ความคิดเห็นที่ 1 อ้อ..อีกเรื่อง ผมขอฝากว่าถ้าใครเจอตัวคุณทนายที่รัก ช่วยเตือนเค้าหน่อยว่าถ้าไม่รู้จริงเรื่องภาษีก็ไม่ควรจะโพสต์แนะนำผู้อื่น ขนาดสัญญาเช่าที่ดินเค้ายังไม่รู้เลยว่ายกเว้น VAT แต่ดันมาบอกให้ไปดูเงื่อนไขในสัญญวเช่าว่าจะทำให้เป็นภาษีซื้อต้องห้าม นี้เป้นตัวอย่างของคนที่ไม่รู้จริงแล้วอยากโชว์พาว์นะครับ แต่ทำให้คนอื่นเดือดร้อนนะคับผม จากคุณ : ธนพล - [ 1 ก.ย. 50 01:57:20 A:210.203.174.219 X: TicketID:149313 ]

ความคิดเห็นที่ 2 ไม่ได้เป็นทนายแต่เป็นเจ้าของกิจการ เรียนรู้เรื่องระบบภาษีและกฏหมายที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจด้วยตัวเองเพื่อการดูแลกิจการ การที่มีคนเข้าโพสตอบกระทู้คุณเขาก็มาให้คำแนะนำเท่านั้น คุณใช้ประโยชน์ได้หรือไม่ก็ไม่ควรมาโพสต่อว่าเขาแบบนี่ เรื่องกฏหมายของภาษีมันเป็นเรืองที่มีรายละเอียดมาก จะมาบอกแบบฟันธงไปเลยก็ไม่ได้ มันต้องดูเองเป็นกรณีไปว่าเข้าข่ายกฏหมายข้อไหน ได้อ่านกระทู้คุณทั้ง 3 กระทู้มีผู้รู้มาแนะนำ และให้ลิงค์ในส่วนกฏหมายที่เกี่ยวข้อง ตามไปอ่านแล้วก็พอเข้าใจ ที่คุณไม่เข้าใจเพราะคุณไม่มีพื้นและไม่รู้เรื่องมากกว่า มีคนบอกให้ไปปรึกษาสำนักงานบัญชีในกระทู้ข้างล่าง คุณก็ไปว่าเขาอีก เขาบอกถูกแล้วว่านักบัญชีจะตอบได้เพราะเขาเป็นคนทำเรื่องนี้โดยตรงไม่ใช่ทนาย "ในกรณีที่คุณต้องการใช้ภาษีซื้อ ขอแนะนำว่าให้ดูเงื่อนไขในสัญญาเช่าให้ดีๆ ครับ ไม่อย่างนั้น ภาษีซื้ออาจจะกลายเป็นภาษีซื้อต้องห้ามไปทั้งหมด และคุณอาจจะต้องเสียทั้งเบี้ยปรับและเงินเพิ่มในภายหลังได้ จากคุณ : ทนายที่รัก - [ 29 ส.ค. 50 12:34:28 ] คุณทนายที่รักเขาไม่ได้เอ่ยถึง ภาษีมูลค่าเพิ่มจากากรทำสัญญาเช่าตรงไหนเลย เขาพูดถึงภาษีซื้อต่างหาก การที่บริษัทจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่มไม่ได้หมายถึงว่าภาษีซื้อทุกตัวจะขอคืนได้ มันมีรายละเอียดในเรื่องภาษีต้องห้ามตั้งหลายอย่างที่ต้องไปศึกษา ตามลิงค์ในกระทู้เก่าก็มี คุณควรไปศึกษาแล้วมาเปรียบเทียบว่ากรณีไหนมีแนวโน้มจะเกี่ยวข้องกับกรณีของคูณแล้วมาถามเป็นกรณีไปจะดีกว่า ที่สำคุญเวลาคุณมาโพสถามในนี้ให้ตระหนักด้วยว่ามันเป็นคำแนะทั้วไปเพราะคนแนะนำเขาไม่ได้เห็นรายละเอียดและเอกสารทั้งหมด การที่ภาษีซื้อรายการไหนขอคืนได้หรือไม่ได้มันขึ้นกับชนิดของกิจการด้วย ภาษีตัวเดียวกันบางกิจการก็ขอคืนได้ บางกิจการก็ขอคืนไม่ได้ คนที่จะตอบคุณได้ชัดเจนคือคนทำบัญชีบริษัทคุณที่เขารู้วัตถุประสงค์ของบริษัทและที่มาของค่าใช้จ่ายที่มีภาษีซื้อ จากคุณ : Alone with out lonely - [ 1 ก.ย. 50 02:42:46 ]

