักรู้สึกไม่มั่นคง เมื่อทำอะไรเอง
ยิ่งเป็นเรื่องที่เกี่ยวกับผลประโยชน์ มนุษย์ยิ่งกลัวที่จะตัดสินใจ ดังนั้น มันก็เลยสะท้อนในกราฟ เป็นแพทเทริ์นเดิมๆ

๒ ทฤษฎีคลื่น สะท้อนภาพในใจของความกลัว-โลภ การตามอย่างกัน ความไม่มั่นคงในใจนี้ ออกมาด้วย ดังนั้น ผมไม่ค่อยเชื่อโปรแกรมนับ ผมนับเอง และผมจะให้ความสำคัญ กับยอดคลื่นลูกล่าสุดมากที่สุดครับ(ทุกครั้งที่ขึ้นแล้วลงก็เป็น ๑ คลื่น ง่ายๆครับ)

๓ price patern กับ rsi เมื่อเราตี channel ได้แล้ว เราก็จะเห็นการ break channel เสมอ เมื่อตลาดเลือกทาง ถ้ายิ่งมีความชันมากๆ ยิ่งดี แต่ระยะสั้น มักถูกแรงดึงดูดกลับสู่สมดุลย์เดิมเสมอ เหมือนเวลาที่หุ้นถูกทุบลงมา มันจะเด้งขึ้นมาเอง(ขาขึ้นปรับตัวลงเรียก consolidate, ทุบลงรีบาวด์สั้นเรียก small rally)สักพัก ถ้าไม่เกิดไฮใหม่ มันก็จะม้วนตัวลงมา การเคลื่อนไหวของราคา มันอ่อนไหวกว่า rsi ดังนั้นถ้ามันเกิดไดเวอร์เจ๊ง พร้อมโวลุ่ม ให้เชื่อ rsi ไว้ก่อน
ดังนั้น ความชันของ rsi(ยิ่งชันยิ่งหนักแน่น) มีผลต่อการเคลื่อนไหวของราคาในระยะยาว เมื่อตี channel ความกว้างของมันจะมีค่าใกล้เคียงอดีตเสมอ ดังนั้น เราก็จะพอคาดการณ์อนาคตได้ ว่ามันควรไปหยุดที่จุดไหน และเมื่อไร(แต่เวลานี่ยากกว่า เพราะมันขึ้นอยู่กับว่า เราอยู่ในคลื่นไหน เพราะอัตราเร่งในแต่ละคลื่นของความกลัวกับโลภมันต่างกัน ถ้าดูผิด ก็แน่นอน ว่าเวลาจะคลาดเคลื่อนไปมากครับ เช่น คลื่น ๓ ขึ้นง่าย ขึ้น เร็ว กว่าปกติ ไรแบบเนี้ยครับ)

ถ้าเราเข้าใจความสัมพันธ์ของราคากับ ความชันของ rsi เราก็จะไม่รีบไล่ราคา เพราะเราจะรู้เสมอว่านี่ มันก็แค่ชั่วคราว สักพัก มันก็หล่นลงมาเอง ฮ่าๆ(สิ่งที่สำคัญที่สุดของการเล่นหุ้น ไม่ใช่ เล่นเพื่อให้ได้กำไรมากที่สุด แต่เล่น เพื่อให้ชนะเกมส์ เราจะชนะเกมส์ ก็ต่อเมื่อเราอยู่ในจุดที่เซฟถูกไหมครับ ส่วนจะเซฟกันตรงไหน อันนี้ ระบบของใครก็แล้วแต่จะสรรหากัน แต่ระบบที่ใช้ อารมณ์ เจ๊งแน่นอนครับ ฮ่าๆ)

๔ เลขฟิโบนัชชี่ คือเลขแห่งสมดุลย์ธรรมชาติ มนุษย์เป็นส่วนหนึ่งของธรรมชาติ อารมณ์มนุษย์ก็เช่นกัน
ที่ถามมาว่า ผมคำนวนอย่างไร
ผมเคยอธิบายว่า ผมไม่เคยใช้เส้นค่าเฉลี่ย
ผมไม่เคยมีแนวรับแนวต้าน
ผมมีแต่จุดที่มาถึง แล้วมันเซฟ
กับจุดที่ไปผิดทาง แล้วมันไม่เซฟ
และจุดที่ต้อง ยอมรับว่าผิดพลาด แล้ว cover short

เลขฟิโบนัชชี่ คือ ทำให้ผมซื้อ หรือขาย ที่จุดนั้นๆ โดยปราศจากความกลัวหรือโลภ(เวลาคนโลภมากๆ= เสียสมดุลย์ความโลภต่อราคา ดังนั้น ราคาต้องลง, เวลาคนกลัวมากๆ=เสียสมดุลย์ความกลัวต่อราคา ดังนั้น ราคาต้องขึ้น ถ้าเข้าใจพื้นฐานความคิดนี้แล้ว เราก็จะเลิกทำตามคนอื่นอีกต่อไป และไม่กลัวผลลัพธ์ของมัน อย่างไรก็ดี ต้องมี stop loss กับ cover short เสมอ เพราะเราไม่ใช่พระเจ้า ที่จะล่วงรู้อนาคต เราก็แค่กำจัดความโลภ กลัว ออกจากร่างกาย แล้วซื้อขายตามที่เราเห็นครับ)

