ความคิดเห็นที่ 1 ไม่อยากให้ตั้งกระทู้เกี่ยวกับสถาบันครับ เพราะมันอาจเถียงกันไม่รู้จักจบสิ้น.. คำถามนี้คล้ายๆกับถามว่า พ่อแม่ใครดีกว่ากัน พ่อแม่ใคร ใครก็รักครับ จึงไม่ควรเปรียบเทียบ .. จากคุณ : I_วชิรวิทย์ - [ 9 เม.ย. 50 13:55:50 ]

ความคิดเห็นที่ 2 ไม่แตกต่างกันครับ  ถ้าคุณเรียนแบบตั้งใจจริง และศึกษาให้ถึงแก่นแท้ของกฎหมาย เข้าใจหลักกฎหมาย เหตุผลของกฎหมาย ไม่ท่องจำอย่างงูๆ ปลาๆ  ไม่ท่องฎีกาเปะปะ  เรียนกฎหมายแล้วสามารถเอาข้อเท็จจริงมาปรับบท ประยุกต์และคิดวิเคราะห์ได้ เรียนที่ไหน ก็เหมือนกันครับ   อันนี้ผมพูดถึงทั้ง 3 แห่ง ที่อาจารย์ผู้สอนก็เป็นผู้รู้จริงเช่นกันนะครับ  หรือถ้าที่อื่น มีผู้สอนทรงคุณวุฒิ รู้จริง  ผมก็ว่าไม่แตกต่างกันครับ   จะว่าไป  ที่ มธ.เอง  มีอาจารย์ สุรพล ม.7  เป็นถึง ศ.ดร. ยังเสนอ ม.7 แล้วบอกว่า ไม่ขัดรธน.  มันน่าอับอายจริงๆ  สู้อาจารย์คนอื่นในคณะ ที่ปราศจากอคติ  ใช้หลักวิชาการมาวิเคราะห์ปัญหาไม่ได้เลย  บางที อาจารย์แม้ร่ำเรียนสูง แต่มีอคติ  ก็น่าหนักใจไม่น้อย จากคุณ : ลูกแม่โดม - [ 9 เม.ย. 50 13:59:07 ]

ความคิดเห็นที่ 3 ...2     ตอบได้ดีมากเลย....... ..เพราะในที่ดีแค่ไหน   สูงส่งแค่ไหน...มันก็ย่อมมีคน ชั่ว ปะปนอยู่ได้เสมอ.. .ดังที่กล่าว.....แม้แต่ในคณะรัฐมนตรีปัจจุบัน...ที่ว่ามีคุณธรรมสูงส่ง  ก็ไม่ยกเว้น..... ..และใน  คมช...   ก็ยังมีคนชั่วอยู่จนได้.....เช่นกัน จากคุณ : รักแดนไทย - [ 9 เม.ย. 50 14:05:35 ]

ความคิดเห็นที่ 4 เอาง่ายๆ   คุณวชิรวิทย์ กำลังจะจบการศึกษานิติศาสตร์จากรามคำแหง   ผมจบจากธรรมศาสตร์ ความรุ้ในทางกฎหมาย คุณวชิรวิทย์ แม่นกว่าผมเยอะ เพราะคุณวชิรวิทย์ ศึกษาอย่างท่องแท้  และลึกซึ้ง  การอธิบายความต่างๆ เป็นเหตุเป็นผล  การวิเคราะห์ปัญหาล้วนอยุ่ในขอบเขตของกฎหมาย  อาจฟันธงผิดบ้าง (ซึ่งเห็นว่าน้อยครั้ง)  แต่นั่นก็พิสูจน์คุณภาพของคนได้จากตัวนักศึกษาเอง   จรัญ พันบาท เลขานุการศาลฎีกา จาก จุฬา   ชาญชัย ทิ้งประธานศาลฎีกา มารับใช้เผด็จการ  จาก มธ. พชร อัยการสูงสุด  สั่งฟ้อง ไม่ฟ้อง กรณีหมิ่นฯ แตกต่างกัน จาก มธ สุรพล ผู้เสนอ ม.7  จาก มธ แต่ละคน  ล้วนเอาอคติเข้าบดบังหลักการทั้งนั้น   เห็นชัดหรือไม่ครับว่า สถาบันนั้น ไม่ได้เกี่ยวอะไรเลย  ทุกอย่างอยู่ที่ตัวคนนั่นเอง จากคุณ : ลูกแม่โดม - [ 9 เม.ย. 50 14:16:59 ]