ความคิดเห็นที่ 3 ^ ^ อ่านกระทู้เดิมดีๆ ครับ ผมไม่ได้ด่านักบัยชี แต่ชมด้วยซ้ำ ที่ผมด่าก็คือพวกนักกม.หรือทนายที่ไม่รู้จริงเรื่องภาษีแล้วอยากจะโชว์พาว์มากกว่า และประเด็นของกระทู้นี้ก็คือผมบอกว่าหาทนายหรือนักกม.ที่รู้เรื่องภาษียากยิ่งกว่างมเข็มในหมาสมุทรซะอีก ถ้าจะคุยเรื่องกม.ภาษีจริงๆ ผมว่าคุยกับนักบัญชียังรู้เรื่องมากกว่าคุยกับนักกม.เสียอีก ไม่จิงเหรือครับ ดูกระทู้ที่ถามเกี่ยวกับภาษีในห้องนี้สิ ผมว่าส่วนใหญ่ที่เข้ามตอบน่ะ ไม่ค่อยมีนักกม.หรอก ส่วนใหญ่เป็นนักบัญชีทั้งนั้นแหละ ผมก็เลยสงสัยว่าวิชากฎหมายภาษีไม่ใช่วิชาบังคับในมหาลัยหรอกเหรอ นักกฎหมายส่วนใหญ่ถึงไม่ค่อยรู้เรื่องภาษีกันเท่าไหร่เลย ทั้งที่ภาษีเป็นเรื่องของกม.รัศฎากรด้วยซ้ำ จากคุณ : ธนพล - [ 1 ก.ย. 50 11:43:16 A:210.203.174.142 X: TicketID:149313 ]

ความคิดเห็นที่ 4 ผมเดาว่าคุณไกลปีนเที่ยงน่าจะเป็นนักบัญชี ใช่มั้ยครับ เพราะเห็นเชียร์ให้เข้าปรึกษาแต่สนง.บัญชี ข้างบนนี่คือคำชมใช่ไหมคะ กฏหมายเขาไม่ได้มีไว้แค่สำหรับนักกฏหมายอย่างเดียว บัญชีก็ต้องรู้เรื่องภาษีมากกว่านักกฏหมายเป็นธรรมดาเพราะเขาใช้มันอยู่ทุกวัน ส่วนนักกฏหมายถึงจะเรียนมาแต่ไม่ค่อยได้ใช้ และกฏหมายก็เปลี่ยนแปลงตลอดเขาจะรู้รายละเอียดได้อย่างไร มีคดีเรื่องภาษีกี่คดีต่อปี คุณถามไม่ถูกคน ก็เกาไม่ถูกที่คัน แถมได้คำตอบไม่ถูกใจยังด่าเขาอีก คุณไม่ได้จ่ายเงินให้เขามาโพสตอบคำถามคุณนะ คุณถึงต้องได้ดั่งใจ ที่ว่าเขาโชว์พาว์น่ะ แน่ใจแล้วหรือว่าเขาเป็นอย่างนั้น หรือคุณความรู้น้อยไม่เข้าใจเอง เพราะนิสัยของคุณนั่นแหละที่จะไม่มีใครมาให้คำแนะนำและตอบกระทู้คุณ เพราะเขาไม่อยากโชว์พาว์กับคุณไง จากคุณ : Alone with out lonely - [ 1 ก.ย. 50 12:30:27 ]

ความคิดเห็นที่ 5 นี่ก็เป็นอีกกระทู้ที่พวกนักกฎหมายโดนด่า บอกแล้วว่าเข้ามาตอบมีแต่เสมอตัวกับแย่ลง .. อีกอย่างนะครับ กม.ภาษีอากร ที่รามคำแหงเป็นวิชาบังคับ ไม่ใช่วิชาเลือกนะครับ .. จากคุณ : I_วชิรวิทย์ - [ 1 ก.ย. 50 12:46:05 ]

ความคิดเห็นที่ 6 ของฟรี (ถามฟรี) ก็ไม่ได้ดังใจเสมอไปครับ ถ้าหากว่าไปจ้างและเสียเงินเป็นแสนๆ ผมว่าน่าจะได้คำตอบที่ จขกท พอใจ ผมว่ามันดีกว่ามั้ย คนทีเค้ามาตอบ น่าจะให้เกียรติกันบ้าง ไม่ใช่ไม่ถูกใจกลับออกมาด่าปาวๆ อย่างน้อยที่สุดเค้าก็เสียเลามาตอบให้คุณ อ่ะๆๆ อย่าบอกนะว่า ไม่ได้เรียกให้ตอบ ถ้าคิดจะพูดอย่างนั้น จขกท ก็ไม่ควรนำมา post ถามครับ .. จากคุณ : I_วชิรวิทย์ - [ 1 ก.ย. 50 12:50:45 ]

