ความคิดเห็นที่ 1 รอผู้รู้ เพิ่งเคยได้ยิน อิอิ จากคุณ : ลำชี - [ 23 ธ.ค. 48 09:27:29 ]

ความคิดเห็นที่ 2 ขอบังอาจมาตอบ...อิอิ   จากที่เคยได้ยินมา (อย่างไม่ค่อยจะเข้าใจนัก....เอาเป็นว่า จำมาเล่าสู่กันฟัง)..... เขาบอกว่า เมื่อมีคนโยนหินลงไปกลางบึงน้ำ 1 ก้อน จะทำให้เกิดแรงกระเพื่อมของน้ำแผ่กระจายออกไปอย่างต่อเนื่อง จนในที่สุด ผืนน้ำทั้งผืนจะมีอาการกระเพื่อมทั่วไปหมดทุกพื้นที่ นั่นเป็น chao โดยเบื้องต้น...โดยสรุปคือ เมื่อมีหิน 1 ก้อน จะทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงของผิวน้ำทั้งหมด และอาจคาดเดาได้ไม่ยากว่า ส่วนใดจะได้รับผลกระทบเมื่อใด (โดยดูจากแรงและความเร็วในการกระเพื่อมของน้ำ...โดยดูจากการยืนอยู่บน...ฝั่งน้ำ??!!)   แต่....แต่... แต่  ถ้าสมมติว่าเรา ยืนอยู่ ณ จุดตรงกลางบึงน้ำ เราจะไม่รู้ไม่เห็นเลยว่า แรงกระเพื่อมของน้ำได้ไปถึงไหน และจะไปสิ้นสุดที่ตรงไหน??.... ความซับซ้อนมากขึ้น เมื่อ มีก้อนหินหลายๆ ก้อน ถูกทิ้งลงไปในน้ำ แรงกระเพื่อมจากหินแต่ละก้อน จะมีผลกระทบซึ่งกันและกัน บางแรงกระเพื่อนจะเสริมแรงกัน บางแรงกระเพื่อมจะต้านกัน ความซับซ้อนของแรงกระเพื่อมจะยิ่งมากขึ้นไปอีก โดยคาดเดาไม่ได้เลยว่า พื้นผิวน้ำในส่วนใดจะได้รับผลกระทบมากกว่ากัน ถ้าสมมติ มีหลายๆ คนที่ไปยืนอยู่ ณ ใจกลางตรงจุดที่ก้อนหินแต่ละก้อนถูกทิ้งไป  หลายๆ คนนั้น จะคาดเดาไม่ได้เลยว่า แรงกระเพื่อมที่เข้ามาสู่พื้นที่ที่ตัวเองยืนอยู่นั้นมาจากทิศทางของก้อนหินก้อนใด แล้ว chao มีประโยชน์อะไร โดยหลักเขาใช้อธิบาย ผลกระทบที่เกิดจากปัจจัยหลายๆ ตัวแปร (หรือที่เรียกว่า Butterfly Effect... แรงกระพือปีกของผีเสื้อที่แคลิฟอร์เนียมีผลให้เกิดเป็นพายุไต้ฝุ่นในแหลมสุมาตรา..อะไรประมาณนั้น)  แต่โดยมากเนื่องจากโครงสร้างของทฤษฎีมีความยืดหยุ่นสูง จึงยากที่ใครจะพยากรณ์ผลกระทบที่ถูกต้องและชัดเจนได้....ยกเว้น...ในเรื่องที่มีความซับซ้อนน้อย แต่โดยมากมักพบว่าการพยากรณ์ก็อาจจะผิดพลาดเพราะเอาเข้าจริงๆ แล้ว เรื่องที่ซับซ้อนน้อยก็มักจะมีเหตุผลแฝงอยู่เบื้องหลังเช่นกัน เป็นผลกระทบจากแรงกระเพื่อมตั้งแต่เมื่อใดก็ไม่ทราบ... เหมือนกับเรื่องโจ๊ก....ที่เล่าว่า ถ้าไม่มีโคลัมบัส ก็ไม่มีทวีปอเมริกา และจะไม่มีประธานาธิบดีที่ชื่อ จอร์ช ดับเบิลยู บุช และจะไม่มีการถล่มอิรัก ดังนั้น ความผิดในการถล่มอิรักจึงควรตกเป็นของโคลัมบัสด้วยเพราะดันไปเจอทวีปอเมริกา..........อิอิ   เรื่องโดยละเอียดไว้รอผู้รู้จริงๆ มาเล่าดีกว่าครับ (ผมผู้รู้ปลอมๆ ครับ) จากคุณ : คนล่าห่าน - [ 23 ธ.ค. 48 10:06:08 ]

ความคิดเห็นที่ 3 ข้าน้อยขอคารวะ  ท่านห่านครับ  นับถือ  นับถือ (ทำเสียงต่ำๆ) เข้ามารับความรู้ครับ   จากคุณ : Vprawat - [ 23 ธ.ค. 48 10:20:32 ]

ความคิดเห็นที่ 4 นึกขึ้นได้อีกเรื่องหนึ่ง... แม้ Chao จะเป็นความสับสน แต่อีกหลายๆ คน บอกว่ามันมีรูปแบบ และมีบางคน บอกว่า ตัวเลขฟิโบนันชี... นี่แหละคือรูปแบบหนึ่งของ Chao!! จากคุณ : คนล่าห่าน - [ 23 ธ.ค. 48 13:08:13 ]

ความคิดเห็นที่ 5 ถ้าพี่คนล่าห่านไม่เขียนนิทานให้ผมอ่าน ผมก็คงไม่มีวันนี้ นี่คงเป็น chao theory ด้วยสิครับ จากคุณ : IC&F - [ 23 ธ.ค. 48 13:37:57 ]

ความคิดเห็นที่ 6 อิอิ คุณ B...เอ้ย.. IC&F  ก็ว่าเกินไป... ไม่มีผมก็มีแรงกระเพื่อมอื่นมากระทบอยู่ดีแหละ..  อิอิ   ผมชอบใจที่ ดร.สุวิทย์ เมษินทรีย์ กล่าวไว้ในบทนำของหนังสือชื่อ Thailand stand-up มากๆ ที่ว่า... ในมิติของความสัมพันธ์  ในโลกใบเก่า สภาพแวดล้อมมีการเปลี่ยนแปลงน้อยมาก เกิดอยากจะรู้ว่าอะไรเกิดขึ้น เราสามารถที่จะใช้แกน X กับ Y มา Plot หาความสัมพันธ์ โดยให้ X เป็น Independent Variable และ Y เป็น Dependent Variable คุณก็สามารถทำนายหรือคาดการณ์ว่าจะเกิดอะไรขึ้น การเปลี่ยนแปลงในโลกใบเก่าจึงค่อนข้างเป็น Linear ค่อยเป็นค่อยไป ถ้ามองในแง่ Differential Equation ก็จะเป็น First Order ง่ายๆ Solve แป๊ปเดียวก็ได้แล้ว แต่ว่าโลกจากนี้ไปเป็น Interdependence อย่างสมบูรณ์ เป็น True Ambiguity เกิด Synchronicity, Uncertainty และ Complexity มหาศาล ในโลกใบใหม่ การเปลี่ยนแปลงนั้นเป็น Non-Linear ชัดๆ แถมยังอาจจะไม่ใช่แค่ Second Order แต่อาจจะเป็น n-Order Differential Equation ในโลกใบใหม่ สิ่งที่ว่าเกิดจุดหนึ่งแล้ว สาเหตุอาจจะเกิดหมือนน้ำผึ้งหยดเดียว บางทีเกิดทางเศรษฐกิจ แต่ไปมีผลทางสังคม หรืออะไรก็ไม่รู้ เหตุการณ์ 911 ก็เป็นส่วนหนึ่งที่สะท้อนให้เห็นว่าโลกใบใหม่เปลี่ยนอย่างไร จากนี้ไป เราทำนายอะไรให้เป็นเรื่องเป็นราวไม่ได้หรอก หลายๆ อย่างโชว์ Emerging Effect ออกมาเยอะแยะ มีหลายอย่างที่เรากำลังพูดถึง Chaotic Theory เรากำลังพูดถึงเรื่อง Butterfly Effect เรากำลังพูดถึง Sensitive Dependence on initial Condition ว่าจากจุดนี้ไป บางอย่างตัดสินใจไปแล้ว หรือถ้าพลาดโอกาสไม่ได้ตัดสินใจมันจะ Irreversible คือจะไม่มีวันที่สิ่งต่างๆ เหล่านั้นจะกลับคืนมาอีกเลย ..................... นั่นแหละอย่างที่ครับที่ ดร.สุวิทย์ ว่าไว้ ปัจจุบันไม่ใช่มีแค่ First Order อาจจะเป็น n-Order เลย ลำพังตัวผม จริงๆ แล้วอย่างมากก็เป็นเพียงแค่ 1 ในจำนวนหลายๆ Order ที่ส่งผลต่อการตัดสินใจของคุณ IC&F เท่านั้นเองอ่ะครับ ไม่มีผม คุณ B เอ้ย IC&F  ก็ต้องตัดสินใจมาในจุดปัจจุบันนี้อยู่แล้ว อาจจะเร็วกว่านี้ก็ได้   (อิอิ... อย่างที่เขาว่า  ดีร้ายยากจะบอก) บทสรุป...ถ้าจะมองในแง่มุมของ Chao ก็จะเห็นว่ามันมีแทรกอยู่ในทุกขณะของการดำเนินชีวิตของเราทุกคนเลยทีเดียว...อย่างที่ ดร.สุวิทย์ ว่าไว้นั่นแหละครับ   จากคุณ : คนล่าห่าน - [ 23 ธ.ค. 48 14:07:22 ]

ความคิดเห็นที่ 7 น่าจะใช้พยากรณ์อนาคตได้ด้วยนะครับ จากคุณ : scsmyr - [ 23 ธ.ค. 48 14:09:35 ]

ความคิดเห็นที่ 8 มาอ่าน ขอบคุณครับ จากคุณ : เต่าหยวนเปียว - [ 23 ธ.ค. 48 14:20:45 ]

ความคิดเห็นที่ 9 พี่คนล่าห่าน ทำเอาผมเปิด Dictionary แทบไม่ทันเลย ภาษาอังกฤษผมไม่แข็ง  แรงเอาเสียเลย           แก้ไขเมื่อ 23 ธ.ค. 48 15:12:34 แก้ไขเมื่อ 23 ธ.ค. 48 15:09:52 จากคุณ : ขวัญชัย - [ 23 ธ.ค. 48 15:08:44 ]

ความคิดเห็นที่ 10 คุณห่าน เขียนเหมือนนักวิชาการมากเลย นับถือ แล้วเรื่อง chao theory ผมจะรู้ต่อมั้ยนี้ น่าสนใจ หรือไปหาอ่านได้ที่ไหน ขี้เกียจ รอ 555 ดูท่าจะรอนาน 55 หรือไม่เขียนลงใน blog ก็ดี ชอบคุณห่านเขียน นุกดี แก้ไขเมื่อ 23 ธ.ค. 48 15:14:33 จากคุณ : eyes only (ลำชี) - [ 23 ธ.ค. 48 15:12:48 ]

ความคิดเห็นที่ 11 ตอนนี้ในหัวผมมีคำว่า "ถ้า" เยอะมากเลย เช่น ถ้าผมไม่คลิกเข้ามาที่ห้องสินธร จะเป็นยังไง ถ้าก่อนหน้านั้น ผมไม่อ่านเรื่อง "กรรมพยากรณ์" จะเป็นยังไง ทฤษฎีนี้ ยิ่งคิดยิ่งสนุกแฮะ  ทำให้รู้สึกเลยว่า เรื่องเล็กๆ ที่เราทำนาทีนี้ อาจจะเป็นเรื่องใหญ่ที่สำคัญมากๆ ในอนาคตก็ได้ จากคุณ : IC&F - [ 25 ธ.ค. 48 00:00:58 ]

ความคิดเห็นที่ 12 อิอิ...คุณขวัญชัย...ผมลอกมาจากหนังสือของ ดร.สุวิทย์ เมษินทรีย์  ทั้งย่อหน้าเลยครับ  จะแปลให้ก็ไม่กล้า เพราะภาษาผมก็ไม่แข็งแรงซะด้วย.... พี่ลำชีครับ เรื่อง Chao Theory นี่ หาที่อ่านง่ายๆ ตรงๆ ผมยังไม่เจอเลยอ่ะครับ ที่เคยอ่านก็เป็นของ คุณยุค ศรีอาริยะ ก็เล่นเอามึนไปหลายวัน นี่ก็ไม่รู้หนังสือวางไว้ตรงไหนแล้ว เก็บจนลืมไปเลย...แถมอ่านก็ยังไม่จบด้วย ครึ่งๆ กลางๆ งูๆ ปลาๆ อ่ะครับ ผมเห็นด้วยกะคุณ IC&F ครับ... จะว่าไป ในการตัดสินใจของคนเราส่วนใหญ่จะมีสามทางเลือก คือ 1 เลือกทำ A   2 เลือกทำ B...n  แทน A 3 ไม่ทำอะไรเลย....   เหมือนมีจุดเริ่มต้นอยู่ 1 แล้วแตกออกเป็น 3 ในขณะที่แต่ละทางที่เลือก ก็ยังมีอีกสาม เช่นเลือก A แล้ว ก็ยังมี 1. ทำ A1 ต่อ 2. ทำ A2...n  แทน A1 3. ไม่ทำอะไรเลย   จะเห็นว่าในแต่ละทางเลือกก็จะมีการแตกออกไปไม่รู้จบ ดังนั้น ผลสุดท้ายเรื่องเล็กๆ ที่ทำในนาทีนี้ ก็อาจจะกลายเป็นเรื่องใหญ่ที่สำคัญมากๆ ในอนาคตได้ เหมือนกัน ถ้าไม่ขายหุ้นในวันนี้ ก็จะไม่สามารถซื้อคืนได้ในวันหน้า พอถึงเวลาจะซื้อคืนในวันหน้า ก็ต้องเลือกว่าจะซื้อในราคาไหน หรือเปลี่ยนไปเป็นตัวอื่นดี หรือไม่ทำอะไรเลย แต่ละทางผลก็ไม่เท่ากัน และแต่ละทางก็มีทางเลือกอีกชุดรออยู่  ใครคิดได้ครบรอบถ้าไม่ได้บทสรุปก็อาจจะมึนตึบจนถึงขั้นเดินตาลอยไปเลยแหละครับ...อิอิ ^ ^ ^ ผมเลยเห็นว่า...จะคิดยังไงก็ตามแต่...ที่สำคัญอีกเรื่องก็คือ... ต้องให้หยุดคิดเป็นด้วย มีนิทานเกี่ยวกับการคิดอยู่เรื่องหนึ่งครับ ...เดี๋ยวจะมาเล่าให้ฟัง ... จากคุณ : คนล่าห่าน - [ 25 ธ.ค. 48 17:18:15 ]

