ความคิดเห็นที่ 4
การกระทำของคนร้ายเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 145, 335, 90
ต่อมาพนักงานสอบสวนแจ้งว่าผู้ต้องหามีพยานยืนยันที่อยู่ขณะเกิดเหตุ และแจ้งความกลับในข้อหาหมิ่นประมาท
มาตรา 145 และ 335 เป็นความผิดต่อแผ่นดินครับ ไม่ใช่ความผิดต่อส่วนตัว ไม่สามารถยอมความกันได้
ต่อมามีหมายศาลให้ไปขึ้นศาลเดือนกุมภาพันธ์ แต่ไม่ได้ไป
ตรงนี้ต้องเข้าใจระบบของคดีอาญากันก่อนนะครับ คดีอาญานั้นเริ่มจาก ผู้เสียหาย (คุณ ก ข) แจ้งความร้องทุกข์เพื่อดำเนินคดีต่อพนักงานสอบสวน (ตำรวจ) พนักงานสอบสวนก็จะเริ่มการสอบสวนโดยเรียกพยาน (ผู้เห็นเหตุการณ์) ต่างๆ มาเพื่อให้ปากคำ และดำเนินการสืบสวนหาตัวผู้ต้องหา เมื่อได้ตัวผู้ต้องหา ก็จะมีการให้ผู้เสียหาย, พยานชี้ตัวระบุตัวผู้กระทำผิดว่าเป็นคนที่กระทำผิดจริงๆ ไม่ได้ผิดคน ฝ่ายผู้เสียหายก็มีสิทธิตามกฎหมายที่จะนำพยานหลักฐานมาพิสูจน์ความบริสุทธิ์ของตนเช่นกัน (ในกรณีนี้เขานำญาติซึ่งเป็นพยานบุคคลมายืนยันว่าขณะกระทำความผิดตัวเขาไม่สามารถไปอยู่ในที่เกิดเหตุได้เนื่องจากกำลังอยู่ในเรือนจำ ซึ่งเป็นหลักฐานที่อ่อนมากครับ เนื่องจาก 1. ญาติกันก็ต้องเข้าข้างกัน 2. อยู่ในเรือนจำจริงๆ หรือไม่ก็ไม่ทราบ) ตรงนี้พนักงานสอบสวนเห็นว่าหลักฐานยืนยันความบริสุทธิ์ของผู้ต้องหาไม่เพียงพอ จึงทำความเห็นส่งไปยังอัยการเพื่อสั่งฟ้อง อัยการมีความเห็นเช่นเดียวกับพนักงานสอบสวนว่า น่าจะเป็นผู้กระทำความผิดจริงจึงฟ้องต่อศาลให้ศาลพิจารณาลงโทษอีกที ศาลเวลาจะพิจารณา เขาก็จะเรียกพยานหลักฐานทั้งหมดที่พนักงานสอบสวนกับอัยการรวบรวมมามาถามยืนยันอีกที (ศาลจะไม่เชื่อสิ่งที่พนักงานสอบสวนกับอัยการรวบรวมมาง่ายๆ หรอกครับ ท่านก็จะสอบสวนด้วยตนเองอีกครั้งหนึ่ง) ต่อมาเมื่อพิจารณาก็ต้องให้พยานมายืนยันว่าจำเลย ( เปลี่ยนจากผู้ต้องหา (ยังไม่ฟ้อง) เป็นจำเลย (ฟ้องแล้ว) ) กระทำผิดจริงหรือไม่ อัยการจึงได้ขอให้ศาลออกหมายเรียกให้พยานมาให้ปากคำ จึงได้มีหมายศาลมาถึง คุณ ก และ ข ซึ่งเป็นผู้เสียหาย เป็นประจักษ์พยาน ไปให้ถ้อยคำต่อศาลเพื่อจะได้พิจารณาตัดสินโทษต่อจำเลยต่อไป