ความคิดเห็นที่ 7 ทนายที่รู้เรื่องกฎหมายภาษีอากรค่าตัวแพงโคตรๆ ผมว่า จขกท จะจ้างทนายพวกนี้ต้องใช้เงินหลักแสนขึ้นไป ดังนั้นถ้าหาของฟรีก็ต้องทำใจ เพราะทุกคำพูดและความรู้ในเรื่องภาษีอากร มันคือเงินทองครับ ไม่มีใครเค้าให้คุณฟรีๆง่ายๆ อีกอย่างถ้าคิดจะใช้บริการทางเนตก็ต้องเอาไปกรองอีกทีว่ามันใช้ได้จริงหรือไม่ พูดอีกทีจะให้ชัวร์ ไปจ้างดีกว่าครับ เพราะเราถามได้เต็มที่ ผมเข้าใจทนายในห้องนี้ดีครับว่า ถ้ามันเป็นเรื่องผลประโยชน์ของ จขกท ส่วนใหญ่ทนายจะไม่พูดลึกมาก เพราะมันคือสิ่งที่ จขกท ต้องแบกค่าใช้จ่ายบ้าง จะมีให้คำปรึกษาก็เพียงเบื้องต้นเท่านั้น ดังนั้นอย่าไปด่าพวกเค้าครับ ผมว่า จขกท เองไปหาหรือไปจ้างดีกว่า จะได้รู้ว่าของดีไม่มีฟรีหรอกครับ จากคุณ : q - [ 1 ก.ย. 50 13:56:24 A:203.113.36.9 X: TicketID:153691 ]

ความคิดเห็นที่ 8 คือว่า เราก็เป็นนักบัญชีอีกคนค่ะ  เพียงแต่ว่า เท่าที่รู้คือ นักกฏหมายหรือทนายเค้าจะไม่ค่อยทราบเรื่องพวกนี้  แต่เค้าก็มีเรียนน่ะค่ะ แต่ว่า ไม่เท่าไหร่ค่ะ ไม่แม่นเหมือนนักบัญชี  เพราะนักบัญชีจะต้องตามเรื่อง กม. ตามประมวลรัษฎากร  ตลอดเนื่องจากต้องใช้ในการประกอบวิชาชีพ  ต้องอัปเดทอยู่ตลอดเลย  ขนาดนักบัญชีเอง บางคนก็ไม่ได้รู้ไปหมด แต่ยังไงก็ ถ้าใครมีความรู้ หรือมีอะไรอัปเดท ข่าวสารทางบัญชี ก็บอก ๆ กันบ้างน่ะค่ะ  ยังไงก็ เป็นกำลังใจให้กับ ผู้ประกอบวิชาชีพ อื่น ๆ ด้วยน่ะค่ะ จากคุณ : jppj - [ 1 ก.ย. 50 13:56:32 ]

ความคิดเห็นที่ 9 เมื่อก่อนผมไม่เคยเข้าห้องนี้ เข้าแต่เฉลิมไทยกับสีลมเป็นหลัก หลงเข้ามาครั้งนึงเมื่อสักเดือนก่อนได้ เห็นคุณทนายที่รักตอบ ผมงี้บรรยายไม่ถูกเลย เขารู้ลึกรู้จริง ผมเลยแวะเข้ามาบ่อยๆ เพื่อมารออ่านที่เขาจะตอบ ไปๆ มาๆ ก็ได้ความรู้จากท่านอื่นๆ ด้วย เห็นคุณมาว่าเขาแบบนี้แล้ว ผมล่ะสมเพชคุณจริงๆ คุณต่างหากที่ไม่เข้าใจประเด็นที่เขาตอบ แล้วยังเจือกมาด่าเขาอีก . จากคุณ : TingTing - [ 1 ก.ย. 50 15:12:50 ]

ความคิดเห็นที่ 10 เลขที่หนังสือ : กค 0811/พ.