ความคิดเห็นที่ 13 เป็นเรื่องของหลวงตากับลูกศิษย์.... วันหนึ่งหลวงตากำลังจะเทศน์ ทีนี้อากาศก็ค่อนข้างร้อนจึงให้ลูกศิษย์คนหนึ่งคอยใช้พัดโบกไปมาในขณะเทศน์เพื่อคลายความร้อน ในขณะที่หลวงตาเทศน์ ลูกศิษย์ก็เริ่มคิด "เฮ้อ อยากจะสึกจริงๆ ถ้าสึกแล้วจะไปทำมาหากินอะไรหนอ......" ใจก็เริ่มเลื่อนไหลไปเรื่อยๆ มือก็โบกพัดไปมา ชายจีวรของหลวงตาก็ไหวพะเยิบๆ ก็นึกขึ้นมาได้ ว่า.... "วันก่อนได้รับผ้าจีวรใหม่ๆ ผืนหนึ่งอุตส่าห์เอามาให้หลวงตา แต่หลวงตากลับไม่รับ ดีละ เมื่อเราสึกก็จะเอาผ้าจีวรนี่แหละไปขาย...." " แล้วเอาเงินไปหาซื้อสัตว์มาเลี้ยงไว้....  แล้วเมื่อมันออกลูกออกหลาน...ก็จะเอาไปขาย ได้เงินมาก็จะไปหาซื้อแม่พันธ์มาอีก รอจนมีสัตว์เป็นฝูงๆ เราก็จะมีเงินมาก แล้วจะไปหาสาวมาแต่งงาน...." "ไม่นานก็คงมีลูก  เราก็จะพาลูกกะภรรยานี่แหละมากราบหลวงตา..." ใจของลูกศิษย์ที่พัดอยู่ก็คิดไปเรื่อย  ว่า....จะพาภรรยากะลูกน้อยนั่งมาบนเกวียนที่เทียมด้วยวัว ด้วยความน่ารักของลูกเราแม้กระทั่งตัวเรายังอดไม่ได้ที่จะอยากจะอุ้มไว้ในอ้อมอกตลอดเวลา แต่ภรรยาคงจะไม่ให้เราอุ้มเพราะเรากำลังบังคับเกวียนอยู่ คงจะต้องหันมาขออุ้ม .... แล้วถ้าภรรยาอุ้มลูกหลบล่ะ แล้วเกิดลูกหลุดจากมือไปล่ะ....  โอย แล้วลูกเราจะถูกเกวียนทับไหมเนี่ย.... คิดพลางลูกศิษย์ก็เข่นเขี้ยวเคี้ยวฟัน  "นังภรรยา โง่เขลา เราต้องสั่งสอนเธอซะบ้างแล้ว..."  พลางก็ตวัดมือที่ถือพัดพัดให้หลวงตาอยู่ฟาดใส่หลวงตาที่นั่งอยู่ด้านหน้า ด้วยความเผลอคิดว่าเป็นภรรยาในความคิดนั้น หลวงตาก็สะดุ้งเฮือก...แล้วก็ทำจิตอ่านใจของลูกศิษย์ (ในเรื่องหลวงตาเป็นพระที่สำเร็จแล้วและมีอภิญญา) ก็รู้ว่าลูกศิษย์เผลอไปด้วยใจลอย... ก็เลยพูดว่า "เออหนอ! เจ้าเด็กน้อย  โกรธเมียจะตีเมีย แล้วไหงดันมาตีลงตรงหลังข้านี่หล่ะ" ลูกศิษย์สะดุ้งได้สติ กำลังจะวิ่งหนีพอดี ลูกศิษย์คนอื่นที่นั่งฟังธรรมอยู่เห็นก็เลยรีบลุกขึ้นมาจับไว้  แล้วพาไปหาพระศาสดา หลังจากถามไถ่กันจนได้ความ พระศาสดา ก็โปรดขึ้นว่า... "มาเถิด ภิกษุ เธออย่าคิดมาไปเลย เป็นธรรมดา จิตนั้นมีหน้าที่รับอารมณ์แม้อยู่ในที่ไกล ควรที่ภิกษุจักพยายามเพื่อประโยชน์แห่งการหลุดพ้นจากเครื่องผูก คือ ราคะ โทสะ และโมหะ" แล้วพระศาสดาก็ตรัสคาถานี้ว่า ชนเหล่าใด จักสำรวมจิต อันไปในที่ไกล เที่ยวไปดวงเดียว ไม่มีสรีระ มีถ้ำเป็นที่อาศัย ชนเหล่านั้น จะพ้นจากเครื่องผูกแห่งมาร จากคุณ : คนล่าห่าน - [ 25 ธ.ค. 48 18:41:50 ]

ความคิดเห็นที่ 14 ^ ^ ^ เรื่องข้างบน ย่นย่อ คัดลอกมาจากหนังสือ "มรรคาแห่งชีวิต" ของ พระไพศาล วิสาโล และอาทิตย์ยามเช้า เชื่อมั๊ยว่า Chao Theory เนี่ยมีแนวคิดมาจากพุทธศาสนา  ผมจำได้ว่ามีคนเคยเปรียบเทียบให้เห็นว่า ในขณะที่ พุทธศาสนา พูดถึง เหตุและผล มามากกว่า 2500  ปี  แต่ฝรั่งเพิ่งคิดได้ว่า ผลกระทบในปัจจุบันมักจะมีที่มาจากการกระทำในอดีต ศาสนาพุทธ บอกว่า  เพราะเหตุนี้มี เหตุนี้จึงเกิด Chao บอกว่า เพราะสิ่งนี้เกิด จึงทำให้อีกสิ่งหนึ่งได้รับผลกระทบไปด้วย การคิดถึงเหตุจึงไม่รู้จบ...ผมไม่ได้ศึกษาต่อไปว่า Chao ให้บทสรุปว่าอย่างไรสำหรับเหตุและผลที่เกิดขึ้นหรือกำลังจะเกิดขึ้น แต่ผมพบว่า ศาสนาพุทธ ให้บทสรุปไว้ว่า เมื่อหยุดคิด ปัญญาจึงเกิด เมื่อปัญญาเกิด จึงเข้าถึงความจริง และความจริงที่เป็นความจริงอันสูงสุดคือ ทุกสรรพที่เกิดขึ้นล้วนเป็นเพราะเหตุและปัจจัยเข้ามาปรุงแต่ง โดยไม่มีเนื้อแท้และแก่นสารใดๆ เลย มีการแปรเปลี่ยนอยู่เป็นธรรมดา และไม่มีตัวตนให้จับต้องได้อย่างแท้จริง......อนิจจัง!  ทุกขัง! และอนัตตา! ถ้าผมจะสรุปว่า เราอยู่ใกล้ทฤษฎี Chao มากกว่าฝรั่ง ก็คงจะไม่ใช่เรื่องที่เกินเลยไปจริงๆ.....เชื่อผมมั๊ย! อิอิ จากคุณ : คนล่าห่าน - [ 25 ธ.ค. 48 18:51:48 ]

ความคิดเห็นที่ 15 แล้ววันหลังผมจะเล่าให้ฟังว่า  มีฝรั่งเอาแนวคิดแบบนี้ไปใช้กับการเล่นหุ้นด้วยนะ  ...เพียงแค่หยุด คุณก็จะเห็นกระแส และเข้าใจตลาดได้... ประมาณนั้น!! จากคุณ : คนล่าห่าน - [ 25 ธ.ค. 48 18:55:42 ]

ความคิดเห็นที่ 16 มารอฟังต่อครับ   จากคุณ : Vprawat - [ 25 ธ.ค. 48 21:09:57 ]

ความคิดเห็นที่ 17 อย่านะพี่คนล่าห่าน  อย่าหยุดเล่าเด็ดขาด เรื่องเล็กๆ ที่พี่เล่า อาจจะเป็นสิ่งสำคัญมากในชีวิตผมในอนาคตนะครับ จากคุณ : IC&F - [ 25 ธ.ค. 48 23:38:19 ]

ความคิดเห็นที่ 18 เยี่ยมๆๆๆ ครับ พี่ห่าน มารอฟังต่อด้วยคนครับ จากคุณ : zARKa - [ 26 ธ.ค. 48 09:23:54 ]

ความคิดเห็นที่ 19 มาอ่านต่อ ขอบคุณครับ จากคุณ : เต่าหยวนเปียว - [ 26 ธ.ค. 48 10:32:10 ]

ความคิดเห็นที่ 20 แจมครับ เห็นว่ามีบางส่วนทับซ้อนกับหนังสือที่กำลังอ่านอยู่ เพื่อนำไปสอนเด็กในฐานะอาจาย์พิเศษ เรื่องนั้นคือ Tipping Point, How the little thing can make a big difference. เรื่องนี้ว่าด้วยปรากฏการบนโลกนี้คล้ายกับการเกิดขึ้นของ "โรคระบาด" ซึ่งสามารถอธิบายได้ 3 ระยะดังนี้ 1. ระยะสัมผัส (contagion) ได้แก่ การเกิดขึ้นหรือ การมีอยู่จะโดยตั้งใจ ไม่ตั้งใจก็ได้ครับ 2. ระยะเปลี่ยนแปลง ( little thing make change)  ได้แก่ ช่วงเวลาที่ฝางเส้นสุดท้ายทำให้หลังลาหัก 3. ระยะแพร่กระจาย (อันนี้ลืมภาษาต่างด้าวไป เนื่องจากหนังสืออยู่บ้าน) ไว้จะมาเติมให้นะครับ ได้แก่ ช่วงที่คนทั้งหลายรับมันเข้าไปเต็มที่ อันนี้ลองมาอธิบายปรากฏการณ์ DSM เล่นๆนะครับ 1. ระยะสัมผัส  ได้แก่  ช่วงที่คุณเด่นฯ คิด DSM ได้แล้วนั้นยังเป็นการเกิดขึ้นครับ แต่คนที่สัมผัสคือ ซ้อสี่ ที่ยิงคำถามโดนใจคนกำลังสับสนและหาทางออกทั้งหลาย ว่า "เล่นหุ้นยังไงดีหว่า" เพราะจริงแล้วหลายแนวทางก็ดูดี หลายท่านก็มั่นใจว่าแนวเราเจ๋ง แต่ลึกๆแล้วทุกคน "กลัว" 2. ระยะเปลี่ยนแปลง หรือ little thing make big change จากกระทู้ที่ถามตอบด้วยความสนใจ เริ่มมีคนมาแจมอย่างมากมาย จนกระทู้ติดกระทู้ยอดฮิตมีทั้งคนเห็นด้วยและไม่เห็นด้วย มีเริ่มจากการถามตอบของคนไม่กี่คน แต่แล้วคนที่เป็น กลุ่มนำให้ห้องสินธร เช่น คุณ cayote, คุณ Mudley Group ฯลฯ เริ่มให้ความสนใจ เหล่าแมลงปีกบาง ชอบไฟทั้งหลายไม่ต้องพูดถึง สนใจกันให้ตรึม.......... 3. ระยะแพร่กระจาย คงเป็นระยะที่คุณ macro art ต้องตั้งห้องให้อยู่ต่างหาก โดยมีคุณ cayote (ใครหว่า) เป็นพ่อบ้านให้ เหล่าลูกบ้านก็เลยมีหลักแหล่งอยู่ และถามตอบหาวิธีกันไป บางครั้งบางที่ ยังมีหนังสือหลายฉบับนำไปลง ผิดบ้าง ถูกบ้าง ก็ว่ากันไป  แต่นับว่าเป็นการจัดระเบียบให้ถึงแม้ต้อง แลกด้วยการลดความ hot ไปบางส่วน หนังสือเล่มนี้แนะนำนักการตลาดและนักบริหารให้อ่านครับ แต่ผมไม่ใจดีเหมือนคุณจูล่งนะครับ ผมคงไม่แจก เพราะทำ pdf ไม่เป็นและ ขี้เกียจครับ แป๊ว.....แต่ยินดีบอกว่า หาซื้อได้ที่ Kino ชั้น4, Emporium ติดกับ Tower Record ครับ จากคุณ : กึ่งสำเร็จรูป - [ 26 ธ.ค. 48 10:32:48 ]

ความคิดเห็นที่ 21 อึม ยังไม่รู้แนวคิดเรื่อง chao เลยได้แต่รอฟัง ได้แต่ทำท่าทาง แบบ หมาตัวนี้ อิอิ แก้ไขเมื่อ 26 ธ.ค. 48 10:54:58 จากคุณ : eyes only (ลำชี) - [ 26 ธ.ค. 48 10:53:41 ]

ความคิดเห็นที่ 22 ลองเข้าไปอ่านดูตาม link นี่ก่อนได้เลยครับพี่ลำชี   http://www.pantip.com/cafe/wahkor/article/chaiwat/cwt_bkkbz348.html จากคุณ : คนล่าห่าน - [ 26 ธ.ค. 48 13:51:38 ]