ความคิดเห็นที่ 5 มีจุดเด่นและด้อยต่างกัน แต่ก็ทดแทนกันได้ยาก 1. การยอมรับ ต้องแยกตามสายงานหรือวัตถุประสงค์ - ถ้าสายที่ปรึกษากฎมาย สายธุรกิจ ภาษี สายที่ต้องติดต่อกับต่างชาติ นิติศาสตร์จุฬาฯ กินขาด ตามด้วยธรรมศาสตร์ และรามคำแหง โดยค่าเฉลี่ย เด็กนิติฯจุฬาฯ จะใช้ภาษาอังดฤษได้ดีกว่า (เฉลี่ยนะ เฉลี่ย) - ถ้าสายทนายความและสายศาล รามคำแหงกับธรรมศาสตร์นี่พอๆกัน นิติฯจุฬาฯจะด้อยกว่าอย่างพอเห็นได้ เพราะเท่าที่พบ นิติจุฬาจะไม่ค่อยแม่นฎีกากับตัวบทมากนัก (เพราะระบบการสอนส่วนใหญ่ไม่ค่อยเน้นมากนัก) เอาเป็นว่า เวลาไปสอบเนติ เด็กนิติฯจุฬาฯ ต้องวิ่งหาเพื่อนที่จบราม เพื่อให้ติวให้เลยละ - สายวิชาการ ธรรมศาสตร์นำจุฬาอยู่นิดๆ เพราะคนธรรมศาสตร์มีโอกาสทำงานกับนักวิชาการชื่อดังมากกว่า และธรรมศาสตร์มีศูนย์วิจัยที่ใช้งานนักศึกษาช่วยงานมากกว่า เด็กจบ มธ. แม้ ป.ตรี ก็ไปเป็นอาจารย์ หรือนักวิจัยได้ก่อนเด็กจุฬา (ที่ต้องาประสบการณ์สักพัก) ส่วนสายรามคำแหงจะเน้นกิจกรรม จากประสบการณ์ไม่เคยเจอคนจบตรีเพียวๆ จากรามคำแหงแล้วเข้าสู่สายวิชาการตรงๆมากนัก (เช่นไปเป็นนักวิจัยหรืออาจารย์) - ในการสมัครเรียนต่อในมหาวิทยาลัยในต่างประเทศ ถ้ายุโรปภาคพื้น นิติฯธรรมศาสตร์ได้เครดิตมากกว่านิดๆ แต่ในอเมริกาและอังกฤษ นิติฯจุฬาฯ จะได้เปรียบกว่า (ก็นิดๆอีกเหมือนกัน) 2. การเรียน - นิติฯจุฬาฯ ได้เปรียบเพราะคนน้อย ห้องเล็ก นิสิตกับครูสนิทสนมกลมเกลียว สามารถพูดคุยปรึกษาได้แบบ ใกล้ชิดกว่า สามารถทำกิจกรรมกลุ่มย่อยได้ง่ายกว่า (เช่นชั้นเรียนประเภทสัมมนา) - นิติธรรมศาสตร์ ได้เปรียบเพราะอาจารย์เยอะ อาจารย์เก่ง ถ้าสามารถสนิทสนมพูดคุยได้จะดีกว่ามาก แต่ความที่คนเยอะ ห้องเรียนใหญ่ ทำให้ความได้เปรียบดังกล่าวกระจายออกไป สังคมการศึกษาค่อนข้าง Life กว่านิดหน่อย ทำให้เรียน "สนุก" กว่า ตามรสนิยม และทุกรสนิยม การเมือง วิชาการ สังคมสงเคราะห์ (ค่าย) ซึ่งนิติฯจุฬาฯ จะเป็นรองกว่าเพราะคนน้อย กลุ่มเลยเล็ก แถมคนสนใจกิจกรรมแบบเดียวกับเรามักจะไม่มากนัก - รามคำแหง ต้องทำใจเรื่องคนเยอะทำให้การเรียนอาจจะไม่ใกล้ชิดนัก แต่สิ่งที่คุณได้รับ คือ การเรียนด้วยตนเองการค้นคว้าด้วยตนเอง และการบริหารจัดการที่ต้องรักษาวินัยให้ตัวเองอย่างยิ่ง 3. ความรู้ - นิติจุฬาแน่นกว่า ด้านภาษาอังกฤษ กฎหมายธุรกิจ ภาษี กฎหมายระหว่างประเทศ กฎหมายเปรียบเทียบต่างๆ - ธรรมศาสตร์จะแน่นกว่าด้านกฎหมายอาญา กฎหมายแพ่งพาณิชย์ กฎหมายระหว่างประเทศ แผนกคดีเมือง กฎหมายมหาชน (อันนี้ธรรมศาสตร์ได้เปรียบด้านอาจารย์มากกว่า) กฎหมายวิธีพิจารณาความ - รามคำแหง จะแน่นกว่าด้านประมวล (แพ่ง-อาญา-วิแพ่ง-วิอาญา) และระบบการสอบต่างๆ เพราะจะแม่นคำพิพากษา และมีเทคนิคการสอบที่ดีกว่า (เพราะระบบของเขาเน้นการสอบที่เคี่ยกรำ และเน้นความ แม่นยำมาแต่ปริญญาตรี) 4. อุดมการณ์ ทั้งสามที่ไม่เกี่ยวใดๆ กับการปลูกฝังอุดมการณ์ อย่างที่บอก คือ ธรรมศาสตร์อาจจะมีอาจารย์น่าละอายทางวิชาการ อย่าง ศ.ดร. สุรพล แต่ก็มีอาจารย์ที่อุดมการณ์ที่น่ากราบหัวใจ อย่าง ดร. วรเจตน์ (ภาคีรัตน์) นิติฯจุฬาฯ อาจจะไม่เห็นอาจารย์มีบทบาททางการเมืองมากนัก แต่ก็ใช่ว่าคนนิติฯจุฬาฯ จะนิ่งดูดาย ฯลฯ อุดมการณ์เป็นเรื่องส่วนตัว ปล. ผมเองจบ นิติฯจุฬาฯ แต่มีเพื่อนส่วนมากจบธรรมศาสตร์ และทำงานกับคนที่จบรามคำแหงมาก ผมเป็นนักวิชาการ ซึ่งยอมรับว่าถ้าไม่มีเพื่อนร่วมงานที่เก่งๆ ด้านบริหารและควาแม่นยำด้านกฎหมายปฏิบัติ อย่างเพื่อนๆที่จบรามคำแหง งานโดยรวมขององค์กรคงเละไปแล้ว ส่วนเพื่อนธรรมศาสตร์ เป็นเพื่อนกลุ่มที่ ผมสนุกจะคุยด้วยมากที่สุด จากคุณ : บุญชิตฯ (Players) - [ 9 เม.ย. 50 14:25:31 ]

ความคิดเห็นที่ 6 รับฟังเป็นข้อมูลที่น่าสนใจครับคุณบุญชิต ทางจุฬา  ผมเคยได้ฟัง อ.ท่านหนึ่ง ซึ่งไม่ใช่จากคณะนิติศาสตร์ แต่ข้ามไปที่อักษร จุฬาฯ ที่ให้ความเห็นเรื่อง ม.7 ไว้ชัดเจนดีมาก   สำหรับอาจารย์วรเจตน์  แม้เป็นเด็กรุ่นหลัง  แต่ผมยกย่อง และนับถืออย่างจริงใจ ในฐานะอาจารย์ที่ปราศจากอคติ  ทุกอย่างเป็นไปด้วยหลักวิชาการอย่างแท้จริง ไม่อิงผลประโยชน์ใดๆ  ไม่อิงกระแส และไม่ต้องการสร้างกระแสให้ตัวเอง  ศ.ดร.สุรพล และ ดร.ปริญญา  เทวานฤมิตร  ควรละอายแก่ใจบ้าง  ที่นิยมสร้างกระแสเพื่อไต่เต้าเข้าสู่แวดวงการเมือง   กลับมาเรื่องคุณสมบัติของแต่ละที่ เห็นด้วยตรงที่นักศึกษานิติศาสตร์ ธรรมศาสตร์ อ่อนภาษาอังกฤษ  ซึ่งจะเสียเปรียบอย่างมาก หากคิดจะทำงานในลักษณะที่เป็น International Law Firm  และอย่างที่คุณบุญชิตว่าไว้  งานด้านกฎหมาย ยังมีอีกสาขาหนึ่งที่สำคัญและน่าสนใจ คือ กฎหมายภาษี  ตรงนี้ จำเป็นอย่างยิ่งที่ต้องมีความชำนาญภาษาอังกฤษควบคู่กันไป เพราะบริษัทต่างชาติมักให้ความสำคัญมากๆกับเรื่องภาษี  มากกกว่าบริษัทคนไทย  และค่าตอบแทนสำหรับที่ปรึกษาภาษีก็นับว่าใช้ได้เลยทีเดียว แก้ไขเมื่อ 09 เม.ย. 50 14:50:36 จากคุณ : ลูกแม่โดม - [ 9 เม.ย. 50 14:42:53 ]

ความคิดเห็นที่ 7 ผมเห็นด้วยกับ คุณ : บุญชิตฯ (Players) อย่างยิ่งครับ ถึงแม้ว่าผมจะเรียนนิติฯราม และกำลังจะจบก็ตาม (เหลือตัวเดียว) .. ราม กับ มธ. จะเน้นไปทาง อัยการและผู้พิพากษา ส่วนจุฬา จะออกแนวทางวิชาการ และ กม.ธุรกิจ ผมไม่รู้ว่า มธ กับ จุฬา เรียนกันอย่างไร แต่ผมเรียนหนักมาก ต้องอ่าน 100 เพื่อเอาไปตอบ 10 ฎีกาต้องดูและจดจำนำมาปรับใช้ในการสอบตลอด ข้อ กม.ของราม ล้อมาจาก ข้อสอบเนติฯอีกที บางข้อแทบจะเหมือนกัน ความมีวินัย (เรียน)ผมไม่ทราบว่า มธ. กับ จุฬา เป้นอย่างไร แต่ราม ไม่ได้มาสนใจว่า คุณจะเรียนหรือไม่ ดังนั้น ถ้าเรียนราม แล้วไม่จัดตารางให้ดี 8 ปีรอท่านอยู่ครับ.. ปล.. ยังไงก็ขอให้กระทู้นี้ อย่าใช้สถาบันมาเถียงว่าใครดีกว่ากัน แต่ขอให้ชี้ว่า ต้องทำอย่างไร เมื่อเข้าไปเรียนในสถาบันนั้นๆดีกว่าครับ.. .. จากคุณ : I_วชิรวิทย์ - [ 9 เม.ย. 50 14:44:20 ]

