ความคิดเห็นที่ 1 ใช่ครับ แต่ดอกเบี้ยขาขึ้น ใกล้สิ้นสุดแล้วครับ คาดว่ากลางปีหน้า จะเป็นจุดสูงสุด จากคุณ : S-sung - [ 21 ธ.ค. 48 20:33:28 ]

ความคิดเห็นที่ 2 ตามปกติ ราคาพันธบัตรหรือราคาตราสารหนี้จะเปลี่ยนแปลงในทิศทางตรงกันข้ามกับอัตราดอกเบี้ย เช่นอัตราดอกเบี้ยปรับตัวขึ้น ราคาพันธบัตรก็จะปรับตัวลดลง ยกตัวอย่างเช่น ถ้ามีพันธบัตรหรือตราสารหนี้ฉบับหนึ่งอายุ 10 ปี กำหนดอัตราดอกเบี้ยหน้าตั๋ว (coupon rate) ไว้ที่ร้อยละ 5 ต่อปี มูลค่าหน้าตั๋วเท่ากับ 1000 บาท นั่นหมายความว่าถ้าบุคคลใดซื้อตราสารหนี้นั้น จะได้รับเงินปันผลทุกปี ปีละ 50 บาทต่อปี ไปทุกๆ ปีตราบเท่าที่ยังถือตราสารนั้น จนถึงสิ้นปีที่ 10 เมื่อครบกำหนด ก็สามารถนำไปไถ่ถอนได้ตามมูลค่าหน้าตั๋ว ซึ่งในกรณีนี้ก็คือ 1000 บาท แต่ในความเป็นจริงแล้ว ช่วงระยะเวลา 10ปี นั้นอัตราดอกเบี้ยในท้องตลาดสามารถเปลี่ยนแปลงได้ตลอดเวลา สมมติว่าอัตราดอกเบี้ยในท้องตลาดเพิ่มขึ้น โดยขึ้นมาเท่ากับร้อยละ 6 ต่อปี นั่นหมายความว่าบุคคลใดถือตราสารหนี้ฉบับข้างต้นจะได้อัตราดอกเบี้ยเท่าเดิมคือตามอัตราดอกเบี้ยหน้าตั๋วคือ ร้อยละ 5 แต่ถ้าเขานำเงินไปลงทุนในด้านอื่นๆ จะได้ผลตอบแทนร้อยละ 6 ตามอัตราดอกเบี้ยในท้องตลาด ซึ่งจะเห็นได้ว่าผลตอบแทนของพันธบัตรน้อยกว่าอัตราดอกเบี้ยในท้องตลาด ดังนั้นคนจะไม่อยากซื้อหรือถือพันธบัตรฉบับนั้น เพราะฉะนั้นราคาพันธบัตรก็จะมีการปรับตัวลดลง ในทางตรงกันข้ามถ้าอัตราดอกเบี้ยปรับตัวลดลง ราคาพันธบัตรก็จะมีแนวโน้มสูงขึ้น ส่วนคำถามที่ว่าในช่วงภาวะที่อัตราดอกเบี้ยเป็นขาขึ้นควรลงทุนตราสารหนี้ระยะสั้นใช่หรือไม่ ต้องตอบว่าใช่ค่ะ เพราะถ้าเราลงทุนในตราสารหนี้ดังกล่าว ราคาของตราสารนั้นจะผันผวนไม่มากนัก (เพราะสามารถไถ่ถอนออกมาได้เร็วกว่า นำเงินเปลี่ยนไปลงทุนอย่างอื่นได้เร็วกว่าตราสารหนี้ระยะยาว) ซึ่งจริงๆ แล้วต้องเรียนให้ทราบว่าในภาวะอัตราดอกเบี้ยขาขึ้นนั้น ตลาดพันธบัตรและตลาดตราสารหนี้จะไม่ได้รับความนิยมมากนัก แต่ถ้าเจ้าของกระทู้ต้องการลงทุนในตลาดตราสารหนี้จริงก็ควรเลือกให้เป็นระยะสั้น แม้แต่พันธบัตรก็ควรเลือกที่มีอายุสั้น หรืออาจเป็นตั๋วเงินคลังซึ่งมีอายุสั้นกว่าพันธบัตร โดยความเสี่ยงของตราสารหนี้ที่ออกโดยบริษัทหรือองค์กรทั่วไปจะมีความเสี่ยงมากกว่าพันธบัตรหรือตั๋วเงินคลังที่ออกโดยรัฐบาล ไม่ทราบว่าตอบได้ตรงประเด็นหรือเปล่า แต่อยากบอกว่าตั้งแต่เข้าเวปมา ไม่เคยตอบคำถามใครยาวขนาดนี้มาก่อนเลยค่ะ จากคุณ : mynameisopportunity - [ 21 ธ.ค. 48 22:05:31 A:61.91.205.198 X: TicketID:071269 ]