ความคิดเห็นที่ 23 เผื่อพี่ลำชีขี้เกียจคลิ๊กไปตาม link ผมเลยตัดแปะมาไว้ด้วยเลย......อิอิ ................................... สำคัญที่การเริ่มต้น ชัยวัฒน์ คุประตกุล kshaiwat@hotmail.com จินตนาการซิว่า..... ถ้าหลุย ปาสเตอร์ ทดลองวัคซีนรักษาโรคพิษสุนัขบ้ากับตัวเขาเอง แล้วเขาต้องตายเพราะการทดลองนั้น ปัญหาของโรคพิษสุนัขบ้าจะเป็นอย่างไรในปัจจุบัน ? ถ้าไม่มีคนชื่อ จิโอดาโน บรูโน (Giodano Bruno) ถูกศาลพระจับเผาทั้งเป็นในข้อหาลบหลู่พระเจ้า เมื่อวันที่ 17 เดือนกุมภาพันธ์ ค.ศ.1600 เพราะสอนว่า ดวงอาทิตย์ มิใช่โลก เป็นศูนย์กลางของจักรวาล (จักรวาลในความเข้าใจของมนุษย์ขณะนั้น) แล้วกาลิเลโอจะมีชีวิตยืนยาว สร้างผลงานการค้นพบสำคัญ เปิดยุคใหม่ของฟิสิกส์และดาราศาสตร์หรือไม่? ถ้ามนุษย์ได้รู้จักพลังงานนิวเคลียร์ที่เป็นประโยชน์เชิงสร้างสรรค์ ดังเช่น ประโยชน์ทางด้านการเป็นแหล่งพลังงาน การแพทย์ อุตสาหกรรม เกษตรกรรม ก่อนฤทธิ์เดชอานุภาพการทำลาย คือ ระเบิดนิวเคลียร์ที่ถล่มฮิโรชิมาและนางาซากิ แล้วมนุษย์จะรู้สึกหวาดกลัวพลังงานนิวเคลียร์ดังที่กำลังเป็นอยู่หรือไม่? -------------------------------------------------------------------------------- ในวงการวิทยาศาสตร์ยุคใหม่ ทฤษฎีที่น่าทึ่งและน่าสนใจเป็นพิเศษทฤษฎีหนึ่ง คือ Chaos Theory ซึ่งภาษาไทยมักจะเรียกทับศัพท์เป็น "ทฤษฎีเคออส" หรือแปลออกมาเป็น "ทฤษฎีแห่งความยุ่งเหยิง" ทฤษฎีเคออส นี้ กำลังเป็นทฤษฎีที่ถูกนำไปใช้อธิบาย และพยากรณ์ปรากฏการณ์ทางด้านวิทยาศาสตร์ และธรรมชาติที่ซับซ้อนและใหญ่ ดังเช่น การพยากรณ์อากาศ กำเนิดและวาระสุดท้ายของจักรวาล ฯลฯ สำหรับทฤษฎีเคออส ปัจจัยที่สำคัญที่สุด สำหรับปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้น ณ เวลาหนึ่ง และสถานที่หนึ่ง คือ สิ่งที่เรียกว่า "Initial Condition" หรือ "เงื่อนไขการเริ่มต้น" -------------------------------------------------------------------------------- ตัวอย่างคือ การที่เกิดพายุฝนถล่มที่จังหวัดหนึ่งในประเทศไทย ณ วันและเวลาหนึ่ง ขึ้นอยู่กับสภาพการณ์บางอย่าง เกี่ยวกับสภาพลมฟ้าอากาศ ณ ตำแหน่งและเวลาหนึ่งของโลก ก่อนที่จะเกิดเหตุพายุฝนดังกล่าว... อีกตัวอย่างหนึ่ง คือ สภาพของจักรวาลที่ปรากฏหรือเป็นอยู่ในปัจจุบัน ขึ้นอยู่กับเงื่อนไข คือ สภาพของบางสิ่งบางอย่าง ซึ่งเป็นต้นกำเนิดของจักรวาล ณ จุดที่เป็นการเริ่มต้นของจักรวาลอย่างแท้จริง... กล่าวคือ สำหรับจักรวาลที่มนุษย์เรารู้จักคุ้นเคยกัน ซึ่งเป็นจักรวาลของอนุภาคธรรมดา มากกว่าจักรวาลของ ปฏิอนุภาค มีอิเล็กตรอนมากกว่าโปรตอน ขึ้นอยู่กับเงื่อนไขสภาพของจักรวาล ขณะเริ่มต้นก่อกำเนิด ดังนั้น "การเริ่มต้น" ของสิ่งใดๆ ที่มนุษย์สร้างขึ้นมา จึงมีความสำคัญอย่างยิ่ง ต่ออนาคตของสิ่งนั้นๆ กลับไปที่ตัวอย่างฉากเปิดเรื่อง... ถ้าจินตนาการเปิดเรื่องนั้น เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นจริง แทนสิ่งที่ได้เกิดขึ้นมาแล้วบนโลก ผลที่จะตามมาคือ ... มนุษย์ก็จะไม่มีวัคซีน ป้องกันและรักษาโรคพิษสุนัขบ้าเป็นเวลานานทีเดียว หลังการเสียชีวิตของหลุยส์ ปาสเตอร์ ฟิสิกส์และดาราศาสตร์ยุคใหม่ ก็คงจะเกิดช้าขึ้น และนิวตันก็คงไม่ได้ค้นพบกฎความโน้มถ่วง มนุษย์ก็จะไม่รู้สึกหวาดกลัวพลังงานนิวเคลียร์เท่าที่กำลังเป็นอยู่ และการนำพลังงานนิวเคลียร์มาใช้ประโยชน์ รับใช้มนุษยชาติอย่างแท้จริง ก็จะได้เกิดขึ้นมากกว่าที่เป็นอยู่ และอาจจะไม่รู้จักอาวุธนิวเคลียร์เลย -------------------------------------------------------------------------------- แล้วเส้นทางต่อไปในอนาคตล่ะ ? ... การเริ่มต้นของสิ่งหรือนวัตกรรมใดๆ ที่กำลังจะเกิดขึ้น จึงมีความสำคัญอย่างยิ่ง ต่ออนาคตของมนุษยชาติและสิ่ง หรือนวัตกรรมเหล่านั้น ถ้าเริ่มต้นดี เริ่มต้นอย่างสร้างสรรค์ อนาคตก็จะเป็นอนาคตที่ดีงาม ที่พึงประสงค์ แต่ถ้าเริ่มต้นไม่ดี อนาคตของสิ่ง หรือนวัตกรรมเหล่านั้น ก็ไม่ดีไปด้วย... จึงเป็นเรื่องสำคัญอย่างยิ่ง ที่นักวิทยาศาสตร์และสังคม จะต้องมีความรับผิดชอบร่วมกัน ในการให้... หรือไม่ให้... โอกาสแก่สิ่งหรือนวัตกรรมใหม่ๆ ที่สมควรจับตามอง ดังเช่น : - การโคลนนิงมนุษย์ การสร้างอะไหล่มนุษย์หรืออวัยวะสำรอง จากโคลนนิง การดัดแปลง - ตัด - ต่อ ยีนมนุษย์ การสร้างสิ่งมีชีวิตขึ้นมาจากสิ่งไม่มีชีวิต ดังเช่น จากดีเอ็นเอสังเคราะห์ -------------------------------------------------------------------------------- ที่มา กรุงเทพธุรกิจ - 27 มิถุนายน 2544 จากคุณ : คนล่าห่าน - [ 26 ธ.ค. 48 13:56:19 ]

ความคิดเห็นที่ 24 เพื่อให้เห็นภาพชัดขึ้นไปอีกครับ ผมขอเสนอ Link นี้ให้พี่ลำชีอีก 1 link ครับ http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%97%E0%B8%A4%E0%B8%A9%E0%B8%8E%E0%B8%B5%E0%B9%80%E0%B8%84%E0%B8%AD%E0%B8%AD%E0%B8%AA แหะ แหะ  งงจัง ไหงตัวอักษรกะเปอร์เซ็นต์เยอะจัง....  งั้นกันเหนียว ตัดเอามาปะไว้เลยดีก่า...... จาก วิกิพีเดีย ครับ...... ทฤษฎีความอลวน (chaos theory) เป็นทฤษฎีที่อธิบายถึง ลักษณะพฤติกรรมของระบบพลวัต (คือ ระบบที่มีการเปลี่ยนแปลง เช่น เปลี่ยนแปลงตามเวลาที่เปลี่ยนไป) โดยลักษณะการเปลี่ยนแปลงของระบบที่เรียกว่าเคออสนี้ จะมีลักษณะที่ปั่นป่วนจนดูคล้ายว่า การเปลี่ยนแปลงนั้นเป็นแบบสุ่มหรือไร้ระเบียบ (random/stochastic) แต่จริง ๆ แล้ว ระบบเคออสนี้เป็นระบบแบบไม่สุ่ม หรือระบบที่มีระเบียบ (deterministic) ในทางคณิตศาสตร์และฟิสิกส์ คำจำกัดความของระบบเคออส คือ ระบบแบบไม่เป็นเชิงเส้น (nonlinear system) ประเภทหนึ่ง ที่มีความไวต่อสภาวะเริ่มต้น กล่าวอีกนัยหนึ่งคือ ถ้าระบบ 2 ระบบนั้นเริ่มต้นจากสภาวะที่แตกต่างกันเพียงเล็กน้อย คือเกือบจะเหมือนกันทุกประการ เมื่อระบบได้มีการเปลี่ยนไปสักระยะหนึ่ง สภาวะของระบบทั้งสองที่เราสังเกตได้เมื่อเวลาผ่านไปจะแตกต่างกันอย่างสังเกตเห็นได้ชัด เรามักจะได้ยินคำพูดที่เป็นที่นิยมพูดกันอย่างกว้างขวางที่ว่า "เด็ดดอกไม้สะเทือนถึงดวงดาว" หรือ "ผีเสื้อขยับปีกทำให้เกิดพายุ" (จาก "butterfly effect") ซึ่งมีคนจำนวนไม่น้อยที่ตีความในลักษณะของขนาดความรุนแรงของผลลัพธ์เท่านั้น ระบบเคออสนั้นไม่จำเป็นจะต้องแตกต่างกันในแง่ของ ขนาด ของผลลัพธ์เสมอไป แต่อาจแตกต่างกันในแง่ของ พฤติกรรม การเปลี่ยนแปลงก็ได้ จากตัวอย่างข้างต้น การเปลี่ยนแปลงของระบบทั้งสองนั้นจะมีลักษณะที่คล้ายคลึงกันมากในขณะเริ่มต้น เมื่อเวลาผ่านไป การเปลี่ยนแปลงนั้นแทบจะเรียกได้ว่าไม่มีอะไรที่เหมือนกันเลย ประวัติ จุดเริ่มต้นของทฤษฎีเคออสนี้ สามารถสืบย้อนกลับไปได้ถึงในช่วงปี พ.ศ. 2443 (ค.ศ. 1900) จากการศึกษาปัญหาวงโคจรของวัตถุสามชิ้นในสนามแรงดึงดูดระหว่างกัน ซึ่งมีชื่อเรียกเป็นทางการว่า ปัญหาสามวัตถุ (three-body problem) โดย อองรี ปวงกาเร ซึ่งได้ค้นพบว่า วงโคจรที่ศึกษานั้นอาจจะมีลักษณะที่ไม่ได้เป็นวงรอบ (periodic) คือไม่ได้มีทางวิ่งซ้ำเป็นวงรอบ ยิ่งไปกว่านั้น วงโคจรนั้นก็ไม่ได้ขยายวงออกไปเรื่อย ๆ หรือมีลักษณะที่ลู่เข้าหาจุดใด ๆ ต่อมาได้มีการศึกษาถึงปัญหาสมการเชิงอนุพันธ์ไม่เป็นเชิงเส้นที่เกี่ยวข้อง โดยที่ เบอร์คอฟ (G.D. Birkhoff) นั้นศึกษาปัญหาสามวัตถุ คอลโมโกรอฟ ศึกษาปัญหาความปั่นป่วน (หรือ เทอร์บิวเลนซ์) และปัญหาเกี่ยวกับดาราศาสตร์. ส่วน คาร์ทไรท์ (M.L. Cartwright) และ ลิตเติลวูด (J.E. Littlewood) นั้นศึกษาปัญหาทางวิศวกรรมการสื่อสารด้วยคลื่นวิทยุ. สเมล (en:Stephen Smale) นั้นอาจเป็นนักคณิตศาสตร์คนแรก ที่ทำการศึกษาถึงปัญหาทางด้านพลศาสตร์ของระบบไม่เป็นเชิงเส้น. ถึงแม้ว่าความอลวนของเส้นทางโคจรของดาว นั้นยังไม่ได้มีการทำการสังเกตบันทึกแต่อย่างใด แต่ก็ได้มีการสังเกตพบ พฤติกรรมความอลวนในความปั่นป่วนของการเคลื่อนที่ของของไหล และ ในการออสซิลเลท แบบไม่เป็นวงรอบของวงจรวิทยุ ซึ่งไม่มีทฤษฎีใดในขณะนั้นสามารถอธิบายพฤติกรรมเหล่านี้ได้ ความตื่นตัวในการพัฒนาทฤษฎีความอลวนนี้ เกิดขึ้นในช่วงกลางของศตวรรษที่ 20 เมื่อเป็นที่ประจักษ์ว่า ทฤษฎีของระบบเชิงเส้นนั้นไม่สามารถใช้อธิบายพฤติกรรมบางอย่าง แม้กระทั่งพฤติกรรมของระบบที่ไม่ซับซ้อนอย่าง แมพลอจิสติก (Logistic map) อีกปัจจัยหนึ่งที่ส่งผลให้พัฒนาการของทฤษฎีความอลวนเป็นไปอย่างรวดเร็วก็คือ คอมพิวเตอร์ การคำนวณในทฤษฎีความอลวนนั้น โดยส่วนใหญ่จะมีลักษณะที่เป็นการคำนวณค่าแบบซ้ำ ๆ จากสูตรคณิตศาตร์ และสามารถใช้คอมพิวเตอร์ช่วนในการคำนวณได้อย่างมีประสิทธิภาพ เอ็ดเวิร์ด ลอเรนซ์ (Edward Lorenz) เป็นผู้ริเริ่มบุกเบิกทฤษฎีความอลวน เขาได้สังเกตพฤติกรรมความอลวน ในขณะทำการทดลองทางด้านการพยากรณ์อากาศ ในปี ค.ศ. 1961 ลอเรนซ์ใช้คอมพิวเตอร์ซิมูเลชันแบบจำลองสภาพอากาศ ซึ่งในการคำนวณครั้งถัดมาเขาไม่ต้องการเริ่มซิมูเลชันจากจุดเริ่มต้นใหม่ เพื่อประหยัดเวลาในการคำนวณ เขาจึงใช้ข้อมูลในการคำนวณก่อนหน้านี้เพื่อเป็นค่าเริ่มต้น ปรากฏว่าค่าที่คำนวณได้มีความแตกต่างไปจากเดิมอย่างสิ้นเชิง เขาพบว่าสาเหตุเกิดจากการปัดเศษ ของค่าที่พิมพ์ออกมา จากค่าที่ใช้ในคอมพิวเตอร์ ซึ่งมีค่าน้อยมาก แต่สามารถนำไปสู่ความแตกต่างอย่างมากมาย เรียกว่า ไวต่อสภาวะเริ่มต้น คำ "butterfly effect" ซึ่งเป็นคำที่นิยมใช้เมื่อกล่าวถึงทฤษฎีความอลวน นั้นมีที่มาไม่ชัดเจน เริ่มปรากฏแพร่หลายหลังจากการบรรยายของ ลอเรนซ์ ในปี ค.ศ.1972 ภายใต้ชื่อหัวข้อ "Does the Flap of a Butterfly's Wings in Brazil Set Off a Tornado in Texas?" นอกจากนี้แล้วยังอาจมีส่วนมาจาก รูปแนวโคจรของตัวดึงดูดลอเรนซ์[1] (ดังรูปด้านขวามือ) ที่มีรูปร่างคล้ายผีเสื้อ ซึ่งเขาได้ตีพิมพ์ในบทความวิชาการก่อนหน้านี้ ส่วนคำ "chaos" บัญญัติขึ้นโดย นักคณิตศาตร์ประยุกต์ เจมส์ เอ ยอร์ค (James A. Yorke) อ้างอิง : Lorenz, Edward N., The Essense of Chaos, The University of Washington Press 1993 จากคุณ : คนล่าห่าน - [ 26 ธ.ค. 48 14:04:41 ]