การที่คุณไม่ไปตรงนี้ไม่เป็นผลดีต่อทางคดีเราเลยครับ เนื่องจากอัยการเป็นผู้ออกหมายเรียกให้เราไปให้การในฐานะพยานเพื่อยืนยันว่าจำเลยนั้นเป็นผู้กระทำความผิดจริง ซึ่งคุณ ก และ ข ซึ่งเป็นประจักษ์พยาน (เห็นเหตุการณ์โดยตรง) เป็นพยานอันดับ 1 มีน้ำหนักในการให้ถ้อยคำมากที่สุด ถ้าไม่ไปให้ถ้อยคำ คดีนี้จะไม่สามารถเอาผิดจำเลยได้เลย
การที่คุณ ก และ ข ไม่ได้ไปให้ปากคำต่อศาลนั้น ศาลก็จะถือว่าพยานหลักฐานไม่เพียงพอที่จะเอาผิดต่อจำเลย ศาลอาจจะตัดสินยกฟ้อง (ปล่อย) จำเลยได้ เพราะฉะนั้นตรงนี้ถือเป็นหน้าที่เลยนะครับที่จะต้องไปให้ถ้อยคำต่อศาล
การที่ไม่ได้ไปเดือนกุมภาพันธ์แล้วศาลมีหมายมาใหม่ให้ไปเดือนพฤษภาคม อาจเป็นเพราะอัยการอาจจะสืบพยานปากอื่นแทนไปก่อน แล้วขอเลื่อนสืบผู้เสียหายไปนัดหน้า ซึ่งตามระบบการพิจารณาคดีต่อเนื่องแล้วคงเลื่อนอีกไม่ได้แล้ว นัดนี้ก็สมควรจะไปให้ปากคำต่อศาลนะครับ เพื่อคนผิดจะได้ไม่ลอยนวลไปกระทำความผิดต่อคนอื่นต่อไป
เรื่องงานก็ขอลาไปหนึ่งวัน บอกว่าต้องไปศาล เอาหมายศาลไปให้เจ้านายดู คิดว่าเจ้านายคงจะยินดีที่จะให้ความร่วมมือแน่ครับ
ส่วนเรื่องหมิ่นประมาทที่เขาแจ้งความกลับก็ไม่ต้องกลัวครับ คนเราถ้าไม่ได้ไปกลั่นแกล้งหรือทำอะไรใคร กฎหมายไม่ลงโทษคนบริสุทธิ์อยู่แล้วครับ ก็สู้คดีกันไปตามความจริง คิดว่าทนายเขาอาจจะแนะนำให้เขาแจ้งความหมิ่นประมาทเราเพื่อให้เรากลัว หรืออาจจะเพื่อที่จะต่อรองกับเราไม่ไปเป็นพยานในคดีลักทรัพย์แลกกับการยอมความเรื่องหมิ่นประมาท ซึ่งก็ได้ผลในระดับหนึ่ง ยังดีที่คดีลักทรัพย์นี้ยอมความไม่ได้ มิฉะนั้น คนผิดก็ลอยนวลต่อไป เห็นไหมครับแต่ถึงมันจะไม่ได้ผลในทางกฎหมายแต่มันก็ยัง ทำให้คุณ ก, ข ไม่ไปเป็นพยานไปหนึ่งนัด (ซึ่งตรงนี้ยังพอแก้ไขได้โดยการไปเป็นพยานในนัดหน้าเสีย) ซึ่งเป็น...เอ่อ... จะเรียกว่าอย่างไรดี เรียกว่าสวยๆ หน่อยก็เรียกว่า "เทคนิค" เรียกแบบเลวๆ ก็เรียก "วิชามาร" ของพวกทนายเอาไว้หลอกประชาชนที่ไม่มีความรู้ทางด้านกฎหมายและไม่ต้องการจะมีเรื่องเดือดร้อนน่ะครับ ผมทราบดีครับว่าเพื่อนๆ หลายคน บางคนหาเช้ากินค่ำ หาค่ำกินเช้า ไม่อยากจะขึ้นโรงขึ้นศาล ไม่อยากจะมีเรื่องเดือดร้อน สร้อยทองที่โดนลักไปก็ถือว่าฟาดเคราะห์ไป ไม่อยากจะมีเรื่องมีราวอื่นๆ ตามมาอีก มันเสียการเสียงาน เครียด เสียเวลา แต่ตอนนี้กระบวนการมันมาถึงได้ตัวผู้กระทำความผิดแล้ว ยื่นฟ้องให้ศาลพิจารณาแล้ว ขาดแค่พยานที่จะมาชี้ชัดถึงความผิดของจำเลยเท่านั้น