คร่าวๆ ก็คงประมาณนี้ครับ

ก็ผิดบ้าง ถูกบ้าง แต่ถ้าส่วนใหญ่ถูก และคุมอารมณ์ตนเองได้ตามระบบเสมอ
ระยะยาว คือกำไรครับ

หวังว่าจะเป็นประโยชน์นะครับ

จากคุณ : แมงเม่ามือใหม่ - [ 23 พ.ย. 48 14:19:50 A:58.136.69.94 X: TicketID:080268 ]

ความคิดเห็นที่ 24

ตอบคุณ holysix
ผมเดานะครับ (ถ้าใครรู้จริงมาแก้ก็ดี)

๑ ความสมดุลของปีก จำเป็นต้องเป็นตัวเลข fibo เดียวกันไหม?

ผมคิดว่าไม่นะครับ เพราะถ้าอยู่ในเวฟ c หลังสร้างปีกแรก a-b ปีกที่ ๒ เมื่อสร้าง c อาจลงได้ถึง ๑๖๑.๘ หรือ ๒.๖๑๘ ซึ่งอาจทำให้ภาพมันแปลกๆอยู่บ้าง ถูกไหมครับ แต่ก็ยังนับเป็น ผีเสื้อนะผมว่า ถ้าลงตามสัดส่วนฟิโบฯ

แต่ถ้าปีก ๒ อยู่ในเวฟ ๓ หลังปีก ๑ จากเวฟ ๑-๒ การ retrace ก็ไม่ควรเกิน ๗๘.๖ ถูกไหมครับ (เพราะไม่งั้น ก็ไม่น่าจะเป็นเวฟ ๓ นัก)

หรือ ถ้าปีก ๑ สร้างในเวฟปรับตัว และปีก๒ ส้รางในเวฟ ๑-๒ สัดส่วนของปีกแรก ก็อาจเป็น ๑๖๑.๘ แต่เวฟ ๒ ก็ต้องไม่เกิน ๗๘.๖

ก็น่าจะถือว่าใช้ได้ทั้งหมด

ดังนั้น ถ้าเรามองคลื่นออก เรื่องของสัดส่วนฟิโบฯ สมดุลย์หรือไม่ ก็เป็นเรื่องรองลงไปครับ
แต่ถ้าได้สมดุลย์ของสัดส่วนเป๊ะๆ เช่น ทางไหนก็ ๖๑.๘ อาจจะกระทิงตัวใหญ่หน่อยมั้งครับ

พอเห็นภาพไหมครับ (ทั้งนี้ ทั้งนั้น ผมเดา ฮ่าๆ)

๒ แล้วเวลาหารูปแบบผีเสื้อในกราฟ
ถ้าตัวเลขฟิโบมันไม่เป๊ะๆ แบบว่าขาด-เกินไป 2 - 3 %
รู้สึกว่าหาเจอได้ค่อนข้างบ่อย?

ตอบ ก็น่าจะได้นะครับ ความจริงมันไม่มีอะไรเป๊ะหรอก แค่ ๒-๓ เปอร์เซนต์ ผมว่าแจ่มแล้ว เพราะแค่จุดอ้างอิง เราก็จับไม่เหมือนกันแล้ว แค่การใช้ราคาปิดเปิด กับราคาไฮ โลว์ ประจำวัน ก็ทำให้ความเข้าใจคลาดเคลื่อนกันแล้วถูกไหมครับ

เช่น การลงของปีกที่ ๒ ถ้าลงมาอยู่ระหว่าง ๖๑.๘-๗๘.๖ ไม่เป๊ะ แล้วเราดูว่ามันอยู่ในเวฟ ๒ ถ้าเราไม่กล้าเล่น ผมว่าน่าจะเสียโอกาสทำกำไรที่เซฟที่สุดในขาขึ้นของเวฟ ๓ นะครับ(ทั้งนี้ ทั้งนั้น ต้องดูแท่งเทียน และ ไดเวอร์เจ๊งของ rsi ด้วยนะครับ สำคัญมากเลย)

ผมว่าผีเสื้อมัน ก็อธิบายได้ด้วยหลักจิตวิทยาความโลภ-กลัวเหมือนกัน
คือ เมื่อลงมาถึงจุดใดๆ แล้ว จะเป็นจุดเซฟ ของความกลัวโลภนั้นๆครับ

เอ้า
แถมให้หน่อย

เล่นหุ้นเพื่อชนะเกมส์ คือเล่นที่จุดเสียสมดุลย์ของอารมณ์ผู้เล่น ซึ่งจุดนี้ จะเป็นจุดที่เซฟมากครับ