ความคิดเห็นที่ 25 และเพื่อให้เห็นความสับสนวุ่นวายของการนำ ทฤษฎีที่แสนจะสับสนวุ่นวายนี้ไปใช้ นี่เลยครับ..... ภาวะปั่นป่วน วุ่นวาย ภายหลังจากถาวร เสนเนียม แถลงทฤษฎี CHAOS จากมติชนรายวัน วันที่ 4 กรกฎาคม 2546 น่ายินดีที่นายอรรคพล สรสุชาติ รีบออกมา brake นายถาวรเสนเนียม ในเรื่องการนำเสนอ Chaos Theory หรือที่รู้จักกันในวงไม่กว้างนักจากหนังสือ "ทฤษฎีไร้ระเบียบ" ของ ชัยวัฒน์ ถิระพันธุ์ น่ายินดีเพราะว่า หากใครก็ตามที่ศึกษาถ้อยคำและการให้สัมภาษณ์ของ นายถาวร เสนเนียมที่ว่า "พรรคประชาธิปัตย์จะใช้ยุทธศาสตร์ Chaos Theory หริอยุทธศาสตร์การสร้างความสับสน วุ่นวาย" รวมถึงปรากฏผ่าน รายงานข่าว แจ้งว่า ในการสัมมนาของพรรคประชาธิปัตย์ที่จ.เชียงราย สมาชิกส่วนใหญ่เห็นด้วยกับการใช้ "ทฤษฎีเคออส" เป็นยุทธศาสตร์ทางการเมืองในการต่อสู้กับพรรคไทยรักไทย ทฤษฎีนี้เป็นการเสนอจาก "กลุ่มสนามบินน้ำ" โดยมีรายละเอียด คือ เน้นสร้างความวุ่นวานให้เกิดขึ้นในสังคม โดยใช้เงื่อนไขการทุจริตของรัฐบาลที่ทำให้ประชาชนเกิดความเบื่อหน่าย จนกระทั่งเกลียดชังรัฐบาล และนำไปสู่การล้มรัฐบาลในที่สุด (ผู้จัดการ 1 กรกฎาคม) ก็ไม่แน่ว่าความเข้าใจต่อสิ่งที่เรียกว่า "ทฤษฎีเคออส" ของ นายถาวร เสนเนียม และของสภาพที่ระบุว่า "สมาชิกส่วนใหญ่" ถูกต้องและตรงกับความเป็นจริงหรือไม่ เรื่องรายละเอียดอ่อนระดับนี้จะไม่ brake ก็คงไม่ได้แล้ว ในความเป็นจริง ความพยายามเสนอทฤษฎี Chaos ของ ชัยวัฒน์ ถิระพันธุ์ และหรือการนำมาประสานเข้ากับหลักแห่งอนิจจังของ ยุค ศรีอาริยะ เสมอเป็นเพียงเครื่องมือหนึ่ง ทางหนึ่งเพื่อทำความเข้าใจต่อสภาพของระบบโลก ระบบสังคม ขณะเดียวกัน ทางหนึ่งเพื่อที่จะให้การทำหน้าที่ในการอธิบายสภาพความเป็นจริงของโลกและของสังคมดำเนินไปอย่างใกล้เคียงกับสภาพความเป็นจริงที่เกิดขึ้น ดำรงอยู่และดำเนินไป แปลกอย่างยิ่งที่ นายถาวร เสนเนียม คิดจะนำเอาทฤษฎี Chaos มาเป็นเครื่องมือในลักษณะที่เป็น อาวุธ เพื่อนำไปสู่การทำความเข้าต่อกระบวนการภายในของรัฐบาลและของพรรคไทยรักไทย แล้วนำเอากระบวนการเหล่านั้นมาสร้างเงื่อนไขที่สั่นคลอนเสถียรภาพของรัฐบาล ลำพังการประสานทฤษฎีที่ใช้ การศึกษาฐานความรู้ เป็นธงนำเพื่อสร้างยุทธศาสตร์ในรูปของนโยลายใหม่ของพรรคประชาธิปัตย์ ก็เป็นเรื่องยากลำบากอย่างยิ่งของการแปรนามธรรมเป็นรูปธรรม แปรความคิดเป็นการปฏิบัติ ความพยายามที่จะแปรทฤษฎี Chaos มาเป็น อาวุธ ในทางการเมืองยิ่งจะเป็นเรื่องยากลำบากยิ่งกว่า เว้นแต่นายถาวร เสนเนียม จะเข้าใจอะไรคลาดเคลื่อนในทฤษฎี Chaos เท่านั้น นั้นก็คือ นายถาวร เสนเนียม เคยได้ยินคำว่า ทฤษฎีสร้างความสับสน หลุดออกมาจากปากของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร เมื่อนักข่าวถามถึงกระบวนการจัดการต่อปัญหาความขัดแย้งในพรรคไทยรักไทย นั่นก็คือ มีีความพยายามจะโยงให้เห็นว่า พรรคไทยรักไทยนำเอาภาวะสับสนมาใช้ให้เป็นประโยชน์ในแต่ละโครงการอย่างไร เป็นการโยงในลักษณะที่เรียกว่า โยงแบบจิตวิสัย นั่นก็คือ คิดเอาเอง สรุปเอาเอง โดยที่เป็นการอ้างอิงข้อมูลบนพื้นฐานอย่างที่เรียกว่า ทฤษฎีสมคบคิด หรือ Conspiracy อย่างที่นิยมจับแพะชนแกะกันในสังคมตะวันตก เช่น จับแพะชนแกะเรื่อง เอลวิส เพรสลีย์ ยังไม่ตาย หรือจับแพะชนแกะเรื่องความสัมพันธ์อันสับสนระหว่าง มาริลีน มอนโร กับคนในตระกูลเคนเนดี้ และเลเพลาดไปถึง แฟรงก์ สินาตรา เรื่องอย่างนี้เมื่อนำเสนออาจมากด้วยสีสัน แต่จะทำให้คนเชื่อได้หรือไม่ ตอบลำบาก ยิ่งการอภิปรายทั่วไปเพื่อลงมติไม่ไว้วางใจ 2 ครั้งของพรรคประชาธิปัตย์ การนำเสนอข้อมูลการทุจริตคอร์รัปชันไม่สามารถทำอะไรรัฐมนตรีของพรรคไทยรักไทยได้ ยิ่งทำให้น้ำหนักที่น่าเชื่อถือของพรรคประชาธิปัตย์ลดน้อยถอยลง ในที่สุด ภาวะแห่ง CHAOS แทนที่จะเกิดขึ้นกับพรรคไทยรักไทย กลับจะปะทุที่พรรคประชาธิปัตย์มากกว่า อย่าได้แปลกใจที่คล้อยหลังแถลงเรื่องทฤษฎี Chaos ของ นายถาวร เสนเนียม ไม่นาน ก็มีเสียงจาก นายภูมิธรรม เวชยชัย ติดตามมา และอย่าได้แปลกใจที่ไม่เพียงแต่ นายอรรคพล สรสุชาติ จะออกมาติด brake ให้ แม้กระทั่ง นายถาวร เสนเนียม ก็ออกมาปฏิเสธข่าวของตนเอง เพราะไม่ทำเช่นนั้น ความปั่นป่วนต้องเกิดขึ้นในพรรคประชาธิปัตย์อย่างแน่นอน จากคุณ : คนล่าห่าน - [ 26 ธ.ค. 48 14:20:52 ]

ความคิดเห็นที่ 26 ^ ^ ^ ผมไม่ได้ลากเข้าเรื่องการเมืองนะ  เพียงแต่อยากให้เห็นว่า ทฤษฎี Chaos นี้ ถูกนำไปประยุกต์ใช้อย่างกว้างขวางเพียงใดในปัจจุบัน จากคุณ : คนล่าห่าน - [ 26 ธ.ค. 48 14:23:37 ]

ความคิดเห็นที่ 27 และด้วยความสับสนของทฤษฎีบทนี้ ดร.บัญชา ธนบุญสมบัติ เคยกล่าวไว้ในความเห็นหนึ่งใน http://www.manager.co.th/science/viewnews.aspx?NewsID=9480000094627  ว่า... ....ในประเด็นที่ว่า มีการนำเอาทฤษฎี และแนวคิดในทางวิทยาศาสตร์ ไปใช้อย่างผิดๆ เพี้ยนๆ ในทางสังคมศาสตร์ (และขอแถมด้วยว่า ในกลุ่มคนที่สนใจเรื่องเกี่ยวกับ "จิต" บางคน)  ตามประสบการณ์ของผม แนวคิดทางฟิสิกส์ที่โดนเอาไปตีความตามอำเภอใจบ่อยๆ นั้นได้แก่ 1) Chaos Theory : วิธีแก้ไข? - อาจต้องใช้คำชัดๆ ไปเลยว่าเป็น deterministic chaos ซึ่งต่างจาก randomness (สุ่มๆ แบบทอดลูกเต๋า - ที่ไม่ได้ถ่วง!) ส่วนอีกแนวคิดหนึ่งใน Chaos Theory ที่โดนเอาไปใช้แบบแทบจะตามอำเภอใจก็คือ Butterfly Effect หรือในพากย์ไทย "เด็ดดอกไม้สะเทือนถึงดวงดาว" ซึ่งโดนแต่งเติมไปมากจนแทบจะไม่อิงกับ Chaos Theory อีกเช่นกัน....... ........... ตกลง พี่ลำชีเริ่มเห็นความวุ่นวายของทฤษฎีนี้หรือยังครับ  อิอิ....วุ่นวาย โกลาหล อลหม่าน สับสน และมึนตึบ....อิอิ   จากคุณ : คนล่าห่าน - [ 26 ธ.ค. 48 14:41:15 ]

ความคิดเห็นที่ 28 ขอบคุณก่อนครับ คุณ ห่าน ยังไม่ได้อ่าน อิอิ จากคุณ : eyes only (ลำชี) - [ 26 ธ.ค. 48 14:59:31 ]