ความคิดเห็นที่ 8 ตอบทางฝั่งมธ.ครับ   เรื่องเรียนนิติฯ วินัยสำคัญครับ  ที่ มธ. ก็ไม่มีเช็คชื่อ ไม่มี Mid term  ทุกอย่างไปสอบปลายภาคอย่างเดียว  100 คะแนน 5 ข้อ  ในรุ่นหนึ่งๆ มีสอบไม่ตกกันเลย สักประมาณ 20-40 คน เป็นอย่างมาก  และมีจบทันรุ่นปกติ  ก็คงไม่เกิน 200-300 คน  อย่างมาก   ซึ่งด้วยความที่ไม่เช็คชื่อ และไม่มีสอบ Mid-term   นักศึกษาต้องรับผิดชอบตัวเอง แบ่งเวลาอ่าน แบ่งเวลาศึกษาให้ได้  ควบคุมตัวเองให้อยู่ ไม่งั้น ปลายภาค ก็คงต้องลุ้นกันมากเลยทีเดียว จากคุณ : ลูกแม่โดม - [ 9 เม.ย. 50 14:55:35 ]

ความคิดเห็นที่ 9 ผมว่าพวกชอบเถียงเรื่องาสถาบัน มักจะเป็นเด็กที่เรียนอยู่หรือไม่ก็เพิ่งจะจบ นะ แต่ถ้าจบมาเกินสามปี ได้ทำงานแล้ว จะรู้เลยว่า ในงานๆหนึ่ง จะขาดใครไม่ได้เลย ทุกคนจากทุกสถาบัน มีส่วนสำคัญในการทำงานหมด จากคุณ : บุญชิตฯ (Players) - [ 9 เม.ย. 50 14:59:06 ]

ความคิดเห็นที่ 10 การเรียนในนิติฯจุฬาฯ ไม่มีการเช็คชื่อเหมือนกัน (หลายคนอาจจะเข้าใจผิด เพราะเข้าใจว่าบางคณะมีเช็ค) แต่เพราะห้องเรียนมันเล็ก ใครขาดไปผู้สอนก็เห็น แต่ผมว่าไม่มีผลกับคะแนน เพราะมีหลายวิชาที่ลงแล้วลืมเรียน ก็เข้าสอบทีเดียวได้คะแนนไม่เลวนัก มีการสอบมิดเทอม ที่ทำให้ไม่ต้องอ่านหนังสือมากนักในการสอบ แนวทางการตรวจข้อสอบ ไม่ต้องอ้างฎีกาก็ได้ ผิดธงก็ได้ ถ้าหลักแน่นพอ ชอบไอเดียใหม่ๆ แปลกๆ (ไปแย้งฎีกาให้ครูฟังในคำตอบข้อสอบได้ ถ้าป๋าพอ) แต่ถ้าตอบแม่นตัวบท แม่นฎีกา แต่ไม่ได้แสดงให้เห็นว่าได้วิเคราะห์มาเอง คะแนนไม่ค่อยดีนัก พวกท่องเก่งๆ บางทีแอบโกรธอาจารย์ก็มี เพราะคะแนนไม่สมหวัง ที่สำคัญข้อสอบส่วนใหญ่จะไม่เหมือนฎีกา หรือเอาฎีกามาแก้ข้อเท็จจริงสำคัญมากๆ เพื่อดูว่าถ้าทำอย่างนี้ ผลจะต่างไปแค่ไหน อย่างไร คือที่ทำได้ไม่ใช่เพราะอะไรนะ เพราะคนมันน้อย ผู้สอนมีเวลาตรวจ สมมติคนสักพันห้าร้อยแล้วออกข้อสอบแหวกแนวมาให้ตอบ กว่าจะตรวจเสร็จ หลายคนคงไปต่อโทกันแล้ว จากคุณ : บุญชิตฯ (Players) - [ 9 เม.ย. 50 15:05:59 ]

ความคิดเห็นที่ 11 คุณบุญชิต ครับ ไม่ได้อยู่ที่ว่าจะเพิ่งจบหรือเปล่าครับ ไอ้พวกบ้าสถาบัน  ผมว่า อยู่ที่ว่า ใครจะคิดได้มากได้น้อย เพื่อนผมบางคน แก่ป่านนี้ ยังบ้าสถาบันอยู่เลยครับ ทั้งๆที่ ตัวมัน เรียนตกๆหล่นๆ เพื่อจบ  ความรู้ก็แทบไม่มี  ยังมั่นใจว่า มธ.เจ๋งกว่าที่อื่น   ผมล่ะอับอายมันจริงๆ  ถ้าเอามันไปถกกฎหมายกับใคร  คงได้ขายหน้าไปทั้งคุ้ง   สำหรับแนวทางในการเรียนกฎหมายที่ มธ. นิดนึงที่สัมผัสได้ คือ มธ. ข้อสอบไม่เน้นฎีกา  แทบจะไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับข้อสอบเนติฯ แม้แต่น้อย  การตอบกฎหมาย ต้องใช้หลักกฎหมายมาตอบ  เรื่องท่องฎีกา แทบไม่มีความจำเป็น  ดังนั้น พอเรียนจบ ไปสอบเนติฯ  เลยต้องปรับตัวกันใหม่  ต้องหาฎีกามาอ่าน  และปรับวิธีการเขียนตอบข้อสอบอย่างมาก  เนื่องจาก ข้อสอบ มธ. แม้ฟันธงผิด  แต่อธิบายหลักกฎหมายได้ ปรับบทได้  ก็จะได้ประมาณ 4-5 คะแนน  หากตอบธงถูก ปรับบทไม่ได้ หลักกฎหมายอธิบายสับสน  แทบจะไม่ได้คะแนน ซึ่งขัดกับคะแนนของเนติฯเป็นอันมาก  ซึงธงต้องถูกไว้ก่อน จะได้ไปเลยอย่างน้อย 3-5 คะแนน ถ้าปรับบทดี หลักดี  6-8 คะแนน  แต่ถ้าธงผิด รับรองครับ อย่างมากก็ 1-2 คะแนน แก้ไขเมื่อ 09 เม.ย. 50 15:10:32 จากคุณ : ลูกแม่โดม - [ 9 เม.ย. 50 15:08:42 ]