วันสองวันนี้ เราจะเห็นว่า กลุ่มเรือ โดนทุบจนอ้วกแล้ว มีสักกี่คน ที่กล้าควักเงินซื้อกลุ่มเรือเต็มปอดไหม? (ถ้าซื้อก็นิดหน่อย) ว่างๆ ผมจะวัดมุมดู ว่าลงฟิโบฯ พอดีไหม(ถึงไม่ลงก็อาจจะซื้อก็ได้ ถ้าอย่างอื่นสนับสนุน)
ผมเป็นคนหนึ่งล่ะ ที่กล้าซื้อเรือ แถวนี้ แบบเต็มปอด แต่ต้องดูกราฟและการกลับตัวของเซ็ตก่อน(ผมเชื่อ ว่า เมื่อฝนตก ทุกคนจะเปียกเสมอ ดังนั้น จังหวะรวมของเซ็ตจะสำคัญมาก)

เล่นหุ้น ดูกราฟเพื่อดูอารมณ์โดยรวมของตลาด
กราฟมันไม่ใช่พระเจ้า มันไม่รู้อนาคตหรอก

ใครบอกว่า แนวรับ แนวต้านอยู่ที่เท่าไร อย่าไปเชื่อครับ

มีแต่จุดที่ไปถึง แล้วเซฟหรือไม่ หรือไม่เซฟหรือไม่

สมมติ เราขับรถ เริ่มต้นจากสยามสแควร์ ขับตามสุขุมวิท ไป สมุทรปราการ(อย่าเพิ่งสนทางวันเวย์บังคับอะไรนะครับ แค่เปรียบเทียบเฉยๆ)
เรารู้แต่ว่าต้องผ่านไฟแดงไหนบ้าง ก็เหมือนกับนักวิแคะบอกว่า เมื่อมาถึง ๗๐๐ จุด แนวต้านอยู่ที่ ๗๐๗ แนวรับอยู่ที่ ๖๙๕ พอมา ๖๙๕ บอกแนวรับอยู่ที่ ๖๘๙ แนวต้านอยู่ที่ ๗๐๑ มันก็เหมือนข้อมูลที่บอกว่า เมื่อขับผ่านแยกราชประสงค์ ถัดไปเป็นแยกเพลินจิต ถ้าคุณขี้เกียจไป คุณถอยกลับมา คุณจะมาเจอ แยกมาบุญครอง แต่ถ้าคุณไปต่อ คุณก็จะไป ซอยนานา ฮ่าๆๆๆๆ

ข้อมูล เหล่านี้ ไม่ได้มีประโยชน์ในการตัดสินใจเลย ถูกไหมครับ

ทีนี้ เรามากำหนดปัจจัยเสี่ยงลงไปว่า เราเป็นคนขับรถ ที่กำลังจะขับกลับบ้านที่สมุทรปราการ แต่บังเอิญว่า วันนี้ หิวข้าวมากๆ ระหว่างขับๆไป ความหิวของเราจะเพิ่มขึ้นทีละน้อย
ตอนเริ่มขับอาจจะไม่หิวมาก
และเราไม่รู้ ว่าถึงแยกไหน เราจะหิวมากที่สุด จนร่างกายกำหนดให้เราลงไปกิน
สมมติเราขับมาถึงอโศก เราไม่มีทางรู้ว่าที่พร้อมพงษ์ เราจะหิวจนทนไม่ไหวแล้วหรือไม่
เราจะรู้ก็ต่อเมื่อเราไปถึงพร้อมพงษ์แล้วเท่านั้น

ทางเทคนิคก็เหมือนกัน เมื่อเราไปถึงจุดนั้นแล้ว เราจะรู้ ก็แค่ จุดนั้น ภาพรวมรู้สึกอย่างไร น่าจะซื้อ หรือน่าจะขายแล้วหรือไม่
อย่าไปคาดหวัง ความเที่ยงตรงมากมาย
พอเราถึงอโศก เราก็จะแวะจอดกินร้านอาหารที่ระหว่างแยกอโศก กับห้างเอ็มโพเรียม หรือจะกินมันที่เอ็มโพเรี่ยมเป๊ะๆเลยก็ได้

ถูกไหมครับ

สมดุลย์ของราคากับความโลภ ก็เปรียบเทียบได้กับสมดุลย์ของระยะทางกับความหิวของเราในตัวอย่างนี้ได้

เราจะรู้ก็แค่ว่า ตอนนี้มันเสียสมดุลย์ความโลภกลัวต่อราคาหรือยัง

นี่เป็นขั้นที่สูงขึ้นไปกว่า แนวรับแนวต้านนะครับ

ลองอ่านแล้วไปปรับใช้ดู ก็มั่วๆนิดหน่อย เพราะเขียนเท่าที่คิดออกตอนนี้

หวังว่าจะได้อะไรไม่มากก็น้อยนะครับ

จากคุณ : แมงเม่ามือใหม่ - [ 24 พ.ย. 48 12:21:59 A:58.136.67.10 X: TicketID:080268 ]