ความคิดเห็นที่ 29 และนี่ครับ ดร.สมเกียรติ ตั้งกิจวาณิชย์ แห่ง ทีดีอาร์ไอ  ได้กล่าวถึงทฤษฏีความโกลาหลไว้ใน กรุงเทพธุรกิจ  วันที่ 27 พฤศจิกายน พ.ศ. 2546  ว่า............ ทฤษฎีความโกลาหล ทัศนะ : ดร.สมเกียรติ ตั้งกิจวาณิชย์ ทีดีอาร์ไอ   กรุงเทพธุรกิจ  วันที่ 27 พฤศจิกายน พ.ศ. 2546 ปัจจุบันในเรื่องของ "ทฤษฎีความโกลาหล" หรือ Chaos Theory จะไม่ใช่แนวความคิดใหม่อะไรอีกต่อไปแล้ว ก็ยังดูเหมือนว่า มีผู้เข้าใจมัน น้อยเหลือเกิน จากการที่ได้ฟังคนพูด หรือเขียนเรื่องนี้ อย่างค่อนข้างคลาดเคลื่อนกันมาก ไปถึงขั้น "เลอะเทอะ" ผมหวังว่า บทความนี้ จะช่วยให้เกิดความเข้าใจ ต่อทฤษฎีโกลาหลถูกต้องมากขึ้น ก่อนจะพูดถึง "ทฤษฎีความโกลาหล" เราคงต้องอธิบายกันเสียก่อนว่า "ความโกลาหล" หรือ Chaos คืออะไร? เพราะจุดนี้คือจุดที่ทำให้เกิดความเข้าใจผิดมากที่สุด บางคนเข้าใจว่า "ความโกลาหล คือ หนทางไปสู่ความพินาศ" บางคนก็คิดว่า "สิ่งที่โกลาหลคือสิ่งที่ไม่สามารถทำนายได้ เพราะแม้แต่ที่จะเข้าใจมันก็เป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้เสียแล้ว" ซึ่งคล้ายกับความเข้าใจของคนอีกไม่น้อยที่ว่า "ทฤษฎีความโกลาหลต้องการบอกว่า ธรรมชาติมีแต่ความไร้ระเบียบ" บางคนก็อ้างทฤษฎีความโกลาหลพยากรณ์เรื่องต่างๆ ไปถึงขั้นที่กล่าวว่า "ทฤษฎีความโกลาหลพยากรณ์ว่า โครงการ X ไม่มีทางทำได้สำเร็จ" โดยที่โครงการ X เป็นอะไรได้สารพัดตั้งแต่ โครงการจูราสิคปาร์ก ไปจนถึงการปฏิรูปทางการเมืองไทย เป็นต้น แท้ที่จริงแล้ว "ความโกลาหล" ในทฤษฎีความโกลาหล ก็คือ ปรากฏการณ์ที่ดูเหมือนว่า เกิดขึ้นอย่างสะเปะสะปะ แต่ที่จริงแล้วแฝงไปด้วยความเป็นระเบียบ ตัวอย่างของระบบที่แสดงความโกลาหลง่ายๆ ระบบหนึ่งคือ เครื่องสร้างเลขสุ่มเทียมในเครื่องคอมพิวเตอร์ นั้นเอง ใครที่เคยใช้คอมพิวเตอร์ในงานจำลองสถานการณ์จริง คำถามที่ว่า ศึกษาทฤษฎีความโกลาหลไปแล้ว จะได้ประโยชน์อะไร สามารถตอบได้ว่า ทฤษฎีความโกลาหลมีประโยชน์อย่างน้อยใน 3 ทางด้วยกัน คือ ใช้ในการวิเคราะห์ระบบและทำนายอนาคต ใช้ในการสร้างระบบโกลาหล  และใช้ในการควบคุม-สร้างความเสถียรให้กับระบบ ดังสามารถอธิบายได้ดังต่อไปนี้ 1) ใช้ในการวิเคราะห์ระบบและทำนายอนาคต แม้ว่าเราจะไม่สามารถทำนายอนาคตของระบบโกลาหลในระยะยาวได้ เราก็ยังมีโอกาสทำนายอนาคตของมันในระยะสั้นได้ หากเราสามารถหาโมเดลที่อธิบายพฤติกรรมของระบบนั้น และทราบสภาวะตั้งต้นอย่างแม่นยำพอสมควร ในปัจจุบัน การวิจัยเพื่อทำนายอนุกรมตามลำดับเวลา (time-series data) ด้วยแนวคิดของทฤษฎีความโกลาหล กำลังดำเนินไปอย่างแข่งขัน และมีการจัดการแข่งขันทุกปี ที่สถาบันวิจัยแห่ง ซานตาเฟ ในสหรัฐอเมริกา ตัวอย่างของการประยุกต์ในแนวนี้ได้แก่ การทำนายความต้องการใช้ไฟฟ้าสูงสุดในแต่ละวันของบริษัทไฟฟ้า (ซึ่งประยุกต์ใช้จริงที่ บริษัทไฟฟ้าคันไซในญี่ปุ่น) หรือปริมาณความต้องการใช้น้ำในแต่ละวัน (ซึ่งประยุกต์ใช้จริงที่บริษัทเมเดนฉะในญี่ปุ่น) ตลอดจนการพยากรณ์อากาศ ซึ่งเป็นการประยุกต์ใช้หนึ่ง ที่ทำให้เกิดศาสตร์แห่งความโกลาหลเองด้วย เป็นต้น ส่วนการทำนายที่เราจะไม่ได้ยินข่าวความสำเร็จเลยก็คือ การทำนายทางการเงินเช่นราคาหลักทรัพย์หรือ อัตราแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศ เพราะถึงสำเร็จมันก็จะเป็นความลับตลอดกาล 2) ใช้ในการสร้างระบบโกลาหล ผู้อ่านอาจรู้สึกแปลกใจว่า อยู่ดีๆ ทำไมเราต้องสร้างระบบโกลาหลขึ้นมาด้วย คำตอบก็คือ มีผู้เชื่อว่า "ในธรรมชาติ ความโกลาหลเป็นสิ่งสากลมากกว่าและดีกว่าระเบียบแบบง่ายๆ" เช่น สมัยหนึ่งเราเคยเชื่อว่า อุณหภูมิที่เหมาะสมสำหรับมนุษย์ คืออุณหภูมิคงที่ อย่างไรก็ตาม ผลการทดลองบางชิ้นทำให้ทราบว่า อุณหภูมิที่มนุษย์รู้สึกสบายตัวกว่า คือ อุณหภูมิที่เปลี่ยนไปมา อย่างโกลาหล รอบจุดๆ หนึ่ง แนวคิดนี้ได้นำมาสู่การสร้างเครื่องทำความร้อนของบริษัท ซันโย ในญี่ปุ่น ซึ่งเป็นเครื่องใช้ไฟฟ้าในบ้านชนิดแรกที่ใช้ทฤษฎีความโกลาหล (หลังจากที่ "ทฤษฎีความกำกวม" - fuzzy theory เคยถูกประยุกต์ใช้มาแล้วในเครื่องใช้ไฟฟ้าหลายชนิด) นอกจากนี้ บริษัท มัทสึชิตะ ยังใช้ทฤษฎีโกลาหลควบคุมหัวฉีดของเครื่องล้างจาน ซึ่งพบว่าสามารถล้างจานได้สะอาด โดยประหยัดน้ำได้กว่าเครื่องล้างจานแบบอื่นๆ ทั้งนี้เพราะเส้นทางการเคลื่อนที่ของหัวฉีดที่ดูเหมือนไร้ระเบียบ ทำให้ครอบคลุมพื้นที่ได้ดีกว่า การเคลื่อนที่ตามแบบแผนปกติ 3)ใช้ในการควบคุม สร้างความเสถียรภาพให้กับระบบ การที่ระบบแบบโกลาหลนั้นไว้ต่อสภาวะตั้งต้นมาก การรบกวนเพียงเล็กน้อยจึงอาจก่อให้เกิดผลขยายได้มาก ในงานด้านวิศวกรรมควบคุม การเติมสัญญาณรบกวนต่อเพียงเล็กน้อย ที่เหมาะสมสู่ระบบที่เป็นระบบโกลาหล จึงสามารถใช้ควบคุมให้ระบบนั้น อยู่ในสภาวะเสถียร หรือขับเคลื่อนให้ระบบนั้นไปสู่สภาวะที่ต้องการได้อย่างมีประสิทธิภาพ ตัวอย่างของการประยุกต์ใช้ตามแนวความคิดนี้ได้แก่ การที่องค์การนาซา (NASA) สามารถควบคุมยานอวกาศ ISEE-3 ให้ลอยไปสู่ดาวหางที่ต้องการสำรวจได้โดยใช้เชื้อเพลิงเพียงเล็กน้อย หรือการใช้สัญญาณไฟฟ้า ช่วยรักษาโรคหัวใจในกระต่าย ที่ช่วยทำให้หัวใจของมันเต้นตามปกติได้ นอกจากการประยุกต์ใช้หลักๆ ดังกล่าวข้างต้นแล้ว ทฤษฎีความโกลาหลยังสามารถประยุกต์ใช้ได้อีกในหลายสาขา เช่น ในด้านการสื่อสาร เราสามารถใช้สัญญาณแบบโกลาหลในการเข้ารหัสข้อมูล เพื่อป้องกันคนแอบดูข้อมูล ในด้านเศรษฐศาสตร์ การประยุกต์ใช้ทฤษฎีความโกลาหลมานานแล้ว และการประยุกต์ใช้ในปัจจุบัน มักเป็นไปอย่างรัดกุมคล้ายกับด้านวิทยาศาสตร์ธรรมชาติ ที่กล่าวว่า การประยุกต์ใช้ในด้านนี้ มีมานานแล้วนั้น สามารถดูได้จาก ผลงานของแมนเดลบรอท (Mandelbrot) ซึ่งเป็นผู้หนึ่งที่ช่วยสถาปนาศาสตร์แห่งความโกลาหลขึ้น ในทศวรรษ 1960 แมนเดลบรอทนำเศรษฐศาสตร์มาผูกกับทฤษฎีความโกลาหล นั้นก็คือลักษณะการเปลี่ยนแปลงราคาฝ้าย เมื่อมองในสเกลรายวัน คล้ายกับเมื่อมองในสเกลรายเดือน ในด้านการเงิน วิวาทะเรื่องทฤษฎีความโกลาหลกำลังดำเนินไปอย่างดุเดือดอย่างยิ่ง เพราะแนวความคิดตามทฤษฎีความโกลาหล ได้เพิ่มมุมมองใหม่อันท้าทายให้กับการวิวาทะว่า สมมติฐานเรื่อง "ตลาดมีประสิทธิภาพ" กล่าวโดยย่อ ตลาดการเงินที่มีประสิทธิภาพหมายถึง ตลาดที่ผลของสารสนเทศต่างๆ ได้สะท้อนออกมาในราคาของหลักทรัพย์ในตลาดอย่างหมดสิ้นและทันที จุดที่ก่อให้เกิดการวิวาทะก็คือ หากสมมติฐานนี้เป็นจริง ราคาหลักทรัพย์ในตลาดจะแกว่งขึ้นลงแบบสุ่ม (Random Walk) จึงป่วยการที่บรรดานักวิเคราะห์หลักทรัพย์ทั้งนักวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐานและนักวิเคราะห์ปัจจัยเชิงเทคนิค จะพยายามทำนายราคาหลักทรัพย์ หรือแนะนำลูกค้าว่าควรซื้อหลักทรัพย์ใด เพราะผลที่ได้จะไม่มีอะไรดีกว่า ให้ลิงจับฉลากเลือก เมื่อเราดูกราฟการขึ้นลง ของราคาหลักทรัพย์ที่แสนจะดูเหมือนไร้แบบแผน สมมติฐานนี้ก็ดูเป็นเรื่องน่าเชื่อขึ้นมา การกำเนิดขึ้นของทฤษฎีความโกลาหล ได้สร้างความหวังแก่ผู้ที่ไม่เชื่อว่า ตลาดมีประสิทธิภาพ ทั้งนี้ เพราะหากราคาฝ้าย มีลักษณะความคล้ายกับตัวเองแบบแฟรกตัล (ซึ่งหมายถึงว่ามันเคลื่อนไหว ภายใต้กฎเกณฑ์ที่ตายตัว) ได้แล้ว ทำไมราคาหลักทรัพย์ หรืออัตราการแลกเปลี่ยนเงินตรา จึงจะมีลักษณะเช่นเดียวกันไม่ได้ และหากตลาดหลักทรัพย์ เป็นระบบโกลาหลแล้ว แม้เราจะทำนายอนาคตระยะไกลของมันไม่ได้ เราก็ยังมีความหวังที่จะทำนายอนาคตระยะใกล้ของมันอย่างไม่คลาดเคลื่อนนัก การประยุกต์ทฤษฎีความโกลาหลในสังคมไทย เป็นการประยุกต์ที่แตกต่างกับวงการวิชาการโลกโดยสิ้นเชิง คือ ไม่พบการประยุกต์ในด้านวิทยาศาสตร์ หรือเศรษฐศาสตร์เลย แต่พบในด้านการอธิบายสังคมในประเทศไทย เป็นไปอย่างหละหลวม กล่าวคือ มักเป็นการหยิบยืมเอาเฉพาะแนวความคิดบางอย่างในทฤษฎีนี้ ไปจับกับสิ่งที่ต้องการศึกษา เช่น ระบบการเมือง หรือระบบสังคมเพื่อหามุมมองใหม่ หรือเพียงใช้ภาษาของทฤษฎีนี้เพื่อสื่อสารที่ตนต้องการจะสื่ออยู่แล้ว ออกมาในรูปใหม่ ที่ทำให้คนฟังฉงนฉงายเท่านั้น การอ่านงานเหล่านี้จึงต้องอ่านอย่างยอมรับเงื่อนไขนี้ก่อน (มิฉะนั้น จะเกิดอาการหงุดหงิดอย่างที่เคยเกิดขึ้นกับผม) ตัวอย่างของการประยุกต์ทฤษฎีความโกลาหล ในการอธิบายสังคมไทยที่ผมพบในภาษาไทยได้แก่งานเขียนของ ชัยวัฒน์ ถิระพันธ์ และของยุค ศรีอาริยะ ในหนังสือ "ทฤษฎีความไร้ระเบียบ กับทางแพร่ของสังคมสยาม" ชัยวัฒน์ ถิระพันธ์ ได้ยืมแนวความคิด จากทฤษฎีความโกลาหล มาวิเคราะห์สังคมไทย โดยถือตามแนวคิดของ Ervin Laszio ว่า สังคมใดๆ ล้วนเป็นระบบพลวัตรแบบห่างไกลความสมดุล ซึ่งน่าจะมีความหมายเหมือนกับระบบแบบโกลาหล แม้เรายังไม่มีเครื่องมือทั่วไปใดๆ ที่ช่วยตัดสินว่า ระบบใดระบบหนึ่งเป็นระบบโกลาหลหรือไม่ การทึกทักว่าสังคมใดๆ รวมทั้งสังคมไทยเป็นระบบแบบโกลาหล จึงเป็นการก้าวกระโดดทางความคิดที่ไม่มีหลักฐานสนับสนุน ซึ่งข้อสรุปหลักชี้เตือนให้เห็นว่า ประเทศไทยกำลังอยู่ภายใต้การโจมตีของคลื่นแห่งการเปลี่ยนแปลงลูกต่างๆ ทั้งในระดับโลกและภายในสังคมไทยเอง ซึ่งทำให้สังคมไทยเข้าสู่สภาพโกลาหลและกำลังอยู่ในทางแพร่ง .................... เฮ้อ!! ...  อ่านมาจนถึงตรงนี้  โดยสรุป ก็ไม่รู้ว่าไอ้เจ้า Chaos เนี่ย มันคืออะไรใช่ม้า พี่ลำชี ........... ถ้าพี่ตอบว่าใช่  แสดงว่าพี่น่าจะเริ่มเข้าใจ Chaos Theory  แล้วหล่ะ  ...   ....แต่ผมยังงงๆ อยู่เลยอ่ะครับ     จากคุณ : คนล่าห่าน - [ 26 ธ.ค. 48 15:02:56 ]

ความคิดเห็นที่ 30 ^ ^ ^ จากบทความข้างบนนี้  ผมชอบตรงนี้ครับ......   ในด้านการเงิน วิวาทะเรื่องทฤษฎีความโกลาหลกำลังดำเนินไปอย่างดุเดือดอย่างยิ่ง เพราะแนวความคิดตามทฤษฎีความโกลาหล ได้เพิ่มมุมมองใหม่อันท้าทายให้กับการวิวาทะว่า สมมติฐานเรื่อง "ตลาดมีประสิทธิภาพ" กล่าวโดยย่อ ตลาดการเงินที่มีประสิทธิภาพหมายถึง ตลาดที่ผลของสารสนเทศต่างๆ ได้สะท้อนออกมาในราคาของหลักทรัพย์ในตลาดอย่างหมดสิ้นและทันที จุดที่ก่อให้เกิดการวิวาทะก็คือ หากสมมติฐานนี้เป็นจริง ราคาหลักทรัพย์ในตลาดจะแกว่งขึ้นลงแบบสุ่ม (Random Walk) จึงป่วยการที่บรรดานักวิเคราะห์หลักทรัพย์ทั้งนักวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐานและนักวิเคราะห์ปัจจัยเชิงเทคนิค จะพยายามทำนายราคาหลักทรัพย์ หรือแนะนำลูกค้าว่าควรซื้อหลักทรัพย์ใด เพราะผลที่ได้จะไม่มีอะไรดีกว่า ให้ลิงจับฉลากเลือก เมื่อเราดูกราฟการขึ้นลง ของราคาหลักทรัพย์ที่แสนจะดูเหมือนไร้แบบแผน สมมติฐานนี้ก็ดูเป็นเรื่องน่าเชื่อขึ้นมา การกำเนิดขึ้นของทฤษฎีความโกลาหล ได้สร้างความหวังแก่ผู้ที่ไม่เชื่อว่า ตลาดมีประสิทธิภาพ ทั้งนี้ เพราะหากราคาฝ้าย มีลักษณะความคล้ายกับตัวเองแบบแฟรกตัล (ซึ่งหมายถึงว่ามันเคลื่อนไหว ภายใต้กฎเกณฑ์ที่ตายตัว) ได้แล้ว ทำไมราคาหลักทรัพย์ หรืออัตราการแลกเปลี่ยนเงินตรา จึงจะมีลักษณะเช่นเดียวกันไม่ได้ และหากตลาดหลักทรัพย์ เป็นระบบโกลาหลแล้ว แม้เราจะทำนายอนาคตระยะไกลของมันไม่ได้ เราก็ยังมีความหวังที่จะทำนายอนาคตระยะใกล้ของมันอย่างไม่คลาดเคลื่อนนัก แต่.........ตอนบนสุดของบทความกล่าวว่า...... .......ส่วนการทำนายที่เราจะไม่ได้ยินข่าวความสำเร็จเลยก็คือ การทำนายทางการเงินเช่นราคาหลักทรัพย์หรือ อัตราแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศ เพราะถึงสำเร็จมันก็จะเป็นความลับตลอดกาล ........ ................. จบกัน!!   จากคุณ : คนล่าห่าน - [ 26 ธ.ค. 48 15:09:20 ]