ความคิดเห็นที่ 12 เรียนนิติฯราม คนอื่นเรียนอย่างไรผมไม่รู้ ส่วนผมเรียนไปค้นหาเรื่อง(กฎหมาย)ที่เกิดกรณีพิพาทกันในปัจจุบัน และจะคุยกับเพื่อนที่เรียนด้วยกันว่า มันมีทางออกหรือต้องปรับอะไรกันบ้าง และการตอบกระทู้ หรือ หาข้อเท็จจริงตามกระทู้ในปัญหากฎหมายก็เป็นวิธีหนึ่งที่ทำให้ผมรู้ปัญหานอกตำราเรียน การเรียนของราม สะดวก เพราะมีทางเลือกเยอะ เช่น ทางเนต หรือ เข้าฟังบรรยาย หรือ เอาเทปมาฟังก็ได้ ตำราก็ราคาถูก หน่วยกิจก็ถูก เหมาะกับคนที่ทำงานไปด้วยเรียนไปด้วยเหมือนกัน.. แต่นิติฯราม มีข้อเสียคือ มีคนเรียนเยอะ แต่หาคนรู้จริงๆ หรือ เก่งพอที่จะเป็นที่ปรึกษาเราไม่ค่อยได้ และที่มีอยู่ก็เชื่อมั่นตัวเองเหลือเกิน ไม่ฟังใครทั้งนั้น..แบบว่าข้าถูกเสมอ เพราะข้าก็แน่ไม่แพ้ใคร.. ซึ่งตรงนี้มีเยอะครับ และก็เป็นปัญหาอย่างมาก เมื่อจบออกมาแล้ว ทำให้รู้ว่า จริงๆแล้ว...ไม่ได้รู้เรื่องอะไรเลย มีไม่น้อยที่เรียนแบบว่า อ่านแต่เก็งข้อสอบ หรือ เก็งมาตราไปสอบ ถ้าฟลู๊คก็ดีไป ส่วนใหญ่จะตกแทบทั้งนั้น เพราะเอาแต่เก็ง ส่วนใหญ่พวกนี้จะเป็นพวกที่อยู่ปี 1 หรือ ปี 2 ซึ่งถ้าไม่มีแนวทางที่พอเป็นตัวอย่างได้ จะงมๆๆๆ หาไม่เจอ พอมารู้วิธีเรียน วิธีสอบ ก็ปาเข้าไปเกือบปี 3 แล้ว ราม.. จึงเป็นสถาบันที่ต้องค้นหาความรู้ด้วยตัวเอง เพื่อนในรุ่นไม่มี จะมีก็เพื่อนเก่าจาก รร เดิม ที่มาเรียนด้วยกัน ส่วนที่เห็นคนเยอะๆเดินชนกัน ต่างคนต่างไม่รู้ว่าใครพอจะเป็นที่พึ่งได้บ้าง ดังนั้น นิติฯราม จึงเรียนแบบ ค้นเอง หาเอง และ รู้ได้ด้วยตัวเองครับ... .. แก้ไขตัวสะกด แก้ไขเมื่อ 09 เม.ย. 50 15:47:18 จากคุณ : I_วชิรวิทย์ - [ 9 เม.ย. 50 15:42:55 ]

ความคิดเห็นที่ 13 ถ้าจะให้พูดแบบจริงใจ ... ความรู้ความสามารถไม่เห็นจะแตกต่างกันเลย อยู่ที่ตัวบุคคลมากกว่า บางคนทะนงตัวว่าสีดี แต่ก็งั้นๆ ถมเถไป แก้ไขเมื่อ 23 พ.ค. 50 10:08:09 จากคุณ : วัวดิน - [ 9 เม.ย. 50 16:42:32 ]

ความคิดเห็นที่ 14 สมัยที่ผมทำงานใหม่ๆ  ในสำนักงานมีน้องใหม่เป็นผู้หญิงเข้ามาฝึกงาน 2 คน  คนหนึ่งจบจุฬาฯ  ส่วนอีกคนจบราม   แต่เวลามีงานไปเลื่อนคดีที่ต่างจังหวัด  หัวหน้าก็จะใช้แต่น้องที่จบรามไปทุกที  ไม่เคยใช่น้องที่จบจุฬาฯ ไปเลย   น้องคนนี้ก็มาบ่นน้อยอกน้อยใจกับผมว่า "หนูผิดตรงไหนที่หนูจบรามฯ  ทำไมหัวหน้าใช้แต่หนูไปทุกที"   ผมก็ได้แต่ปลอบใจไป  แต่ไม่กล้าพูดตรงๆ ว่าเพราะเธอมีหน้าเป็นอาวุธน่ะสิ  อีกเหตุผลก็คงจะเป็นเพราะเธอเป็นเด็กต่างจังหวัด  คุ้นเคยกับการเดินทางคนเดียว  ส่วนอีกคนเป็นลูกคุณหนู  เวลามาทำงานก็ต้องมีคุณแม่มาคอยรับส่งและนั่งรถเบ๊นซ์มา  ไม่เคยไปต่างจังหวัดคนเดียวซักครั้ง แล้วจะใช้ให้ไปได้ยังไง  ฉะนั้น ปัญหานี้คงจะไม่เกี่ยวกับสถาบันเท่าไหร่  แต่มันมีปัจจัยอื่นมาให้พิจารณา ผมเองก็เรียนรามและจบนิติราม  วิธีเรียนของผมอาจจะไม่ใช่วิธีที่ควรเอาเป็นแบบอย่างเท่าไหร่  เพราะจำได้ว่าตอนเรียน เคยเข้าเรียนในห้องบรรยายแค่ครั้งเดียวเท่านั้น และไปในชั่วโมงสุดท้ายเพื่อไปเก็บเมฆหมอกที่อาจารย์จะประทานให้  ไม่เคยเข้าติวหน้ารามเหมือนกัน  และใช้วิธีซื้อชีทที่ร้านนิติสาส์นลุงชาวใต้ไปอ่าน เพราะเล่มมันบางดี  ถูกย่อยถูกสรุปมาเรียบร้อยแล้ว  และที่สำคัญก่อนจะสอบ จะต้องหาซื้อชีทรวมข้อสอบเก่ามาให้ได้  และก็เอากระดาษแผ่นหนึ่งมากาง   แล้วจดเลขมาตราของวิชาที่จะสอบลงไปให้หมด  เช่นเรื่องหนี้ มี 200 กว่ามาตรา ก็จะจดลงไปเฉพาะเลขมาตรา   จากนั้นจะเอาข้อสอบเก่ามาไล่ไปทีละปี  แล้วติ๊กดาวลงไปว่าปีนี้ออกมาตราไหนบ้าง   ทีนี้พอทำครบทุกปี  ก็จะมีดาวเพิ่มขึ้นในแต่ละมาตรา  บางมาตราก็ไม่มีดาวเลย  แสดงว่าในรอบสิบปีไม่เคยออกสอบเลย ก็ตัดทิ้งไปซะ   ฉะนั้น พอดูจริงๆ จะมีมาตราที่เคยออกสอบแค่ไม่กี่มาตราเท่านั้น และแนวข้อสอบของรามก็จะเป็นแบบเดิมๆ ทั้งนั้น  ไม่ค่อยหนีกันเท่าไหร่ พอทำสถิติเสร็จ  ก็มาประเมินดูว่าเหลือเวลาสอบอีกกี่วัน  ถ้าเหลือแค่ 2 -3 วัน แต่ไม่เคยอ่านหนังสือมาเลย ผมก็จะท่องจำแต่เฉพาะมาตราที่มีดาวเยอะหน่อย  ท่องเสร็จก็ลองไปทำข้อสอบว่าพอทำไหวมั้ย   ฉะนั้น ด้วยวิธีนี้ก็ทำให้พอสอบผ่านมาได้และจบจนได้ถึงแม้เวลาส่วนใหญ่จะไม่ได้ใช้อ่านหนังสือ   แต่มาเร่งอ่านเอาเมื่อใกล้สอบทุกที   พอจบแล้วก็ไปรับปริญญาเอาใต้ถุนตึกราม แล้วด้วยความที่ผมไม่ค่อยสงสัยอะไรมาก   เวลาติดขัดปัญหาหรือไม่เข้าใจตรงไหนก็จะผ่านไปก่อนด้วยหวังว่าซักวัน  ฟ้าคงจะประทานคำตอบมาให้เอง   เพราะมัวแต่ไปสงสัยมากไม่ได้  เวลาอ่านหนังสือยิ่งมีไม่พออยู่   ปกติคืนก่อนสอบก็จะล่อกระทิงแดงไปซัก 2 ขวด  จากนั้นก็ลุยอ่านยาวทั้งคืน   แต่ถ้ามีสอบเช้า   คืนนั้นก็จะอาบน้ำแต่งตัวแล้วขับรถไปรามในคืนนั้นเลย   แล้วไปอ่านที่ใต้ถุนราม  ถ้าที่ไม่พอก็อ่านในรถนั่นแหละ  พอเช้าก็เอาน้ำลูบหน้าแปรงฟัน  แล้วรีบไปยึดชัยภุมิใกล้ๆ ห้องสอบ จากนั้นก็อ่านต่อรอเวลากระดิ่งเรียก   พอกระดิ่งเรียกครั้งแรกก็ปล่อยให้คนอื่นเข้าห้องไปให้หมด  ส่วนผมก็ใช้เวลาอันมีค่าให้มากที่สุด  พอคนอื่นนั่งประจำที่เรียบร้อย   ผมถึงจะได้เวลาเข้าห้องสอบ   ห้องสอบรามตอนนั้นก็ไม่มีแอร์  ยิ่งถ้าได้ที่นั่งตรงที่แดดส่องถึง  ก็ซวยไป  เกือบจะหน้ามืดเอาเหมือนกัน  ไหนจะมึนเพราะฤทธิ์กระทิงแดง  ไหนจะมึนเพราะไม่ได้นอน  ไหนจะอากาศร้อนอบอ้าว แล้วยังมาเจอแดดส่องอีก  ลมแทบจับเอาเหมือนกัน จากคุณ : ทนายที่รัก - [ 9 เม.ย. 50 18:55:54 ]