ก.1479 วันที่ : 11 ตุลาคม 2543 เรื่อง : ภาษีมูลค่าเพิ่มและภาษีธุรกิจเฉพาะ กรณีการก่อสร้างอสังหาริมทรัพย์ลงบนที่ดินเช่า ข้อกฎหมาย : มาตรา 91/1(4), มาตรา 82/3 ข้อหารือ : บริษัท A. จำกัด ซึ่งเป็นผู้ประกอบการจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม โดยประกอบธุรกิจจัดเตรียม อาหารและเครื่องดื่มให้กับสายการบินนานาชาติเพื่อให้บริการผู้โดยสารที่เดินทางโดยอากาศยานที่เข้ามา ใช้บริการท่าอากาศยานกรุงเทพฯ ได้ทำสัญญาเช่าที่ดินกับการท่าอากาศยานแห่งประเทศไทยเพื่อใช้ ปลูกสร้างอาคารโภชนาการสำหรับใช้ประกอบกิจการของบริษัทฯ โดยข้อ 1(3) ของสัญญาเช่าที่ดิน ดังกล่าวกำหนดให้กรรมสิทธิ์ในอาคารและส่วนควบของอาคารที่บริษัทฯ สร้างบนที่ดินเช่าต้องตกเป็นของ กระทรวงการคลังนับตั้งแต่บริษัทฯ ได้กระทำการก่อสร้างหรือติดตั้งเป็นต้นไป บริษัทฯ เห็นว่า 1. เนื่องจากกรรมสิทธิ์ในอาคารและส่วนควบของอาคารที่บริษัทฯ สร้างบนที่ดินเช่าจะต้องตก เป็นของกระทรวงการคลังในขณะที่ก่อสร้างหรือติดตั้ง ดังนั้น ในขณะที่อาคารตกเป็นกรรมสิทธิ์ของ กระทรวงการคลัง อาคารยังไม่มีสภาพเป็นอสังหาริมทรัพย์ จึงไม่ถือว่า บริษัทฯ ได้ขายหรือโอน อสังหาริมทรัพย์ใด ๆ ให้กับกระทรวงการคลัง บริษัทฯ จึงไม่ต้องเสียภาษีธุรกิจเฉพาะ อีกทั้ง สิ่งปลูกสร้างซึ่งบริษัทฯ สร้างบนที่ดินเช่าก็สร้างเพื่อตอบแทนสิทธิการเช่า และบริษัทฯ ไม่ได้ขายทรัพย์สิน หรือให้บริการใด ๆ กับกระทรวงการคลัง บริษัทฯ จึงไม่มีหน้าที่ต้องเสียภาษีมูลค่าเพิ่มเช่นกัน 2. เนื่องจากค่าใช้จ่ายต่าง ๆ ที่บริษัทฯ ต้องจ่ายไปในการก่อสร้างอาคาร เช่น ค่าจ้าง ก่อสร้างอาคาร ค่าวัสดุอุปกรณ์ ค่าสัมภาระ เป็นค่าใช้จ่ายที่บริษัทฯ จ่ายเพื่อให้ได้มาซึ่งสิทธิการเช่าและ สิทธิการเช่าที่บริษัทฯ ได้มาก็ถูกนำมาใช้ในการประกอบธุรกิจที่อยู่ในระบบภาษีมูลค่าเพิ่มดังนั้น ภาษีมูลค่าเพิ่มที่บริษัทถูกผู้ประกอบการอื่นเรียกเก็บจากค่าใช้จ่ายเหล่านั้น จึงเป็นภาษีซื้อที่เกี่ยวข้องกับ ธุรกิจที่ต้องเสียภาษีมูลค่าเพิ่มของบริษัทฯ บริษัทฯ จึงไม่สามารถนำภาษีซื้อดังกล่าวมาหักออกจากภาษีขาย หรือขอคืนเป็นเงินสดได้ แนววินิจฉัย : 1. การก่อสร้างอสังหาริมทรัพย์ลงบนที่ดินเช่า โดยมีข้อตกลงให้กรรมสิทธิ์ในอสังหาริมทรัพย์ นั้นตกเป็นของเจ้าของที่ดินในทันทีที่ลงมือก่อสร้างหรือเมื่อก่อสร้างเสร็จสมบูรณ์ เข้าลักษณะเป็น การขายอสังหาริมทรัพย์เป็นทางค้าหรือหากำไร ตามมาตรา 91/1(4) และมาตรา 91/2(6) แห่ง ประมวลรัษฎากร ซึ่งความรับผิดในการเสียภาษีธุรกิจเฉพาะมีดังนี้ 1.1 ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2535 ถึงวันที่ 30 มกราคม 2542 ผู้ประกอบการมีหน้าที่เสีย ภาษีธุรกิจเฉพาะในอัตราร้อยละ 3.0 ของราคาอสังหาริมทรัพย์ดังกล่าว ตามมาตรา 91/6(3) แห่ง ประมวลรัษฎากร