ความคิดเห็นที่ 31 ดูเหมือนบทความข้างบนจะไม่ได้อธิบาย ความหมายของคำว่า Chaos ไว้....ผมไปพบส่วนเพิ่มมาดังนี้ครับ...... ......... ความโกลาหล ในทฤษฎีความโกลาหล ก็คือ...... ปรากฎการณ์ที่ดูเหมือนว่าเกิดขึ้นอย่างสะเปะสะปะ (random) แต่ที่จริงแล้วแฝงไปด้วยความเป็นระเบียบ (order) ตัวอย่างของระบบที่แสดงความโกลาหลง่าย ๆ ระบบหนึ่งคือ เครื่องสร้างเลขสุ่มเทียม (psuedo-random number generator) ในเครื่องคอมพิวเตอร์ นั่นเอง ใครที่เคยใช้คอมพิวเตอร์ในงานจำลองสถานการณ์จริง (simulation) หรือ เพียงแต่ใช้เครื่องคิดเลขแบบพกติกตัวเล่นการพนัน คงจะทราบกันดีว่า คอมพิวเตอร์นั้นสามารถสร้างเลขสุ่ม (random number) ได้  อย่างไรก็ตามเลขสุ่มที่เกิดขึ้นมานี้ ถึงจะดูเหมือนว่าเกิดขึ้นมาโดยไม่มีแบบแผนนั้น ก็เป็นเพียงเลขสุ่มเทียม (psuedo-random number) ซึ่งต่างจากเลขสุ่มแท้ที่ เกิดจากการทอดลูกเต๋า เพราะเลขสุ่มของคอมพิวเตอร์เกิดขึ้นจากโปรแกรมง่าย ๆ เช่น X(n+1) = c X(n) mod m โดยที่ X(n) คือ เลขสุ่มครั้งที่ n ส่วน c และ m เป็นเลขจำนวนเต็ม และ mod หมายถึงการหารเลขจำนวนเต็มแล้วเอาเฉพาะเศษ การที่เกิดจากโปรแกรมง่าย ๆ นี้จึงมีความหมายว่า การเกิดของเลขสุ่มนี้แฝงไปด้วยความเป็นระเบียบ โดยระเบียบนั้นก็สามารถบรรยายได้ด้วยโปรแกรมนั้นนั่นเอง เลขสุ่มที่เกิดจากคอมพิวเตอร์นี้มีลักษณะเด่นอีกอย่างหนึ่งคือ มันจะเกิดขึ้นอย่างแตกต่างกันมากหากเริ่มต้นด้วยตัวตั้งต้น X(0) หรือที่เรียกกันว่า "เมล็ด" (seed) คนละตัวกัน นั่นก็คือ ระบบสร้างเลขสุ่มเทียมนี้เป็นระบบที่ไวต่อสภาวะ ตั้งต้น (initial condition) นั่นเอง   ตัวอย่างข้างต้นนี้ได้สะท้อนสมบัติของระบบโกลาหลหลายประการ ถ้าจะพูดให้เป็นระบบมากขึ้น (แต่ยังไม่ค่อยรัดกุมนัก) ก็คือ ระบบที่แสดงความโกลาหลจะต้องประกอบไปด้วยลักษณะดังต่อไปนี้ 1) มีคุณสมบัติแบบไม่เป็นเชิงเส้น (nonlinearity) คุณสมบัติแบบไม่เป็นเชิงเส้นสามารถนิยามได้ว่าตรงกันข้ามกับ คุณสมบัติแบบเชิงเส้น โดยที่ฟังก์ชัน f จะมีคุณสมบัติเชิงเส้นก็ต่อเมื่อ f(x+y) = f(x)+f(y) นั่นก็คือ ในระบบแบบไม่เป็นเชิงเส้น ผลลัพท์ของระบบทั้งหมดไม่เท่ากับผลรวมของผลลัพท์ที่เกิดจากส่วนย่อย ๆ รวมกัน (โดยอาจจะมากหรือน้อยกว่าก็ได้) ความไม่เป็นเชิงเส้นนี่เองที่ทำให้ระบบที่แสดงความโกลาหลไม่ได้รับการศึกษามากในอดีต เพราะ ศึกษาได้ค่อนข้างยาก ข้อพึงระวังก็คือ การที่กล่าวว่าระบบโกลาหลจำต้องเป็นระบบที่ไม่เป็นเชิงเส้นนั้น ไม่ได้หมายความว่าระบบที่ไม่เป็นเชิงเส้นทุกระบบจะเป็นระบบโกลาหลเสมอไป 2) ไม่ใช่เกิดแบบสุ่ม (คือเป็น deterministic ไม่ใช่ probabilistic) กล่าวอีกแบบหนึ่งก็คือ ในระบบโกลาหล เหตุการณ์ทั้งหลายเกิดขึ้นภายใต้กฎเกณฑ์ที่แน่นอน เหตุการณ์ที่ไม่สามารถทำนายล่วงหน้าแบบการทอดลูกเต๋าจึงไม่ใช่ ความโกลาหล แต่เป็นความสุ่ม (randomness) การแปลคำนี้เป็นภาษาไทยโดยใช้คำว่า "ทฤษฎีความไร้ระเบียบ" จึงเป็นการแปลที่ไม่เหมาะสม เพื่อป้องกัน ความเข้าใจผิดว่า ความโกลาหลไม่ใช่ความสุ่มจึงมีคนเรียก chaos ว่า deterministic chaos 3) ไวต่อสภาวะเริ่มต้น (sensitivity to initial conditions) การเริ่มต้นที่ต่างกันนิดเดียวอาจทำให้ผลบั้นปลายต่างกันมาก ดังที่มีคนชอบยกตัวอย่าง "ผลกระทบผีเสื้อ" (butterfly effect) ซึ่งหมายถึงการที่ผีเสื้อกระพือปีกในที่แห่งหนึ่ง (เช่นที่บราซิล) แล้วส่งผลทำให้ฝนตกในที่ที่ห่างไกลออกไป (เช่น ไทย) ในสัปดาห์หน้า สาเหตุที่ระบบโกลาหลไวต่อสภาวะเริ่มต้นก็เพราะว่ามัน จะขยายความแตกต่างให้เพิ่มมากขึ้นอย่างรวดเร็ว เช่น ที่พบบ่อยก็คือการขยายความแตกต่างให้เร็วขึ้นในระดับเลขยกกำลัง (exponential) ของเวลา 4) ไม่สามารถทำนายล่วงหน้าในระยะยาวได้ (long-term prediction is impossible) ซึ่งเป็นผลสืบเนื่องจากข้อ 3 เพราะการที่ไวต่อสภาวะเริ่มต้น จะ ทำให้เราไม่รู้ว่า ระบบที่เราสนใจอยู่จะเป็นอย่างไรในระยะยาว หรือ ถ้าจะใช้ตัวอย่างผลกระทบผีเสื้อข้างต้นอีกก็คือ เราไม่สามารถพยากรณ์อากาศล่วงหน้าเป็นเดือนได้ เพราะไม่รู้ว่าผีเสื้อตัวไหน จะกระพือปีกเมื่อไหร่ ลักษณะของระบบโกลาหลข้อนี้เองที่สร้างผลกระทบใหญ่หลวงแก่วงการวิทยาศาสตร์ เพราะ มันหักล้างความเชื่อของ ลาปลาซ (Laplace) ที่ถูกสถาปนามานานแล้วว่า "หากเรารู้สภาพตั้งต้นที่ดีพอ เราจะสามารถทำนายอนาคตของเอกภพทั้งเอกภพได้" อย่างไรก็ตาม คุณสมบัติข้อนี้ไม่ได้แปลว่า การทำนายระยะสั้น (short- term prediction) จะเป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ นี่เป็นอีกจุดหนึ่งที่มีคนเข้าใจผิดกันมาก นอกจากที่กล่าวข้างต้นแล้ว ระบบโกลาหลยังมักมีสมบัติอีกประการหนึ่ง คือ การแสดงลักษณะ "คล้ายกับตัวเอง" (self similarity) หรือที่เรียกว่า "แฟรกตัล" (fractal) นั่นเอง ลักษณะนี้จะปรากฏขึ้นเมื่อเราพลอตเส้นทางการเคลื่อนที่ของระบบในระบบพิกัดที่บ่งถึงสภาวะ (phase space) ลักษณะคล้ายกับตัวเองนี้หมายความว่า ไม่ว่าเราจะมองเส้นทางการเคลื่อนที่นี้จากสเกลเล็กหรือใหญ่แค่ไหน มันก็ยังมีลักษณะเหมือนเดิม เช่น เมื่อเรามองชายหาดจากเครื่องบิน เราก็จะเห็นมันเป็นเส้นโค้งเหมือนงูเลื้อย และ เมื่อเราตัดเฉพาะชายหาดบางส่วนมาขยายดู เราก็จะพบลักษณะงูเลื้อยในงูเลื้อยนี้ลงไปอีกเป็นชั้น ๆ แทบไม่มีที่สิ้นสุด (การบอกเพียงว่าฝั่งทะเลไทยยาว 1500 ไมล์ตามเพลงมาร์ชของทหารเรือไทยจึงไม่มีความหมายอะไร เพราะไม่ทราบว่าวัดอย่างไร และถ้าเราขยายส่วนของชายฝั่งนั้นลงไปอีก เราก็วัดรอยงูเลื้อยนี้ต่อไปได้เรื่อย ๆ ไม่มีที่สิ้นสุดจนได้ความยาวชายฝั่งเป็นอนันต์!) อย่างไรก็ตาม ลักษณะคล้ายกับตัวเองแบบแฟรกตัลนี้ ไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องเป็นเงื่อนไขที่จำเป็นในการเกิดระบบโกลาหลแต่อย่างใด เพียงแต่มักพบร่วมกันบ่อยครั้งเท่านั้น .............. คุณสมบัติแบบที่เรียกว่า แฟรกตัล นี่แหละครับ ที่มีฝรั่ง นำมาใช้เป็นเครื่องมือในการดูทิศทางการเคลื่อนไหวของราคาหุ้น แล้วเรียกว่า Trading Chaos.......!! จากคุณ : คนล่าห่าน - [ 26 ธ.ค. 48 15:27:31 ]

ความคิดเห็นที่ 32 ขอบคุณมากค่ะ Happy Boxing day Happy New Year จากคุณ : noopiglet - [ 26 ธ.ค. 48 15:31:46 ]

ความคิดเห็นที่ 33 ตัวอย่าง  fractal รูปไม่มา แก้ไขเมื่อ 26 ธ.ค. 48 15:47:04 จากคุณ : SANG-JANTRA - [ 26 ธ.ค. 48 15:46:15 ]

ความคิดเห็นที่ 34 เอาใหม่ จากคุณ : SANG-JANTRA - [ 26 ธ.ค. 48 15:47:57 ]

ความคิดเห็นที่ 35 อีกรูป จากคุณ : SANG-JANTRA - [ 26 ธ.ค. 48 15:54:17 ]

ความคิดเห็นที่ 36 เริ่มเห็นภาพแล้วครับคุณห่าน 555 จากคุณ : eyes only (ลำชี) - [ 26 ธ.ค. 48 15:58:37 ]

ความคิดเห็นที่ 38 และข้อความที่ว่า........ คุณสมบัติสำคัญของ fractal หรือ "ความคล้ายตนเอง" (self-similarity)นั่นคือ โครงสร้างเศษส่วนที่ขยายตัวออกไปไม่สิ้นสุดไม่ว่าจะเป็นมิติกาละ(time) หรือ มิติเทศะ(space)ล้วนแต่มีรูปร่างคล้ายคลึงซ้ำกับแบบแผน(pattern)อันแรกอันเป็นแม่แบบของมัน ....ตรงนี้.นี่แหละที่เขาจะนำมาเซ็ตรูปแบบกร๊าฟหุ้นในอดีต แล้วดูลักษณะความเหมือน ที่ต่างมิติ เพื่อพยากรณ์ออกมาว่า แนวรับและแนวต้านที่จะเกิดขึ้นต่อไปเป็นอย่างไร...ซึ่งต้องอาศัยความเข้าใจในเรื่องของคณิตศาสตร์พอสมควร (โดยอาศัยโปรแกรมคอมพิวเตอร์เข้าช่วย).....เพราะเขาเชื่อว่าถึงแม้ตลาดหุ้นจะเกิดจากกระแสของความสับสนอลหม่านแต่การเคลื่อนไหวขึ้นลงของหุ้นจะเป็นไปในลักษณะที่มีระเบียบแบบ คุณสมบัติสำคัญของ fractal ... จากคุณ : คนล่าห่าน - [ 26 ธ.ค. 48 16:10:37 ]

ความคิดเห็นที่ 39 ฝรั่งที่ชื่อ Dr.Bill silliams และ Justine gregory-williams นำแนวความคิดในเรื่องเหล่านี้มาสร้างเป็น โปรแกรมแล้วขายพร้อมอบรม  หากใครสนใจเข้าไปดูได้ครับที่ http://www.profitunity.com/ ส่วนเรื่องแนวคิดลึกๆ ที่เกี่ยวข้องมากไปกว่านี้ ผมยังไม่เข้าใจเลยอ่ะครับ     เฮ้อ!....พี่ลำชี คุณ IC&F หมอวัติ คุณขวัญชัย เฮียเต่าฯ คุณzARKa และ noopiglet ที่อุตส่าห์เข้ามาอ่าน จะผิดหวังมั้ยเนี่ย   ขอขอบคุณคุณหมอ SANG-JANTRA ด้วยครับ ที่กรุณาช่วย Post รูปให้ดู   จากคุณ : คนล่าห่าน - [ 26 ธ.ค. 48 16:44:10 ]

ความคิดเห็นที่ 40 ผิดหวังได้ไง มีแต่ความชื่นชมครับพี่ห่าน ตอนแรกผมยังเกือบปล่อยไก่ไปว่า ทฤษฏีเจ้า(มือ) = Chao Theory ดีว่าสงบๆแอบอ่านก่อน อิอิ จากคุณ : เต่าหยวนเปียว - [ 26 ธ.ค. 48 16:54:47 ]