ความคิดเห็นที่ 15 แม้จะทึ่ง จะเห็นด้วยในความเห็นทางด้านกฎหมายของคุณทนายที่รักในหลายๆ กระทู้ แต่ไม่แนะนำการเรียนวิธีนี้ครับ  ขออย่าเอาเป็นตัวอย่าง เพราะคิดว่าส่วนน้อยจริงๆที่เรียนแบบคุณทนายที่รัก แล้วจะแม่นหลักกฎหมายเช่นนั้น  ขอเอาคุณทนายที่รักเป็นข้อยกเว้นครับ   วิธีการเรียนแบบคุณทนายที่รัก  เอาแค่พอผ่าน  จบแล้ว ใช้งานจริงลำบากมาก  ส่วนใหญ่ถ้าเรียนแบบนี้ หลักกฎหมายไม่มีครับ ท่องจำเป็นส่วนมาก  เมื่อทำงาน หากไม่ขวนขวายพัฒนาตัวเองต่อไป  ก็จะเป็นนักกฎหมายที่ไม่แม่น  หลักเพี้ยนได้ สำหรับคุณทนายที่รัก  ผมขอเป็นข้อยกเว้นครับ   สามารถพิสูจน์ความแม่นในหลักกฎหมายมาหลายกระทู้แล้ว  ผมนับถือครับ  แต่ไม่แนะนำวิธีนี้  ย้ำครับ ไม่แนะนำ จากคุณ : ลูกแม่โดม - [ 9 เม.ย. 50 21:27:39 ]

ความคิดเห็นที่ 16 มาแอบอ่าน.. จากคุณ : สินธร - [ 9 เม.ย. 50 23:23:42 ]

ความคิดเห็นที่ 17 ... เข้ามาดู จากคุณ : Mr. Fusion - [ 10 เม.ย. 50 00:45:57 ]

ความคิดเห็นที่ 18 กฏหมายฉบับเดียวกัน ขึ้นอยู่กับคนใช้ จากคุณ : ขยะสังคม - [ 10 เม.ย. 50 01:10:59 ]

ความคิดเห็นที่ 19 จบจากไหนก็ไม่ต่างกันค่ะ เพราะส่วนใหญ่เหล่านิติศาสตรบัณฑิต ก็จะไปเรียนเนติกันต่อ ก็เหมือนเป็นการปรับพื้นฐานกันใหม่อีกรอบหนึ่งค่ะ เท่าที่เห็น ผู้ผ่านการสอบเป็นผู้ช่วยผู้พิพากษา หรืออัยการผู้ช่วย เดี๋ยวนี้ ก็มีผ่านเข้ามาหลายสถาบัน ดังนั้น อยู่ที่ตัวของผู้เรียนมากกว่า ที่จะขวนขวายวิชาความรู้ที่อาจารย์สอนได้มากแค่ไหน สีอะไรก็ไม่ต่างกันค่ะ จากคุณ : สาวกคอมแบท - [ 10 เม.ย. 50 08:57:44 ]

ความคิดเห็นที่ 20 ที่ไหน ก้อดี ทั้งนั้น  ถ้าขยันอ่านหนังสือ  ขยันท่องตัวบท ขยันศึกษาหาความรุ้เพิ่มเติมอยุ่เสมอ พวกฏีกา ต่างๆ ...คุณคิดว่าเมื่อจบแล้วคุณจะไปประกอบอาชีพด้านไหน ที่ปรึกษากฏหมาย   ทนาย   อัยการ  ผู้พิพากษา นิติกร  รับราชการ เพราะแต่ละด้านสไตล์การเรียนไม่เหมือนกัน บางคนคิดว่าการท่องตัวบทไม่สำคัญ..แค่จำหลักให้ได้ ก้อพอ....แต่ถ้าไปประกอบอาชีพทนาย  หรือจะสอบอัยการ หรือผู้ช่วยพิพากษา  การท่องตัวบท  การท่องประมวลฯ การศึกษาฏีกา  มีความจำเป้นอย่างมาก... ....ผมเองจบนิติราม..ปัจจุบันรับราชการ...สมัยเรียนผมไม่เคยเข้าเรียน..แต่จะซื้อหนังสือมาอ่านเอง....หาชีทสรุปที่คณะจัดทำมาอ่าน...หาข้อสอบเก่าที่คณะมาลองทำ....การอ่านหนังสือแรกๆๆจะอ่านรวมๆๆไปก่อน สัก 3 รอบ..หลังจากนั้นดูข้อสอบว่า มาตราไหนออกบ่อยที่สุด...จะจดเลขมาตรามา...แล้วก็จะมาดูประมวลเพื่อท่องตัวบท จำเลขมาตราไม่ได้ไม่เป็นไร...แต่เนื้อความต้องจำได้ สามารถนำมาปรับเข้ากับอุธาหรณ์ได้....การตอบข้อสอบ ต้องเขียนหลักกฏหมายได้  และใส่เหตุผลประกอบด้วย ปรับเข้ากับข้อเท็จจริง.....ข้อสอบรามกับ ข้อสอบเนฯ จะคล้ายๆๆกัน....สไตล์การเขียนคำตอบข้อสอบรามฯ กับสไตล์การเขียนข้อสอบเนฯ...จะคล้ายคลึงกัน....เวลาคนจบนิติรามไปเรียนต่อเนฯ จึงไม่ใช่ปัญหาอะไร... นี่รุ่นน้องก็สอบ ผู้ช่วยผู้พิพากษาติด 2 คน  ในการสอบครั้งที่ผ่านมา....นี่คือสไตล์การเรียนที่รามฯ...อ่านคำอธิบายให้เข้าใจ ว่า แต่ละมาตราใช้ยังไง...มีองค์ประกอบอะไรบ้าง..และท่องตัวบทจำให้ได้..ศึกษาฏีกา.. ทั้งนี้ทั้งนั้น คือ ต้องขยันอ่านหนังสือ..อ่านหลายๆๆรอบ ขยันท่องตัวบท...ก้อเรียนจบ สามารถนำไปใช้งานได้จริง แก้ไขเมื่อ 10 เม.ย. 50 10:45:42 จากคุณ : เมสุริน - [ 10 เม.ย. 50 10:44:46 ]