ผมแนะนำให้ไปศาลตามวัน เวลา ที่ศาลนัดครับ ดีที่สุดแล้ว เพื่อศาลจะได้ใช้ดุลพินิจในการลงโทษจำเลยได้ถูกต้อง และถ้าศาลเห็นว่าจำเลยผิดจริง ลงโทษไปแล้ว เราก็สามารถไปรับสร้อยทองซึ่งเป็นทรัพย์ของกลางที่ถูกขโมยนั้นคืนได้ครับ
หรือถ้าอย่างไร ถ้าสะดวก (ไม่สะดวกไม่ต้องไปก็ได้ครับ ตรงนี้เป็นตัวเลือกเฉยๆ) ก็ลองไปพบอัยการเจ้าของสำนวนดู ไปปรึกษาดูครับว่าจะให้ปากคำในแนวไหนดี ท่านจะถามอย่างไรบ้าง จะพบอัยการก็ดูตามหมายศาลน่ะครับ ศาลอยู่ที่ไหน สำนักงานอัยการก็จะอยู่ข้างๆ รั้วติดกับรั้วศาลแหละครับ ลองไปถามประชาสัมพันธ์ดูว่า เลขคดีนี้ๆ อัยการท่านใดเป็นเจ้าของสำนวน แล้วก็ลองปรึกษาท่านดูว่าตนเองในฐานะพยานต้องทำเช่นไรบ้าง หรือถ้าไม่สะดวกจะไปวันนัดเลยก็ได้ครับ อัยการท่านทำเป็นอาชีพ ท่านก็จะถามคำถามไม่ยากหรอกครับ ตอบตามความจริงไป พยายามทบทวนเหตุการณ์แล้วจดไว้ก่อนไปก็ดีครับ ขณะเกิดเหตุเวลาใด นั่งรถอะไร รถเราสีอะไร เลขทะเบียนอะไร รถเขาสีอะไรทะเบียนอะไร เขาแต่งกายอย่างไร บทสนทนาระหว่างนั้น เป็นอย่างไร คุยกันประมาณกี่นาที สร้องทองลักษณะเป็นอย่างไร ซื้อที่ไหน มีใบอะไรยืนยัน เขาเอาไปแล้วขับรถไปทางไหน ไปแจ้งความอย่างไร วันที่เท่าไร ไปให้ปากคำอย่างไร ฯลฯ เท่าที่จะนึกได้ เพื่อไม่ให้เกิดความประหม่าขณะขึ้นให้การต่อศาล เพียงแค่นี้ คุณก็จะสามารถช่วยเหลือสังคมลงโทษผู้กระทำความผิดไม่ให้เขาไปก่อความเดือดร้อนให้กับคนอื่นได้แล้วล่ะครับ
# คห. 1 และ 2 หลักในการลงโทษตามหลักอาชญวิทยาทั่วโลกนั้นเหมือนกันครับ คือ จะไม่ลงโทษบุคคลที่ไม่ได้กระทำความผิด ไม่เฉพาะแต่ประเทศไทยครับ เป็นหลักประกันว่าถ้าคุณไม่ได้ทำอะไรผิด คุณก็ไม่ต้องกลัวจะถูกลงโทษ ทำให้การจะนำผู้กระทำความผิดมาลงโทษนั้นต้องมีหลักฐานที่สามารถชี้ชัดได้ว่าเป็นคนกระทำความผิดจริงๆ เช่น มีพยานรู้เห็น มีหลักฐานชัดเจน เช่น อาวุธ, เครื่องมือในการกระทำความผิด , หลักฐานทางนิติวิทยาศาสตร์ ฯลฯ เพราะ การนำคนที่ไม่ได้กระทำความผิดไปจำคุกหรือประหารชีวิตนั้น มันไม่สมควรอย่างยิ่งครับ (ลองคิดดูนะครับ คุณทำงานอยู่กับครอบครัวมีความสุขดี อยู่ๆ ถูกคนใส่ร้ายกล่าวหาโดยไม่มีหลักฐานเพียงพอแล้วศาลเชื่อง่ายๆ ต้องถูกจำคุกเช่นนี้ มันสมควรหรือครับ) จึงมีคำกล่าวว่า "ปล่อยตัวคนผิดสิบคน ดีกว่าจับตัวผู้บริสุทธิ์เพียงคนเดียว" การที่จะประกันว่าผู้บริสุทธิ์จะไม่ถูกลงโทษนั้นก็มีผลเสียตามมาคือต้องมีหลักฐานยืนยันความผิดแน่นหนาเพียงพอถึงจะลงโทษผู้กระทำความผิดได้ เพียง แค่ "คิดว่า" "เชื่อว่า" "น่าจะ" จึงไม่สามารถลงโทษผู้กระทำผิดได้ครับ คนบริสุทธิ์ 1 คนไม่ถูกลงโทษ แต่คนผิดอีก 10 คนก็ลอยนวล เป็นสิ่งที่ชดเชยหลักการนี้เช่นกัน ก็ต้องมาเปรียบเทียบกันน่ะครับ ว่าข้างไหนน้ำหนักมากกว่าระหว่างไม่ลงโทษคนบริสุทธิ์ กับ ไม่ปล่อยให้ผู้กระทำผิดลอยนวล ซึ่งกฎหมายให้น้ำหนัก "ไม่ลงโทษผู้บริสุทธิ์" มากกว่าจึงต้องเป็นหน้าที่ของพนักงานสอบสวนและอัยการที่จะต้องหาพยานหลักฐานมาเอาผิดผู้กระทำความผิดให้ได้ ในบางกรณีที่หาพยานหลักฐานมาไม่เพียงพอจะเอาผิดได้ ศาลก็ต้องจำใจปล่อยผู้กระทำผิดเหล่านั้นไป แต่ในกรณีนี้ไม่ใช่นี่ครับ พยานก็มีประจักษ์พยาน พนักงานสอบสวน ก็ต้องดูรายละเอียดในสำนวนอีกว่า พบของกลางหรือยัง พบรถที่ใช้ในการกระทำผิดหรือยัง มีพยานแวดล้อมอื่นๆ แน่นหนาเพียงพอหรือไม่ ถ้าสิ่งทั้งหมดนี้รวมแล้วทำให้ศาลเชื่อได้ว่า จำเลยกระทำความผิดจริง ศาลก็สามารถตัดสินลงโทษได้ ขอเพียงเชื่อมั่นในกระบวนการยุติธรรม ซึ่งถึงแม้มันจะล่าช้าไปบ้าง อาจจะเนื่องจากว่าต้องตามจับตัวผู้กระทำผิดซึ่งหลบหนี ต้องรวบรวมพยานหลักฐานต่างๆ ต้องรอคิวในการพิจารณาซึ่งนานเป็นเดือนๆ แค่เป็นพยานมาเพียงแค่ไม่กี่ชั่วโมงแล้วก็กลับมันไม่เสียหายมากหรอกครับ มันไม่ใช่การทำเพื่อคนอื่นเลยครับ สิ่งที่ทำท้ายสุดมันก็ย้อนมาหาตัวเราเอง เมื่อคนผิดถูกลงโทษ กฎหมายสามารถบังคับใช้ได้ คนกระทำผิดถูกกันออกไปจากสังคม (ไปอยู่เรือนจำ) ผู้ที่กำลังจะกระทำความผิดก็จะเกรงกลัวไม่กระทำความผิดอีก ผู้ที่ก่ออาชญากรรมก็จะลดลง ตัวเราเองรวมทั้งลูกหลานเราก็จะปลอดภัยมากขึ้น
ทำไมถึงจะไม่ทำล่ะครับ
จากคุณ :
Windforce
- [
24 มี.ค. 50 11:50:44
]
|
|
|