ความคิดเห็นที่ 41 ไม่ผิดหวังเลยครับ พี่ห่าน   แต่เริ่มมึนครับ   เริ่มจำคนในบ้านไม่ได้  เหอๆๆๆ   จากคุณ : Vprawat - [ 26 ธ.ค. 48 19:20:54 ]

ความคิดเห็นที่ 42 ผมมีความเห็นส่วนตัวว่า  การประยุกต์ ทฤษฎีทางคณิตศาสตร์/วิทยาศาสตร์  อย่างเช่น chaos theory มาใช้อธิบายปรากฏการณ์ทางสังคม/การเมือง  เป็นเรื่องที่ต้องระวังอยู่มาก  (แม้แต่ฝรั่งเองก็เถอะ)   ขออนุญาตแนะนำหนังสือ ชื่อ Universality  เขียนโดย Mark  Ward (macmillan 2001)  ซึ่งจะช่วยให้เห็นความพยายามประยุกต์ดังกล่าวข้างต้น และต้องขอให้คุณ IC&F ซึ่งเป็นเจ้าของกระทู้ ช่วยขยายแนวคิด ที่ทำให้หยิบเอาเรื่องนี้มาเป็นกระทู้ด้วยครับ จากคุณ : SANG-JANTRA - [ 26 ธ.ค. 48 22:01:15 ]

ความคิดเห็นที่ 43 "เจาะกันซะลึกเลย ทฤษฏีนี้" ตรงความต้องการไม๊ครับคุณ IC&F    "พี่ห่านก็ทำการบ้านได้ดีจริงๆ"                   จากคุณ : ขวัญชัย - [ 26 ธ.ค. 48 22:43:06 ]

ความคิดเห็นที่ 44 ขอบคุณพี่คนล่าห่านมากๆครับ เป็นเพราะนั่งดู CSI ตอน Chao Theory ทำให้ได้ความรู้อีกเพียบเลย ผมมั่นใจมากๆ ว่า ความรู้นี้จะก่อให้เกิดผลที่ยิ่งใหญ่แน่ๆ ในอนาคตครับ จากคุณ : IC&F - [ 26 ธ.ค. 48 22:53:22 ]

ความคิดเห็นที่ 45 ผมนึกถึง สมการที่คุณ นินจา เขียนบนกระดานครับ ครั้งที่เราไปเล่นเกม 555 และรู้สึกเคยเรียน ซึ่งอาจเป็น การประยุกต์ใช้กับงานวิศวกรรม พวกสมการเชิงอนุพันธ์ ซึ่งมีมีตัวแปรต่างฯมากมาย ซับซ้อน กว่าจะหาคำตอบได้ต้องคำนวณโดยใช้ซุปเปอร์คอมพิวเตอร์ คำนวณเป็นวันฯหรือหลายวันกว่าจะได้คำตอบ  ซึ่งตัวแปรนิดเดียวค่าก็จะเปลี่ยนไปได้มากมาย ผมเริ่มมอง chao ออกหรือยังครับนี่ อิอิ จากคุณ : eyes only (ลำชี) - [ 27 ธ.ค. 48 08:17:05 ]

ความคิดเห็นที่ 46 คุณ นินจา บอกว่า แกเรียน วิชาไฟฟ้า หรือพวก วิศวกรรม แกเห็นความมั่งคั่ง ของเงิน แต่ผมเรียน วีชาชีววิทยา ผมเห็น นางเงือก เรียนสมการเชิ่งอนุพันธ์ ผมเห็นการอธิบาย เรื่องผี ที่สามารถหาคำตอบได้จากตัวเลข 555 ชักเลอะเทอะ อิอิ จากคุณ : eyes only (ลำชี) - [ 27 ธ.ค. 48 08:22:45 ]

ความคิดเห็นที่ 47 CSI ตอนไหนครับ เดี๋ยวจะหาดูบ้างครับ จากคุณ : eyes only (ลำชี) - [ 27 ธ.ค. 48 08:24:43 ]

ความคิดเห็นที่ 48 Season 2 เวกัส ประมาณตอนที่ 3 ครับ จากคุณ : IC&F - [ 27 ธ.ค. 48 10:39:40 ]

ความคิดเห็นที่ 49 หุหุ... ที่ว่ามาทั้งหมดเป็นเรื่องเฉพาะเกี่ยวกับคำตอบ แนวคิดของ Chaos คืออะไร? เท่านั้นนะครับ... สังเกตุไหมครับว่า.... Chaos Theory หรือทฤษฎีอื่นๆ ใดก็ตาม ล้วนแต่เป็นรูปแบบมุมมองของบุคคลที่มีต่อสิ่งใดสิ่งหนึ่ง (หรืออาจจะหมายรวมว่าเป็นทัศนะในการมองโลกในแง่มุมของปัจเจกชนก็ได้)  ถ้ารูปแบบมุมมองของใครได้รับการยอมรับก็จะมีผลต่อทัศนคติและการรับรู้ของบุคคลที่ให้การยอมรับนั้นๆ ด้วย ตัวอย่างง่ายๆ ฝรั่งมีรูปแบบมุมมองในเรื่องของจิตวิญญาณแตกต่างจากพุทธศาสนิกชน  หรือถ้าลึกซึ้งลงไปกว่านั้น คนแต่ละคนจะมีรูปแบบมุมมองในเรื่องเดียวกันต่างกัน ไม่ต้องอื่นไกล ในกระทู้ข้างล่างที่ตั้งคำถามลอยๆ ว่า DSM คืออะไร...  จะเห็นว่าแต่ละคนก็จะมีมุมมองต่อ DSM แตกต่างกันไป แต่เราจะไม่สนใจที่ความต่าง... เราจะสนใจที่ "แว่น" หรือกรอบที่ครอบงำอยู่ในกระบวนการคิดของแต่ละคน  ใครที่มีกรอบความคิดที่กว้างขวางกว่าก็จะมีความเข้าใจมากกว่า ใครที่มีกรอบความคิดที่คมชัดกว่าก็จะยิ่งเข้าใจสิ่งต่างๆ ได้ลึกซึ้งกว่า เหมือนคนที่มองเห็นกันแต่เพียงภายนอก บ้างก็ว่าสวยก็ว่างาม  แต่คนที่มีกรอบความคิดที่คมชัดขึ้น ก็จะมองว่าที่ว่าสวยว่างามนั้นเกิดจากการปรุงแต่ง  (คนป่าใช้สีทาหน้าทาตา ในมุมมองของเขา ในการปรุงแต่งของเขาก็ว่าของเขางามแท้ๆ แต่ในมุมมองของคนเมืองอย่างเราเกิดการปรุงแต่งว่าน่าเกลียด สกปรก และน่ากลัว) แต่คนที่มีกรอบควมคิดที่คมชัดขึ้นไปอีก ก็จะมองว่า จริงๆ แล้วเป็นการประชุมกันของธาตุดินน้ำลมไฟ ไม่มีอะไรที่สวยงามจริงๆ เลย นั่นคือรูปแบบมุมมองของสิ่งๆ เดียวกันที่ผ่านกรอบความคิดต่างกัน ดังนั้น Chaos Theory จึงควรเป็นเพียงแค่กรอบความคิดที่ช่วยให้เรามองปรากฎการณ์ทั้งหลายได้ชัดขึ้น เห็นความซับซ้อนมากขึ้นเท่านั้น... กรอบความคิดของ Chaos อาจจะพิจารณาจากองค์ประกอบ ก็น่าจะได้.... คือ Chaos บอกว่ามีคุณสมบัติแบบไม่เป็นเชิงเส้น (nonlinearity)  ไม่ใช่เกิดแบบสุ่ม (คือเป็น deterministic ไม่ใช่ probabilistic) คือ เหตุการณ์ทั้งหลายเกิดขึ้นภายใต้กฎเกณฑ์ที่แน่นอน  ไวต่อสภาวะเริ่มต้น (sensitivity to initial conditions) ที่สามารถขยายความแตกต่างให้เพิ่มมากขึ้นอย่างรวดเร็ว และ ไม่สามารถทำนายล่วงหน้าในระยะยาวได้ หากพิจารณาโดยรวม (แบบไม่ลึกซึ้งนักนะครับ) ก็พอจะเห็นข้อจำกัดของทฤษฎีนี้ได้บ้าง แต่เผอิญปรากฎการณ์ที่เกิดขึ้นหลายๆ อย่างในโลกก็ล้วนเกิดขึ้นภายใต้ข้อจำกัดของทฤษฎีนี้เช่นเดียวกัน (ยังไม่พบเหตุการณ์ที่ทะลุข้อจำกัด) ก็เลยทำให้ทฤษฎีนี้สามารถอธิบายสิ่งต่างๆ ได้อย่างมีเหตุมีผลนั่นเอง โดยสรุป.... ถ้าเรามองตลาดหุ้นผ่านแว่นตา (กรอบความคิด..paradigm) ของคนที่ไม่เคยเล่นหุ้น ก็จะบอกว่า ตลาดหุ้นคือสถานที่ไม่น่าไว้วางใจ ถ้าเรามองตลาดหุ้นผ่านแว่นตาของคนที่เคยเจ้งหุ้น ก็จะบอกว่าตลาดหุ้นคือ ถ้าเรามองตลาดหุ้นผ่านแว่นตาของนักเก็งกำไร ก็จะบอกว่าตลาดหุ้นคือ บ่อนการพนัน ถ้าเรามองตลาดหุ้นผ่านแว่นตาของ VI ก็จะบอกว่าตลาดหุ้นคือ การลงทุนระยะยาว ถ้าเรามองตลาดหุ้นผ่านแว่นตาของ DSM ก็จะบอกว่าตลาดหุ้นคือ โรงงานสร้างเงิน และถ้าเรามองตลาดหุ้นผ่านแว่นตาของ Chaos ก็อาจจะบอกว่าตลาดหุ้นคือการแปรเปลี่ยนของกระแสความต้องการซื้อและความต้องการขายในแต่ละช่วงเวลา ทำให้มีผลต่อการขึ้นลงของราคา โดยกระแสความต้องการซื้ออาจจะเป็นผลจากปริมาณคำสั่งซื้อของคนแต่ละคนที่ต้องการซื้อผสมผสานกับปริมาณคำสั่งขายของคนแต่ละคนที่ต้องการขาย  และการเปลี่ยนแปลงของกระแสความต้องการเหล่านั้นล้วนมีรูปแบบที่เหมือนกัน (Fractal) จึงอาจจะสามารถคำนวณได้ด้วยสมการทางคณิตศาสตร์ ซึ่งถูกคิดค้นขึ้นมาเป็นการเฉพาะ โดยรวมผมจึงเห็นว่า  ไม่ว่า Chaos หรือ DSM หรืออะไรก็ตามที ที่มีผลทำให้เราเห็นภาพชัดขึ้นมีทัศนคติที่ดีขึ้น ตรงและถูกต้องมากขึ้น  ล้วนแต่เป็นกรอบความคิดเดียวกันทั้งสิ้น... แก้ไขเมื่อ 27 ธ.ค. 48 12:59:39 จากคุณ : คนล่าห่าน - [ 27 ธ.ค. 48 12:57:48 ]

ความคิดเห็นที่ 50 โดยรวมผมจึงเห็นว่า  ไม่ว่า Chaos หรือ DSM หรืออะไรก็ตามที ที่มีผลทำให้เราเห็นภาพชัดขึ้นมีทัศนคติที่ดีขึ้น ตรงและถูกต้องมากขึ้น  ล้วนแต่เป็นกรอบความคิดเดียวกันทั้งสิ้น... --------------------------------------------------------- ขอบคุณมากครับพี่ห่านสำหรับความรู้ จากคุณ : //smile (เต่าหยวนเปียว) - [ 27 ธ.ค. 48 13:24:45 ]

ความคิดเห็นที่ 51 ^ ^ ^ ถ้าจะถามว่า ไอ้เจ้าแว่นหรือกรอบความคิดนี้เกิดขึ้นได้อย่างไร..... (ก่อนอื่น... ผมต้องขอกราบขอบพระคุณท่านครูบาอาจารย์ทางการตลาดทั้งหลายที่ได้สอนให้ผมทราบในเรื่องของพฤติกรรมของผู้บริโภค) ทฤษฎีที่อธิบายพฤติกรรมของผู้บริโภคที่ได้รับการยอมรับชื่ออะไรผมก็จำไม่ใคร่ได้ (จะว่าไปคุณน้าหมอแสงฯ นี่แหละที่จะอธิบายเรื่องนี้ได้ชัดเจนกว่าผม)  แต่ตัวแบบทีใช้อธิบายเป็นแบบนี้ สิ่งเร้า  ----->   กล่องดำ (กลไกความคิด) ----->    ปฏิกิริยาตอบสนอง กล่องดำจะเป็นสิ่งลึกลับมากในสมองของแต่ละคน และตัวของกล่องดำนี่แหละครับที่เป็นกุญแจสำคัญในการไขปริศนาว่าทำไมผู้บริโภคจึงสนใจสิ่งหนึ่งและไม่สนใจอีกสิ่งหนึ่ง (เช่น เมื่อเวลาหิว คนไทยมองหาข้าว แต่ฝรั่งมองหาแฮมเบอร์เกอร์ ประมาณนั้น) ตัวของกล่องดำจะได้รับอิทธิพลจากปัจจัยภายในและภายนอก ปัจจัยภายในได้แก่ แรงจูงใจ การรับรู้ ประสบการณ์ การเรียนรู้ ทัศนคติ บุคลิกภาพ ฯลฯ ปัจจัยภายนอก ได้แก่ สภาพแวดล้อมทางสังคม วัฒนธรรม การเมือง เศรษฐกิจ เทคโนโลยี เป็นต้น ทั้งปัจจัยภายในและภายนอกนี่แหละครับ ที่มีอิทธิพลทำให้คนคนหนึ่งมีการแสดงออกไม่เหมือนกับอีกคนหนึ่ง เช่น การรับรู้ข่าวสารของคนสองคนไม่เท่ากันในตลาดหุ้น มีผลทำให้คนสองคนตัดสินใจซื้อขายไม่เหมือนกัน และผมเห็นว่ากล่องดำนี่แหละครับคือที่บรรจุกรอบความคิด ภายในกล่องดำจะมีความซับซ้อนอย่างไร ผมไม่อาจจะทราบได้ แต่สิ่งหนึ่งที่เกิดขึ้นในกล่องดำมักจะส่งผลต่ออีกสิ่งหนึ่งเสมอๆ เช่น การรับรู้เรื่อง DSM มีผลกระทบต่อการเรียนรู้ และมีผลต่อทัศนคติ ทำให้การซื้อขายหุ้นของชาว DSM แตกต่างไปจากบุคคลอื่น แล้วถ้าเราได้รับรู้ในเรื่อง Chaos อีก ก็ขึ้นอยู่กับกลไกในกล่องดำอีกแหละครับว่า เราจะยอมรับและนำไปผสมผสานขึ้นเป็นทัศนคติใหม่อีกหรือไม่ แล้วยิ่งถ้าพบว่ามันส่งผลดี ก็จะเกิดความเชื่อมั่น และสร้างเป็นมุมมองและการตัดสินใจที่ชัดขึ้น จนกว่าจะพบว่ามันไม่ได้ผล ....ที่กล่าวมาก็กลายเป็นกระบวนการของการเรียนรู้และสะสมเป็นประสบการณ์ ส่งผลต่อพฤติกรรมอีกเช่นเดียวกัน นี่แหละครับคือความซับซ้อนของกล่องดำ และความซับซ้อนของกล่องดำตรงนี้ ที่ผมเห็นว่าเป็นจุดเริ่มต้นที่เล็กที่สุดที่ไวต่อสภาวะเริ่มต้นมากที่สุด แถมมีการเกิดแบบเป็นระบบ ไม่ได้เป็นแบบสุ่ม และไม่ได้เป็นแบบเส้นตรง (มีองค์ประกอบซับซ้อนมากมาย) ที่สำคัญคือทำนายผลในระยะยาวไม่ได้ชัดเจนอีกต่างหาก .... ตรงกับองค์ประกอบของ Chaos เป๊ะเลยครับ บทสรุป เรายิ่งเข้าใจตัวเรามากเท่าไร เราก็น่าจะเข้าใจโลกมากเท่านั้น เพราะเราก็คือโลก โลกก็คือเรา กรอบความคิดที่มองตัวเรา ก็จะเป็นกรอบความคิดที่เรามีต่อโลก และส่งผลต่อพฤติกรรมที่เราทำต่อโลกด้วย ... รวมถึงส่งผลต่อการตัดสินใจซื้อขายหุ้นด้วยอ่ะครับ จากคุณ : คนล่าห่าน - [ 27 ธ.ค. 48 13:39:13 ]