ความคิดเห็นที่ 21 เข้ามาดูรุ่นพี่ตอบกัน..อิอิ จากคุณ : พอเพียงค่ะ - [ 10 เม.ย. 50 13:29:45 ]

ความคิดเห็นที่ 22 ชอบกระทู้นี้มากๆเลยค่ะ ^^ มันเคลียร์เรื่องที่เรากำลังถกเถียงกับเพื่อนอยู่พอดี แต่ไม่ได้ทะเลาะกันนะคะ คือ เทอมหน้าเราจะลงเรียนวิชานิติศาสตร์ ที่รามฯค่ะ พอดีสนใจนิติฯอยู่ เลยว่าลงเรียนดีกว่า แต่เพื่อนจบจากธรรมศาสตร์(สาขาอื่น) บอกว่าทำไม ไม่ไปเรียนที่ธรรมศาสตร์ ก็เถียงๆ ถกปัญหากันก็ไม่จบ เลยโทรไปถามเพื่อนทนายก็ไม่เคลียร์ แต่เค้าไม่ได้เข้าข้างฝ่ายใด แต่ก็แนะแนวเหมือนที่ข้างบนบอก อ่านแบบนี้เเล้ว เราว่าจะลงที่รามฯละกัน มันใกล้บ้านด้วย และมีชีทสรุปขาย ขยันๆหน่อย คือเราทำงานด้วยค่ะ ถ้าต้องไปสอบแข่งที่อื่นพาลจะท้อซะก่อน T^T ตอนนี้เริ่มซื้อชีสมาอ่านก่อนแล้ว จะลองสู้ดู อย่างน้อยถ้าเราพยายามมันก็จะสำเร็จใช่ไหมคะ ^^ จากคุณ : แพนด้าตัวกลม - [ 10 เม.ย. 50 14:05:15 ]

ความคิดเห็นที่ 23 ขอเล่าบรรยากาศตอนเรียนรามของผมให้ฟังเผื่อน้องๆบางคนจะประกอบการตัดสินใจ ในฐานะที่จบรามฯคนหนึ่งมาสิบปีแล้ว ถามว่าตอนเรียนมีเพื่อนเยอะหรือไม่ ตอบ มีเป็นร้อยคนเพราะตอนเรียนนั้นส่วนมากผมเข้าฟังคำบรรยายอาจารย์เสมอและตอนเรียนรามที่ที่อยู่อาศัยมีสี่ที่คือห้องบรรยาย   ห้องสมุด  ร้านกาแฟ  และคณะนิติ(ตอนนั้นยังไม่มีตึกใหม่ครับ) ไม่มีบรรยายผมเข้าห้องสมุดตั้งแต่  เจ็ดโมงเช้า   ออกสามทุ่มทุกวันเป็นอย่างนี้  แถมมาท่องตัวบทที่ห้องต่ออีกจนถึงตีหนึ่ง  เพื่อนทั้งหลายที่เจอตลอดสามปีที่ราม ก็หน้าเดิมๆ  แข่งกันอ่าน   แข่งกันถกเถียงปัญหากฎหมาย  ตั้งวงดื่มกาแฟด้วยกัน  จนสุดท้ายจัดแข่งบอลกัน โชคดีที่ได้รู้จักเพื่อนๆที่นั่งเรียนข้างหน้าด้วยกัน ชอบอ่านหนังสือเหมือนกันโดยมากเป็นคนต่างจังหวัด ผมจึงมีเพื่อนอยู่แทบจะพูดได้ว่ามาจากทุกจังหวัดตั้งแต่เหนือจดใต้ ตะวันออกจดตะวันตก   ก็ยังคิดถึงบรรยากาศเก่าๆอยู่  แม้ตอนนี้เราจะแยกย้ายกันตามเส้นทางเดินของชีวิตแต่ล่ะคนก็ตาม อ่านหนังสือนี่อ่านของอาจารย์ทุกสถาบัน บางคนจบ สองปีครึ่ง   สามปี  ตามแต่จังหวะ ผมสมาคมมากหน่อยช่วงหลังเลยสามปีครึ่ง เขาเหล่านั้นตอนนี้เป็นศาลเป็นอัยการ กันหมด  เป็นร้อยๆคน บางคนไปทำธุรกิจ  เป็นเจ้าของสำนักงาน  เป็นนักการเมือง  ฯลฯ ตอนนี้เราก็นัดพบกันบ้างในฐานะเพื่อนเก่า ส่วนมากปีล่ะครั้ง  ครับเรียนรามมีเพื่อนแน่ถ้าท่านอยากมี     ผมเรียนสามปีครึ่ง เสียดายขาด จี ตัวเดียวจะได้เกียรตินิยม เรียนรามอ่านเยอะๆครับมีเพื่อนหน่ะดีเราจะได้รู้จักคนมากขึ้น อยากเรียนรามเข้าไม่ยากครับ จะออกจากรามอยู่ที่ตัวผู้เรียนเอง แก้ไขเมื่อ 10 เม.ย. 50 16:47:55 จากคุณ : ทนายเนติบัณฑิตคนหนึ่ง - [ 10 เม.ย. 50 14:45:04 ]

ความคิดเห็นที่ 24 อ่านกระทู้นี้แล้วรู้สึกดีแฮะ... เห็นด้วยเป็นอย่างยิ่งว่า เรียนที่ไหนก็ไม่สำคัญ ขอให้ตั้งใจเรียนและเป็นนักกฎหมายที่ดีก็พอ แอบเล่า . . . ตอนผมฝึกงานที่ Baker ฯ เพื่อนๆฝึกที่ white ฯ Clifford ฯ หรือ Alen ฯ เจอเพื่อนๆสถาบันอื่น ก็เข้ากันได้ ไม่ว่ารั้วไหนก็ตาม แถมสนิทกันมากอีกด้วย ทำให้ผมรู้ว่า...เรียนจบจากไหนก็ไม่สำคัญหรอก ขอเพียงมีความรู้ที่ดีพอ ทำหน้าที่นักกฎหมายของเราให้ดี  และไม่เป็นนักกฎหมายที่เห็นแก่เงินอย่างเดียวก็พอ สถาบันไหน มันไม่ใช่เรื่องสำคัญเลย จริงๆนะ จากคุณ : Radiant, Archangel - [ 10 เม.ย. 50 16:42:37 ]