ความคิดเห็นที่ 3 ขอบคุณ พี่myname ฯ (ชื่อยาวพอๆกับผมเลย อิอิ) เว้นวรรค เคาะ enter บ้างก็ดีนะครับ จะได้อ่านง่ายหน่อยครับ จากคุณ : DARINGYOUSENDMEHOME - [ 21 ธ.ค. 48 23:05:41 ]

ความคิดเห็นที่ 4 ตามปกติ ราคาพันธบัตรหรือราคาตราสารหนี้ จะเปลี่ยนแปลงในทิศทางตรงกันข้ามกับอัตราดอกเบี้ย เช่น... อัตราดอกเบี้ยปรับตัวขึ้น ราคาพันธบัตรก็จะปรับตัวลดลง ยกตัวอย่างเช่น ถ้ามีพันธบัตรหรือตราสารหนี้ฉบับหนึ่งอายุ 10 ปี กำหนดอัตราดอกเบี้ยหน้าตั๋ว (coupon rate) ไว้ที่ร้อยละ 5 ต่อปี มูลค่าหน้าตั๋วเท่ากับ 1000 บาท นั่นหมายความว่าถ้าบุคคลใดซื้อตราสารหนี้นั้น จะได้รับเงินปันผลทุกปี ปีละ 50 บาทต่อปี ไปทุกๆ ปี ตราบเท่าที่ยังถือตราสารนั้น จนถึงสิ้นปีที่ 10 เมื่อครบกำหนด ก็สามารถนำไปไถ่ถอนได้ตามมูลค่าหน้าตั๋ว ซึ่งในกรณีนี้ก็คือ 1000 บาท       แต่ในความเป็นจริงแล้ว ช่วงระยะเวลา 10ปี นั้น อัตราดอกเบี้ยในท้องตลาด สามารถเปลี่ยนแปลงได้ตลอดเวลา สมมติว่าอัตราดอกเบี้ยในท้องตลาดเพิ่มขึ้น โดยขึ้นมาเท่ากับร้อยละ 6 ต่อปี นั่นหมายความว่า บุคคลใดถือตราสารหนี้ฉบับข้างต้น จะได้อัตราดอกเบี้ยเท่าเดิม คือตามอัตราดอกเบี้ยหน้าตั๋ว คือ ร้อยละ 5 แต่ถ้าเขานำเงิน ไปลงทุนในด้านอื่นๆ จะได้ผลตอบแทนร้อยละ 6 ตาม อัตราดอกเบี้ยในท้องตลาด       ซึ่งจะเห็นได้ว่าผลตอบแทนของพันธบัตรน้อยกว่า อัตราดอกเบี้ยในท้องตลาด ดังนั้นคนจะไม่อยากซื้อหรือ ถือพันธบัตรฉบับนั้น เพราะฉะนั้นราคาพันธบัตรก็จะมีการ ปรับตัวลดลง ในทางตรงกันข้ามถ้าอัตราดอกเบี้ยปรับตัวลดลง ราคาพันธบัตรก็จะมีแนวโน้มสูงขึ้น       ส่วนคำถามที่ว่า ในช่วงภาวะที่อัตราดอกเบี้ยเป็นขาขึ้น ควรลงทุนตราสารหนี้ระยะสั้นใช่หรือไม่ ต้องตอบว่า ....ใช่ค่ะ....       เพราะถ้าเราลงทุนในตราสารหนี้ดังกล่าว ราคาของตราสารนั้น จะผันผวนไม่มากนัก (เพราะสามารถไถ่ถอนออกมาได้เร็วกว่า นำเงินเปลี่ยนไปลงทุนอย่างอื่นได้เร็วกว่าตราสารหนี้ระยะยาว) ซึ่งจริงๆ แล้วต้องเรียนให้ทราบว่าในภาวะอัตราดอกเบี้ยขาขึ้นนั้น ตลาดพันธบัตรและตลาดตราสารหนี้จะไม่ได้รับความนิยมมากนัก แต่ถ้าเจ้าของกระทู้ต้องการลงทุนในตลาดตราสารหนี้จริง ก็ควรเลือกให้เป็นระยะสั้น แม้แต่พันธบัตรก็ควรเลือกที่มีอายุสั้น หรืออาจเป็นตั๋วเงินคลังซึ่งมีอายุสั้นกว่าพันธบัตร โดยความเสี่ยง ของตราสารหนี้ที่ออกโดยบริษัทหรือองค์กรทั่วไปจะมี ความเสี่ยงมากกว่าพันธบัตรหรือตั๋วเงินคลังที่ออกโดยรัฐบาล      ไม่ทราบว่าตอบได้ตรงประเด็นหรือเปล่า แต่อยากบอกว่าตั้งแต่เข้าเวปมา ไม่เคยตอบคำถามใครยาวขนาดนี้มาก่อนเลยค่ะ จากคุณ : mynameisopportunity - น่าอ่านดี จับแยกให้ละกันนะ จากคุณ : เข็มแดง - [ 21 ธ.ค. 48 23:52:56 ]