โดยความรับผิดในการเสียภาษีเกิดขึ้นทันทีที่มีการส่งมอบอสังหาริมทรัพย์ 1.2 ตั้งแต่วันที่ 31 มกราคม 2542 เป็นต้นไป เนื่องจากการโอนกรรมสิทธิ์ใน อสังหาริมทรัพย์ให้เจ้าของที่ดินในทันทีที่ลงมือก่อสร้างหรือเมื่อก่อสร้างเสร็จสมบูรณ์ ไม่ต้องจดทะเบียน สิทธิและนิติกรรมต่อเจ้าพนักงานที่ดิน ผู้ประกอบการจึงไม่มีหน้าที่เสียภาษีธุรกิจเฉพาะ ทั้งนี้ ตามมาตรา 91/8 วรรคสาม แห่งประมวลรัษฎากร ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติม ประมวลรัษฎากร (ฉบับที่ 34) พ.ศ. 2541 ประกอบกับมาตรา 4 แห่งพระราชกฤษฎีกาฯ (ฉบับที่ 342) พ.ศ. 2541 2. สัญญาเช่าที่ดินที่ 4-02/2538 ลงวันที่ 13 พฤศจิกายน 2538 ระหว่างการท่าอากาศยาน แห่งประเทศไทย กับ บริษัท A. จำกัด เข้าลักษณะเป็นสัญญาต่างตอบแทนชนิดพิเศษนอกเหนือจาก สัญญาเช่าธรรมดา ตามมาตรา 537 แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ โดยปรากฏข้อเท็จจริงว่า การก่อสร้างอาคารและส่วนควบของอาคารที่บริษัทฯ สร้างลงบนที่ดินเช่าเสร็จสมบูรณ์ในปี พ.ศ. 2541 ดังนั้น การโอนกรรมสิทธิ์ในอาคารและส่วนควบของอาคารที่บริษัทฯ สร้างลงบนที่ดินเช่าให้ กระทรวงการคลังตามข้อเท็จจริงข้างต้น เข้าลักษณะเป็นการขายอสังหาริมทรัพย์เป็นทางค้าหรือหากำไร ตามมาตรา 91/1(4) และมาตรา 91/2(6) แห่งประมวลรัษฎากร บริษัทฯ จึงมีหน้าที่เสีย ภาษีธุรกิจเฉพาะในอัตราร้อยละ 3.0 ของราคาอาคารและส่วนควบของอาคารดังกล่าว ตามมาตรา 91/6(3) แห่งประมวลรัษฎากร ประกอบกับมาตรา 3(5) แห่งพระราชกฤษฎีกาฯ (ฉบับที่ 244) พ.ศ. 2534 โดยความรับผิดในการเสียภาษีเกิดขึ้นทันทีที่มีการส่งมอบอาคารและส่วนควบของอาคารตามสัญญา 3. บริษัทฯ ไม่มีสิทธินำภาษีซื้อจากการปลูกสร้างอาคารและส่วนควบของอาคาร ดังกล่าวไป หักออกจากภาษีขายในการคำนวณภาษีมูลค่าเพิ่ม ตามมาตรา 82/3 แห่งประมวลรัษฎากร ทั้งนี้ ตาม มาตรา 82/5(6) แห่งประมวลรัษฎากร ประกอบกับข้อ 2(3) ของประกาศอธิบดีกรมสรรพากร เกี่ยวกับภาษีมูลค่าเพิ่ม (ฉบับที่ 42) เรื่อง การกำหนดภาษีซื้อที่ไม่ให้นำไปหักในการคำนวณ ภาษีมูลค่าเพิ่ม ตามมาตรา 82/5(6) แห่งประมวลรัษฎากร ลงวันที่ 29 ธันวาคม พ.ศ. 2535 เลขตู้ : 63/29893 จากคุณ : ไกลปืนเที่ยง (uthai_y) - [ 1 ก.ย. 50 22:05:09 ]