ความคิดเห็นที่ 25 แฮะ ๆๆ ของผมเป็นพวกเดียวกันกับ คุณทนายที่รัก(และเคารพ) ครับ ไม่แนะนำวิธีนี้เช่นกันครับ จากคุณ : อดีตมันช่างหวานชื่นจริง ๆ (plahn) - [ 10 เม.ย. 50 16:48:44 ]

ความคิดเห็นที่ 26 เรียนที่ไหน สุดท้ายมันก็อยู่ที่ตัวผู้เรียนแหละค่ะ แต่เรื่องสถาบัน หนูว่ามันเป็นเรื่องส่วนบุคคลมากกว่า ที่ต้องการเรียนที่ไหน ชอบที่ไหน หรือว่า สะดวกที่ไหนมากกว่า --ส่วนตัว-- เรียนที่ มธ นะค่ะ มันเป็นความตั้งใจส่วนตัวอ่ะค่ะ กว่าจะเข้าที่นี่ได้ ก็เรียนหนักค่ะ พอได้มันก็ชื่นใจเป็นเรี่องธรรมดาค่ะ ที่นี่ เรียนแล้ว(เพิ่งปี 2 ปีนี้นะค่ะ)รู้สึกว่า ไม่ได้เรียนแค่ตัวบทอ่ะค่ะ แต่ อ.หลายๆท่าน สอดแทรก ข้อคิดเห็น ความรู้ เกี่ยวกับสถาณการ์ณต่างๆด้วย บางครั้ง อ.ก็คิดเห็นไม่เหมือนกัน ก็เขียนบทความเถียงกันเองค่ะ เราก็ต้องไปหามาอ่าน มาวิเคราะห์ ต้องลองไปศึกษาไปดู แล้วลองคิดบ้างว่า เรามีความคิดเห็นอย่างไร บางครั้ง อ.ก็ให้เหตุผลในเรื่องตัวบทต่างๆกัน มีหลายความคิด ทั้งจาก เยอรมัน ฝรั่งเศส คนเรียนเองก็ งง บ้างเหมือนกันค่ะ แต่ดีตรงที่เรารู้อะไรเยอะ กว้างด้วย ยังไงก็แล้วแต่ หนูว่า คนเรียนนะสำคัญที่สุดจริงๆค่ะ จากคุณ : เด็กนิติมธ.-73 - [ 10 เม.ย. 50 17:42:09 A:203.113.76.12 X: ]

ความคิดเห็นที่ 27 เรียนที่ไหนก็ได้ครับ ขอให้เป็นคนดี ใช้วิชาความรู้ที่ได้ร่ำเรียนมาให้เป็นประโยชน์ต่อสังคม มีความยุติธรรม และใช้กฎหมายให้สมดังเจตนารมย์ที่กฎหมายนั้นตั้งไว้ ผมไม่เคยได้รับรู้บรรยากาศของการเรียนที่มหาวิทยาลัยหรอกครับ เพราะทำงานไปเรียนไปถึงเวลาก็ไปสอบ ไม่มีเวลาก็ไปไม่ได้ บางครั้งก็หลงตึกเพราะที่รามคำแหงชื่อตึกคล้ายกันมาก กว่าจะจบก็ใช้เวลาถึงหกปี แต่วิชาความรู้ที่ได้มาก็ทำให้ผมทำมาหากินและประสบความสำเร็จกันพอสมควรในเวลานี้ จากคุณ : Stereophony - [ 10 เม.ย. 50 17:49:12 ]

ความคิดเห็นที่ 28 เป็นลูกแม่โดมเหมือนกันค่ะ เห็นด้วยกับข้อแตกต่างที่คุณบุญชิตเสนอมาค่ะ แต่เวลาทำงานเข้าจริงๆ ดีที่เราเำ่ก่งภาษาอังกฤษเป็นทุนเดิม เลยได้ไปทำงานที่ int' law firm แห่งหนึ่งค่ะ พี่ๆทนายที่จบจากรั้วจามจุรีกะลูกแม่โดม งานไม่ค่อยต่างกันมากค่ะ แต่พี่ๆที่จบมาจากราม ทางนู้นเค้าเหมาไปศาลอย่างเดียวเลย แต่เรามีรุ่นพี่ที่จบจุฬา เค้าได้ไปศาลพวกคดีทางธุรกิจบ่อยเหมือนกันค่ะ ส่วนตัวเราว่า อยากได้งานดีๆ ต้องเก่งภาษาด้วยค่ะ เราเกรดจบมาเลยสาม แต่ไม่โดดเด่นเท่าคนอื่นที่ได้เกียรติยม เพราะเราเรียนๆเล่นๆโดดๆ แต่เรียนภาษาตลอดเวลา เราได้งานทันทีหลังจากสอบตัวสุดท้ายเสร็จ อดเที่ยวไปเลย อย่ามาเปรียบเทียบอะไรกันเลยดีกว่าค่ะ เพราะแต่ละที่ ต้องพึ่งพากันจริงๆค่ะ เรียนที่ไหน ขอให้ตั้งใจเรียน จบออกมาเก่งเหมือนกันเลยค่ะ จากคุณ : แม่ละเมียด - [ 11 เม.ย. 50 01:52:49 ]

ความคิดเห็นที่ 29 ขอบพระคุณทุกความคิดเห็นมากนะครับ ขอสอบถามเพิ่มเติมนะครับ จะเป็นการยากไหมครับ ถ้าจบรามแล้วจะไปทำLaw Firmครับ (เก่งภาษาอยู่แล้ว) แก้ไขเมื่อ 11 เม.ย. 50 14:25:04 จากคุณ : ลานกา - [ 11 เม.ย. 50 13:43:57 ]

ความคิดเห็นที่ 30 อยากจะถามว่าจบนิติศาสตร์เนี่ยนะครับ มีงานที่ต้องทำกับอาชีพอื่นหรือเปล่า เช่นวิศวกร แพทย์ ฯลฯ ซึ่งก็อาจจะไม่ได้เกี่ยวข้องกันโดยตรง แต่ก็ ขาดเสียไม่ได้ จากคุณ : multi social - [ 11 เม.ย. 50 15:27:38 A:161.200.255.162 X: ]

ความคิดเห็นที่ 31 อ่าผมอยากบอกว่าที่จุฬาฯเกรดออกช้ามากนะครับนี่ผ่านไปปีนึงแล้วเกรดวิชา กม. ยังไม่ออกเลยซักตัว จากคุณ : BarristerZ - [ วันเถลิงศก (15) 10:23:43 ]

ความคิดเห็นที่ 32 ขอเข้ามาอ่าน อีกคนด้วยแล้วกัน...(ยาวจัง) จากคุณ : mistress - [ วันเถลิงศก (15) 13:12:42 ]