ความคิดเห็นที่ 5 แล้วในกรณีที่จะซื้อ RMF ตอนนี้โดยเน้นที่ได้รับการลดหย่อนภาษี (ได้ลด 30%) เป็นหลัก ไม่หวังส่วนกำไรจากการเพิ่มมูลค่า แต่ให้มีความเสี่ยงที่จะขาดทุนน้อยที่สุด ไม่ทราบว่าควรจะซื้อกองทุนพันธบัตรหรือตราสารหนี้ของใครดีครับ ช่วยแนะนำซัก 2-3 กองทุนเผื่อเลือกด้วยครับ จากคุณ : อ่อนนุช (onnuch) - [ 22 ธ.ค. 48 00:42:14 ]

ความคิดเห็นที่ 6 ตราสารหนี้ระยะสั้น ธ.ไทยพาณิชย์ จากคุณ : ironmav - [ 22 ธ.ค. 48 07:27:04 ]

ความคิดเห็นที่ 7 ขอบคุณมากๆครับ คุณ S-sung, คุณ mynameisopportunity สำหรับความคิดเห็นและความรู้เพิ่มเติม ส่วนตัวแล้วก็คิดเหมือนกันว่าดอกเบี้ยขาขึ้นคงจะถึงจุดพีคในปีหน้า อีกอย่างที่ถามคำถามนี้เนื่องจากต้องการลงทุนใน RMF ที่เป็นตราสารหนี้น่ะครับ เพียงแต่ต้องการเซฟที่สุดเนื่องจากเงินออมที่ผมมีอยู่ทั้งหมดลงทุนในหุ้น+กองทุนหุ้นไปแล้ว 80 % อีก 20 % เป็นเงินฝากประจำแบบไม่เสียภาษีระยะเวลา 3 ปีน่ะครับ แต่พอดีช่วงนี้มีเงินสามารถออมได้เพิ่มขึ้นอีกนะครับ เนื่องจากหมดภาระจากค่าใช้จ่ายบางตัว ตอนแรกเลยคิดว่าจะเปิดบัญชีฝากประจำแบบไม่เสียภาษีอีก 1 บัญชี แต่ติดข้อบังคับของสรรพากรที่บอกว่าห้ามมีเกิน 1 บัญชีอ่ะครับ (ที่ธนาคารเค้าบอกมา) ก็เลยคิดว่าลงทุนใน RMF แบบตราสารหนี้ดีกว่า คิดไปคิดมา RMF ได้ผลตอบแทนมากกว่าฝากประจำด้วยซ้ำอ่ะครับ แต่....(ขออภัยที่หลายแต่ครับ) อย่างที่กล่าวไปข้างต้นแหละครับ นั่นคือเหตุผลทั้งหมดที่ตั้งกระทู้นี้ครับ ขอบคุณทุกท่านอีกครั้งนะครับ จากคุณ : khanchang - [ 22 ธ.ค. 48 09:27:16 ]