ความคิดเห็นที่ 11 อ้าว เริ่มมีคนเข้าใจประเด็นที่ผมต้องการจะสื่อแล้วครับ ต้องขอบคุณคุณไกลปืนเที่ยงที่อุตส่าห์ไปค้นข้อหารือจากเว็บกรมสรรพากรมาให้ดูกัน และต้องขออภัยที่ผมตอบแบบไม่ละเอียดไว้ในกระทู้เดิม เลยทำให้คุณธนพลสงสัยและเดือดร้อนจนถึงมาตั้งเป็นกระทู้ใหม่ ที่จริงช่วงนี้ ผมก็รู้สึกเฉื่อยชาไม่ค่อยอยากพิมพ์ตอบกระทู้ในห้องนี้ซักเท่าไหร่ จึงได้พิมพ์เอาไว้สั้นๆ แค่นั้นโดยหวังว่าอาจจะสะกิดต่อมสงสัยของเจ้าของกระทู้เดิม เผื่อว่าถ้าเค้าสงสัย ผมจะได้อธิบายเพิ่ม แต่ถ้าเค้าไม่สงสัยและหายต๋อมไป ไม่มีฟี๊ดแบ็กกลับมา ก็ดีไป ผมก็จะได้ไม่ต้องเสียเวลาพิมพ์อธิบายให้เมื่อย แต่กลายเป็นว่าคนที่สงสัยกลับกลายมาเป็นคุณแทน ก็เอาเถอะครับ ถือว่าผมจะสงเคราะห์เป็นวิทยาทานให้ก็แล้วกัน ไม่คิดค่าวิชาหรอก (ที่จริงถ้าคุณธนพลสงสัย ก็อาจจะใช้วิธีง่ายๆ แบบคุณไกลปืนเที่ยงได้โดยไม่ต้องถามผมด้วยซ้ำ คือเพียงแค่เข้าไปในเว็บของกรมสรรพากรแล้วพิมพ์คำสำคัญลงไปในช่องหารูลลิ่ง เช่น คำว่า “สัญญาเช่าที่ดิน + ภาษีซื้อ” เท่านี้ก็จะได้รูลลิ่งออกมาอธิบายง่ายๆ แล้วครับ) ที่ผมโพสต์คำแนะนำไปในกระทู้เดิมว่าให้ไปดูเงื่อนไขในสัญญาเช่าให้ดีๆ มิฉะนั้นภาษีซื้ออาจจะกลายเป็นภาษีซื้อต้องห้ามไปทั้งหมด ตรงนี้ ผมไม่ได้พิมพ์ผิดหรอกนะครับ  ผมบอกว่าให้ไปดูสัญญาเช่าก็คือให้ไปดูสัญญาเช่า ไม่ใช่สัญญาก่อสร้าง และก็ไม่ใช่ให้ไปนั่งส่องใบกำกับภาษีว่ามีจุดผิดพลาดตรงไหน เพราะนั่น ผมมองว่าเป็นเรื่องเบสิคที่นักบัญชีส่วนใหญ่ควรจะต้องรู้อยู่แล้ว เว้นแต่คุณจะจ้างนักบัญชีที่ไร้ประสบการณ์ อันนั้นก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง ประเด็นของเจ้าของกระทู้เดิมเป็นเรื่องเช่าที่ดินมาเพื่อก่อสร้างสิ่งปลูกสร้างลงไปและจะประกอบธุรกิจร้านอาหารในรูปบริษัทจำกัด ซึ่งการประกอบธุรกิจร้านอาหารเป็นกิจการที่สามารถจดเข้าสู่ระบบภาษีมูลค่าเพิ่มได้ และเมื่อมีฐานะเป็นเป็นผู้ประกอบการจดทะเบียนในระบบ vat แล้ว การก่อสร้างอาคารเพื่อใช้เป็นร้านอาหารก็ย่อมขอคืนภาษีซื้อได้แน่นอนเพราะเป็นภาษีซื้อที่เกี่ยวข้องกับการประกอบกิจการโดยตรง ตรงนี้ไม่มีใครเถียงและไม่มีประเด็นที่ต้องให้เถียง แต่จุดสำคัญที่ทุกคนไม่ว่าจะเป็นนักบัญชีหรือนักกฎหมายท่านอื่นอาจจะมองข้ามไปก็คือ “เงื่อนไขในสัญญาเช่า” ที่อาจจะทำให้ภาษีซื้อตามสัญญาก่อสร้างกลายเป็นภาษีซื้อต้องห้ามไปทั้งหมด สัญญาเช่าที่ดินแบบนี้ หรือที่เรียกกันว่า “สัญญาเช่าสร้าง” และเงื่อนไขในสัญญาเช่าสร้างที่ผมหมายถึง ก็คือ ข้อกำหนดหรือเงื่อนไขในการโอนกรรมสิทธิ์ในสิ่งปลูกสร้างหรืออาคารที่ผู้เช่าก่อสร้างลงไว้ในที่ดินของผู้ให้เช่าว่าจะโอนกันเมื่อไหร่ ซึ่งปกติก็จะมีการกำหนดระยะเวลาโอนอยู่ 2 วิธี คือ 1. โอนกรรมสิทธิ์ไปยังผู้ให้เช่าทันทีเมื่อก่อสร้างแล้วเสร็จ หรือ 2. โอนเมื่อสัญญาเช่าสิ้นสุดลง ความสำคัญมันอยู่ตรงนี้แหละครับ ภาษีซื้อของสิ่งก่อสร้างจะกลายเป็นภาษีซื้อต้องห้ามหรือไม่ก็อยู่ที่ว่าเงื่อนไขของสัญญาเช่าสร้างกำหนดให้โอนกรรมสิทธิ์สิ่งปลูกสร้างกันเมื่อไหร่ นอกจากจะไปกระทบเรื่องภาษีซื้อแล้ว เงื่อนไขการโอนในสัญญาเช่านี้ยังมีผลกระทบไปถึงรูปแบบการหักค่าเสื่อมของสิ่งก่อสร้างอีกด้วยว่าจะหักค่าเสื่อมทางภาษีได้ในประเภทใดและในอัตราเท่าไหร่ สรุปคือกระทบ 2 เด้ง ถ้าพลาดก็พลาดถึง 2 เด้งนะครับ (เดี๋ยวมีต่อ รอละครน้องเหมียวเขี้ยวเพชรจบก่อนครับ) แก้ไขเมื่อ 02 ก.ย. 50 02:08:06 แก้ไขเมื่อ 02 ก.ย. 50 01:50:18 จากคุณ : ช่างเขาเถอะ (ทนายที่รัก) - [ 1 ก.ย. 50 22:35:11 ]

ความคิดเห็นที่ 12 เงื่อนไขของสัญญาเช่าที่ผมบอกให้ไปดู 1. ถ้าสัญญาเช่ากำหนดเงื่อนไขให้โอนกรรมสิทธิ์ในสิ่งก่อสร้างไปให้ผู้ให้เช่าทันทีเมื่อสร้างเสร็จ ผล ภาษีซื้อจากการก่อสร้างอาคารทั้งหลังจะกลายเป็นภาษีซื้อต้องห้ามไปในทันทีตามประกาศอธิบดีเกี่ยวกับภาษีมูลค่าเพิ่ม (ฉบับที่ 42) ข้อ 2 (4) ถ้าคุณหรือนักบัญชีของคุณไม่ทราบตรงจุดนี้ คุณหรือนักบัญชีก็จะใช้ภาษีซื้อนั้นหักจากภาษีขายหรือขอคืนภาษีซื้อจากกรมสรรพากรโดยไม่รู้ว่ามันเป็นภาษีซื้อต้องห้าม ฉะนั้น นอกจากคุณจะไม่ได้ภาษีซื้อคืนแล้ว คุณยังจะโดนเบี้ยปรับอีก 1 เท่าของตัวภาษีและถ้าการใช้ภาษีซื้อนั้นไปกระทบต่อภาษีขายของเดือนนั้นให้ลดต่ำลง ก็จะมีเงินเพิ่มอีก 1.5% ต่อเดือน ส่วนการหักค่าเสื่อมของตัวอาคารนั้น คุณก็จะต้องหักในประเภทของต้นทุนเพื่อการได้มาซึ่งสิทธิการเช่าซึ่งจะหักตามระยะเวลาของสัญญาเช่า ไม่ใช่ไปหัก 5% ในประเภทอาคารถาวร สมมุติว่าสัญญาเช่ามีกำหนด 30 ปี ดังนั้นอัตราค่าเสื่อมที่จะมีสิทธิ์หักได้ก็คือไม่เกิน 3.33% ต่อปีเท่านั้น แต่ถ้านักบัญชีของคุณไม่เข้าใจตรงจุดนี้ ก็อาจจะไปหักที่ 5% โดยนึกว่าเป็นอาคารถาวร ซึ่งจะทำให้ใช้ค่าเสื่อมทางภาษีเกินไป 2. ถ้าสัญญาเช่ากำหนดเงื่อนไขให้โอนกรรมสิทธิ์ในสิ่งก่อสร้างไปให้ผู้ให้เช่าเมื่อสิ้นสุดระยะเวลาการเช่าแล้ว (หรืออย่างน้อยให้เกิน 3 ปีนับจากเดือนที่ก่อสร้างอาคารเสร็จสมบูรณ์) ผล ภาษีซื้อนั้นก็ไม่ใช่ภาษีซื้อต้องห้ามแล้ว คุณมีสิทธิ์ใช้ภาษีซื้อนั้นหักจากภาษีขายได้ หรือขอคืนตัวภาษีซื้อเป็นเงินสดจากกรมสรรพากรได้ ส่วนการหักค่าเสื่อมของอาคารนั้น คุณก็ต้องหักในประเภทของอาคารถาวร คือไม่เกิน 5% ต่อปี ไม่ใช่หักในรูปของต้นทุนเพื่อการได้มาซึ่งสิทธิการเช่า