ความคิดเห็นที่ 33 อยากบอกว่า ชอบกระทู้นี้จังเลยค่ะ  ปรกติแล้วเวลาเห็นกระทู้แบบนี้จะมีน้อยมาก ๆ  ที่จะไม่ทะเลาะกัน  แต่กระทู้นี้ดีมาก ๆ เลยแหละ ตอนนี้เราเรียนอยู่ มธ อ่ะน้า  กำลังจะขึ้นปี 3 แล้วล่ะ  ข้อแตกต่างอะไรความคิดเห็นบน ๆ ก็ตอบไปกันหมดแล้วแหละเนอะ  ความจริงเราว่านิติศาสตร์น่ะ  เรียนที่ไหนก็คงไม่ค่อยแตกต่างกันหรอก  มันไม่เหมือนวิชาสายวิทย์นี่ที่ต้องมีแลบมีอุปกรณ์  แต่นิติมันสำคัญที่ตัวคนเรียนมากกว่าอ่ะนะ บรรยากาศในการเรียนก็นะ  ไม่มีเชคชื่อ  ไม่มีคะแนนเก็บ  สอบรอบเดียว 5 ข้อ 100 คะแนนเลย  มันมาก  ความจริงเราอยากให้มีกลางภาคอ่ะนะ  จะได้เป็นการกระตุ้นตัวเอง  แบบนี้มันลอย ๆ อ่ะ แล้วอาจารย์ในคณะก็จบกันมาหลากหลายประเทศราวกับสหประชาชาติ  เพราะงั้นเวลาสอนความเห็นต่าง ๆ ก็มักจะตีกันเอง  อย่างรุ่นเราอาญาภาคทั่วไปกับภาคความผิดเรียนปีเดียวกันแต่คนละเทอม  ใช้อาจารย์สอน 2 ชุด  ความเห็นไปคนละแบบ  โอ้ย  สนุกจนแย่ แต่เราก็ว่าแบบนี้มันก็โอเคล่ะน้า  ก็อย่างที่อาจารย์ท่านบอกตอนสอนแหละ  ว่าเรียนมหาลัยระดับปริญญาตรีน่ะ  สอนให้กว้างไว้ก่อน  ความรู้จะได้หลากหลาย  พอเรียนสูงขึ้นไปจะได้รู้จักเอาไปปรับใช้ แถมอย่างสุดท้าย  ที่นี่คะแนนออกช้ามากกกกกกกกกกก แล้วดูเหมือนจาเป็นกันหลายคณะด้วยอ่ะ   แต่ก็นะ  รัก มธที่สุดเลย จากคุณ : ซาละเปาไส้ครีม - [ วันเถลิงศก (15) 22:43:31 ]

ความคิดเห็นที่ 34 มาแอบดูพี่พี่ตอบกัน ^^ เป็นกระทู้ที่ไม่มีการทะเลาะกัน ดีมากเลยค่ะ ส่วนตัวหนูแฮปปี้กะนิิติจุฬามากค่ะ ไม่เสียใจที่เลือกคณะนี้ ทำกิจกรรมทุกอย่าง ทั้งช่วงเฟรชชี่ เปงแกนสัน งานอื่นๆตลอดปี open house  ไปค่ายอาสา ในเรื่องเรียน หนูว่าไม่จำเป็นต้องเครียดกับมันมาก เรียนไปควบทำกิจกรรมมีความสุขสุดแล้วค่ะ ทำให้อยากไปคณะ ได้เจอเพื่อนดีดีมากมายเลยค่ะ ถ้าเรารู้จักแบ่งเวลา ช่วงใกล้สอบก็ ตั้งใจอ่าน แม้้จะโดดไปบ่อยๆก็ไม่เป็นไรอ่ะ บางทีได้เกรดดีกว่าพวกเข้าเรียนตลอดอีก แหะๆ แล้วแต่วิชาการเรียนของแต่ละคนค่ะ   * ปล.ตอนนี้กะลังลุ้นเกรดวิชากม.ลักษณะทรัพย์อยู่ จะออกแล้ว คนถอนไป20คนได้ และ เหงได้ข่าวว่า F 15 คนค่ะ ><" สรุปเรียนที่ไหนก็มีความสุขได้ ความรู้ไม่ต่างกันมากอยู่ที่คนเรียนเท่านั้นเลย จากคุณ : ฬ49 (pukkajr.) - [ 12 พ.ค. 50 14:54:45 ]

ความคิดเห็นที่ 35 ได้อ่านกระทู้นี้แล้วชัดเจนมากๆเลยค่ะ ทำให้รู้ว่าแต่ละที่เน้นตรงวิชาการด้านไหน อย่างไรรบกวนช่วย comment โปรแกรมปริญญาโทด้านกฎหมายธุรกิจ สำหรับผู้ที่ไม่ได้จบนิติศาสตร์มาด้วยได้มั้ยคะ จากคุณ : Nu+ จำมัย - [ 25 พ.ค. 50 00:16:08 ]

ความคิดเห็นที่ 36 ผมคคนนึ่งที่มาจากรามคำแหง ตอนนี้มีหน้าที่ต้องทำงานๆทำงาน หาเงินหาเงิน แล้วเอามาซื้อหนังสือกฎหมายเพื่อนอ่านมีความสุข กับการอ่าน อ่าน แล้วก็อ่าน เพื่อนจะได้เข้าใจ จดจำ แล้วเอาไปใช้อย่างกูกต้อง ตอนเรียน ไม่เคยติวหน้าราม ไม่เคยหาครุเพื่อช้วยตัวเอง ภูมิใจ ในราม มีเพื่อนจากจุฬา ธรรมศาสตร์ มากมาย เล่นโขนด้วยกันมานานรู้ใจกันดี เราไม่มีเรื่องสถาบันเรามีใจที่จะรักษาไว้ซึ่งความยุติธรรมเช่นกัน จากคุณ : maskru - [ 25 พ.ค. 50 18:39:18 ]

ความคิดเห็นที่ 37 .... จากคุณ : ... - [ 7 มิ.ย. 50 21:49:36 A:58.9.86.65 X: TicketID:136856 ]

ความคิดเห็นที่ 38 ชอบกระทู้นี้มากๆ เลยค่ะ อ่านแล้วประทับใจมาก ส่วนตัวเรียนอยู่จุฬาฯ ค่ะ แต่ชื่นชมเพื่อนๆ ที่มีความสามารถจากสถาบันฯ อื่นๆ เสมอค่ะ อย่างตอนที่ไปฝึกงาน ก็มีเพื่อนๆ จากทุกที่เลยค่ะ พวกเราก็ช่วยกันทำงาน สนุกดีค่ะ ลืมคำว่าสถาบันไปเลย จากคุณ : tato_jang - [ 15 มิ.ย. 50 19:39:16 ]

ความคิดเห็นที่ 40 ตอนแรกกระทู้นี้ดูเหมือนจะเข้าทีถกเรื่องการจัดการศึกษาแต่ที่ไหนได้เข้ามาแขวะอาจารย์ อุดมการณ์ของแต่ละคนมันต่างกัน คุณโลกแม่โดมเชียร์ทุนนิยมผูกขาด เลยต่อต้านรัฐประหาร ของอย่างนี้ต่างมุมมอง .. อาจารย์สุรพล ท่านเป็นคนตรง ต่อต้านการผูกขาดอำนาจรัฐ ไม่เห็นด้วยกับการใช้กฎหมายแสวงประโยชน์ ส่วนอาจารย์วรเจตน์ หน้าใหม่ไฟแรงสูง แต่ขาดการนำกฎหมายมาตีความเพื่อใช้ในบริบทสังคมไทย จากคุณ : ลูกแม่โดมเหมือนกันแต่มองต่าง (กบเหนือกะลา) - [ 21 มิ.ย. 50 10:38:58 ]