ความคิดเห็นที่ 52 ท่านที่สนใจ  chaos theory  อย่างง่าย  เชิญที่นี่ได้เลยครับ   http://order.ph.utexas.edu/chaos/ จากคุณ : SANG-JANTRA - [ 27 ธ.ค. 48 14:56:08 ]

ความคิดเห็นที่ 53 ขอบคุณครับ คุณน้าหมอแสงฯ ....แต่แบบเป็นภาษาไทยไม่มีเหรอครับ...อิอิ   ผมว่าในแนวของฝรั่งออกจะเป็นในเชิงของวัตถุมากไปนิดหนึ่งนะครับ อย่างที่ผมเจอในหนังสือบางเล่ม (ซึ่งฝรั่งเขียนเหมือนกัน) เห็นว่าเขาก็พยายามตีความให้เป็นในเชิงของนามธรรมและนำมาโยงกับหลักทางเอเซีย โดยเฉพาะแนวพุทธศาสนา ไม่ว่าจะเป็น เซน หรือ หลักอภิธรรม ถึงแม้อาจจะไม่ใช่ Chaos ที่สามารถวัดปรากฎการณ์ได้ชัดเจน แต่ในทางนำไปใช้อาจจะได้ประโยชน์กว้างขวางมากขึ้น บางกรณีแม้จะไม่ใช่ Chaos เพียวๆ แต่ก็นำมาอ้างอิง เช่น  Cause and Effect  Theory ก็เห็นมีบางคนนำไปโยงกับ Chaos Theory อยู่เหมือนกัน ผมจึงเห็นว่า ทฤษฎีใดก็แล้วแต่อาจจะเป็นแค่รูปแบบมุมมองของเฉพาะบุคคลที่มีต่อสิ่งใดสิ่งหนึ่ง ซึ่งอาจจะมีประโยชน์หรือไม่มีประโยชน์บุคคลอื่นเลยก็ได้ ขึ้นอยู่กับว่าบุคคลอื่นนั้น จะให้ความสำคัญและนำไปคิดพิจารณาประยุกต์ใช้ได้กับตนมากน้อยแค่ไหน คุณน้าหมอแสงฯ เห็นด้วยกะผมไหมครับ จากคุณ : คนล่าห่าน - [ 27 ธ.ค. 48 18:17:18 ]

ความคิดเห็นที่ 54 สุดยอดครับพี่ห่าน อ่านแล้วเพิ่งรู้ตัว ว่าเรากำลังอยู่ในกะลาแท้ๆ อิอิ ขอบคุณพี่แสงสำหรับ link ครับ...ถึงภาษาผมจะอ่อนแต่ความพยายามสูงนะครับ อิอิ จากคุณ : ไม่เก่งแต่อยากตอบ - [ 27 ธ.ค. 48 21:02:20 ]

ความคิดเห็นที่ 55 chaos  theory  ต้องถือว่าเป็น ทฤษฎีเด็กๆ  เพิ่งจะถือกำเนิดได้ไม่นาน  ยังต้องรอเวลาพิสูจน์อีกหน่อยครับ Karl  Marx  หยิบเอาเรื่อง Dialectic  ของ Hegel  ไป ประยุกต์เป็น  Dialectic  Materialism  ก่อให้เกิดผลตามหลังมามากมาย   ถึงตอนนี้  คงมีน้อยคนที่จะเห็นด้วยกับการประยุกต์ของ  Marx ทฤษฎีต่างๆ  ยิ่งแก่ยิ่งน่าสนใจนะครับ  เพราะผ่านการทบทวนขัดเกลามามาก จากคุณ : SANG-JANTRA - [ 28 ธ.ค. 48 09:35:31 ]

ความคิดเห็นที่ 56 ภาษาอังกฤษ เป็นเรื่องจำเป็นนะครับ  สำหรับโลกปัจจุบัน หนังสือฝรั่งมากมายที่ขายดี  ไม่ได้แปลว่าถูกต้องหรือได้รับการพิสูจน์แล้ว  เสมอไป เช่นเรื่อง emotional intelligence เป็นตัวอย่าง   เป็นเรื่องที่  popularityสูงมาก  แต่ข้อพิสูจน์ในเชิงวิชาการ มีน้อยจนน่าตกใจ นักวิชาการสมัยใหม่จำนวนมาก ต้องการความสำเร็จอย่างรวดเร็วแบบdigital  แต่การพิสูจน์ความจริง ไม่มีทางเร็วได้อย่างที่อยาก  สมัยก่อน ใครคิดอะไรใหม่ๆ จะมีคนทำ replication  [ทำซ้ำ เพื่อยืนยัน]   แต่การทำ replicationนั้น ไม่มีทางดังได้  จึงไม่มีใครอยากทำ  เป็นอุปสรรคต่อการพิสูจน์ความจริง จากคุณ : SANG-JANTRA - [ 28 ธ.ค. 48 09:54:10 ]

ความคิดเห็นที่ 57 ขอบคุณคุณน้าหมอแสงฯ ครับ  ... ผมเห็นด้วยกะคุณน้าหมอทุกอย่างครับ ... และที่สำคัญในปัจจุบันจะหาคนที่สนใจจะทำความเข้าใจอย่างลึกซึ้งในทฤษฎีใดทฤษฎีหนึ่งโดยไม่มีหน้าที่เกี่ยวข้องโดยตรง ณ จุดนั้น คงยาก.....เพราะมันเสียทั้งเวลาและทรัพยากรโดยไม่รู้ว่าจะได้อะไรกลับคืนมาในเชิงวัตถุหรือเปล่า แต่ที่ยากยิ่งกว่าการทำความเข้าใจก็คือการอธิบายความสำคัญของทฤษฎีนั้นๆ มาให้คนอื่นได้รับรู้ตาม และยิ่งถ้าทฤษฎีนั้นไม่สามารถแก้โจทย์ในใจของคนอื่นๆ ได้อย่างรวดเร็ว (คือไม่สร้างประโยชน์ให้ในเชิงรูปธรรม)... ในปัจจุบันใครล่ะครับที่จะมาสนใจทฤษฎีนั้น ผมก็เลยเห็นด้วยว่า ถึงแม้บางทฤษฎีจะไม่ได้รับการยอมรับทางวิชาการก็ตามแต่ในเมื่อสามารถแก้โจทย์ในใจบางอย่างให้กับคนส่วนใหญ่ได้ (ตอบสนอง Need & Want ในเชิงรูปธรรมได้) ก็มักจะได้รับความนิยมไปโดยปริยาย เหมือนๆ กับยาลดความอ้วน ถึงแม้จะมีข่าวออกมามากมายว่าเป็นอันตราย ไม่เป็นผลดี แต่ก็มีผู้นิยมอยู่เพราะสามารถแก้ปัญหาให้กับเขาได้ในเวลาอันรวดเร็ว เห็นผลทางรูปธรรมทันตา ในภาวะเร่งรัดแบบปัจจุบันคงมีคนที่จะสนใจความถูกต้องน้อยลงล่ะครับ ไม่งั้น หลัก 80/20 ก็คงไม่รับความนิยมไปอีกด้วย..... แม้แต่สัจจธรรมที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงประกาศความจริงอันสูงสุดไว้ เดี๋ยวนี้ก็แทบจะนับคนได้เลยที่ยังคงสนใจ ใส่ใจนำมาใช้ประโยชน์ในชีวิตประจำวัน เพราะมันเห็นผลไม่ทันใจ โดยลืมนึกไปว่า ผลมันเกิดขึ้นแล้วในขณะที่ทำความเข้าใจนั้นเอง อืมม์ ไปๆ มาๆ วกเข้าเรื่องพระเรื่องเจ้าอีกแล้ว...เดี๋ยวน้าหมอแสงฯ เบื่อซะก่อน...อิอิ ขอบคุณน้าหมอครับ...ที่กรุณาแก้ไขและเติมเต็มให้อีกหลายๆ จุด   จากคุณ : คนล่าห่าน - [ 28 ธ.ค. 48 10:42:38 ]

ความคิดเห็นที่ 58 ชอบ ๆ ๆ จากคุณ : แมลงเม่าทนไฟ - [ 28 ธ.ค. 48 13:58:12 ]

ความคิดเห็นที่ 59 อย่างน้อย Chaos Theory ก็บอกได้ว่าสามารถทำนาย อนาคตที่ใกล้ๆได้ เพราะถ้าเกิด tipping point แล้ว เหตุการณ์จะขยายไปจนอาจจะไม่สามารถคาดถึงผลที่ตามมาได้ แต่....ความรู้เป็นเรื่องของการประยุกต์ครับ รู้แบบงูๆปลาๆ ก็คงเหมือน OTOP บางตัวครับ ดีบางส่วน แต่ไม่ work หลายส่วน เพราะเราลอกเปลือกเขามาครับ เราลอกโดยที่ยังไม่รู้ด้วยซ้ำว่ามันมีที่มาที่ไปอย่างไร เราชอบอีกอย่างเพียงเพราะเราเกลียดอีกอย่าง อันนี้ผมว่าเป็นเรื่องน่ากังวลของสังคมไทยครับ ความรู้เป็นดาบ 2 คม ครับ เหมือนความเห็นข้างบน นิวเคลีย์ถ้าใช้ทางดีก็ดีไป ถ้าใช้ทำลายล้างก็....บหายไป จากคุณ : กึ่งสำเร็จรูป - [ 28 ธ.ค. 48 16:58:22 ]

ความคิดเห็นที่ 60 ขอบคุณครับ พี่คนล่าห่าน และทุกท่าน ผมชอบประโยคนี้ของพี่คนล่าห่านมาก "ใครที่มีกรอบความคิดที่กว้างขวางกว่าก็จะมีความเข้าใจมากกว่า ใครที่มีกรอบความคิดที่คมชัดกว่าก็จะยิ่งเข้าใจสิ่งต่างๆ ได้ลึกซึ้งกว่า" จากคุณ : wayu_w - [ 28 ธ.ค. 48 22:55:48 ]

ความคิดเห็นที่ 61 ขอเพิ่นหน่อยนะครับ คือ จากจุดเริ่มที่ต่างกันเล็กน้อยตอนต้น ขยายเป็นสิ่งที่สับสนหรือแตกตัวออกไปมากๆนั้นได้ หรือ กล่าวเป็นภาษาต่างชาติว่า little cause can have a big effects ได้นั้นมี 3 ปัจจัยที่เป็นเหตุทำให้เปลี่ยนครับ หรืออยากใช้ภาษาอังกฤษอีก ก็จะได้ว่า Three agents of change ได้แก่ 1. The Law of the few 2. The Stickiness 3. The Power of context อา.....แค่นี้วันหน้าในอนาคต ถ้ารู้วิธีใช้คงทำอะไรให้วงการหุ้นได้แน่ๆครับ จากคุณ : กึ่งสำเร็จรูป - [ 29 ธ.ค. 48 09:01:19 ]

ความคิดเห็นที่ 62 ขอบคุณมากๆ ค่ะ สำหรับความรู้ดีๆ มีประโยชน์ค่ะ สวัสดีปีใหม่ค่ะ จากคุณ : noopiglet - [ 30 ธ.ค. 48 05:54:08 ]

ความคิดเห็นที่ 63 ขออนุญาตเพิ่มเติมตวามเห็นในประเด็น จิตวิทยา/สังคม/การเมือง ต้องยอมรับว่า  ประเด็นเหล่านี้จับต้องได้ยาก ยกตัวอย่าง  ใครก็ไม่รู้ บอกว่า  โคลัมบัส ค้นพบ อเมริกา ถามใคร  ใครก็เห็นด้วย แต่อย่าไปถามคนอินเดียนแดง เพราะเขาจะเถียงคอเป็นเอ็นว่า ไม่จริง ทวีปอเมริกามีอยู่นานแล้ว   ประวัติศาสตร์เขียนตามความเห็นของผู้ชนะ วงการศึกษาบางแห่งถึงกับยกเลิกการเรียนการสอน ประวัติศาสตร์ ลดระดับความสำคัญลงมาเป็นเพียง เอกสารประกอบ หากนักฟิสิกส์จะยื่นจมูกเข้ามาในเรื่อง  จิตวิทยา/สังคม/การเมือง คงต้องรอเวลาพิสูจน์ทฤษฎีอีกนานครับ แก้ไขเมื่อ 30 ธ.ค. 48 11:32:22 จากคุณ : SANG-JANTRA - [ 30 ธ.ค. 48 11:21:54 ]