ฉะนั้น สมมุติว่าสัญญาเช่ามีกำหนด 10 ปี คุณก็ไม่มีสิทธิหักค่าเสื่อมในอัตรา 10% แต่จะหักได้ไม่เกิน 5% เท่านั้น เรื่องที่ผมอธิบายมานี้ ที่จริงเป็นเรื่องของการวางแผนภาษีที่ควรจะวางแผนตั้งแต่ต้นเพราะสัญญาเช่าอสังหาฯ นั้น ถ้าเช่ากันเกิน 3 ปีก็จะต้องนำสัญญาไปจดทะเบียนต่อเจ้าหน้าที่ด้วย ซึ่งถ้าเลยจุดนั้น ก็จะแก้ไขกันลำบากแล้ว และผมไม่แน่ใจว่าเรื่องนี้จะปรึกษาแต่สำนักงานบัญชีแต่เพียงอย่างเดียวจะเข้าใจหรือเปล่า หรือเค้าจะรู้หรือเปล่าว่าจุดสำคัญที่ควรต้องมองคือจุดไหน เพราะลำพังการเข้าเว็บกรมสรรพากรแล้วคีย์คำสำคัญเพื่อค้นข้อมูล ใครก็ทำได้ แต่บางทีถ้าเราไม่รู้ว่าจะต้องค้นหาตรงจุดไหนเป็นพิเศษ ก็จะทำให้ไม่รู้ว่าคำไหนที่เป็นคำสำคัญ ซึ่งคำสำคัญของเรื่องนี้ก็คือ “สัญญาเช่า” ไม่ใช่ “สัญญาก่อสร้าง” นอกจากจะใช้ความรู้นี้ในการวางแผนภาษีในสัญญาเช่าสร้างได้แล้ว ก็ยังสามารถใช้กับสัญญาสัมปทานในโครงการสาธารณูปโภคของรัฐได้อีกด้วย เช่นถ้าจะต้องสร้างสิ่งปลูกสร้างลงไปในที่ดินของรัฐ แล้วเราได้สิทธิในการดำเนินกิจการสาธารณูปโภคเป็นเวลาหลายสิบปี ซึ่งก็จะมีรูปแบบของสัญญาเช่น BTO (build-transfer-operate) หรือจะเป็น BOT (build-operate-transfer) เราอยากจะให้สัญญาออกมาในลักษณะไหน เช่นถ้าสร้างทางด่วนมูลค่า 2 หมื่นล้าน เฉพาะตัวภาษีซื้อก็จะเท่ากับ 1.4 พันล้านแล้ว เราอยากจะได้คืนหรือเปล่าหรืออยากจะเสียไปฟรีๆ ถ้าสัญญาสัมปทานกำหนดให้โอนสิ่งก่อสร้างไปทันทีนับแต่สร้างเสร็จ ภาษีซื้อก็จะกลายเป็นภาษีต้องห้ามไปทั้ง 1.4 พันล้านบาททันที ซึ่งนอกจากเราจะไม่ได้ภาษีซื้อคืนแล้ว ถ้านักบัญชีของเราพลาดไปใช้ภาษีซื้อเข้า ก็อาจจะต้องเสียเบี้ยปรับอีก 1.4 พันล้านให้แก่กรมสรรพากรด้วย  ฉะนั้น ถ้าเราอยากได้ภาษีซื้อคืน เราก็ต้องเจรจาต่อรองให้สัญญาออกมาในลักษณะที่เป็น BOT คือจะโอนไปต่อเมื่อครบกำหนดสัญญาสัมปทานแล้ว หรืออย่างน้อยก็ให้พ้นระยะเวลา3 ปีนับแต่เดือนภาษีที่สร้างเสร็จสมบูรณ์เสียก่อน อันนี้คือหน้าที่ของทนายที่ทำหน้าที่ร่างสัญญาซึ่งควรจะต้องรู้เรื่องภาษีด้วย เพราะถ้าทนายของคุณไม่รู้ ก็จบเห่กันทันที อันนี้เป็นข้อพึงสังวรณ์ (หมายเหตุ:  ผมอาจจพูดผิดไปหน่อยที่บอกว่าเสียฟรี คือภาษีซื้อที่กลายเป็นภาษีซื้อต้องห้ามเนื่องจากการโอนสิ่งก่อสร้างไปทันทีนั้น เนื่องจากมันเป็นภาษีซื้อต้องห้ามตามมาตรา 82/5 (6) ดังนั้นเราจึงมีสิทธินำตัวภาษีซื้อที่ต้องห้ามนี้ไปรวมกับต้นทุนของอาคารหรือสิ่งปลูกสร้างเพื่อหักค่าเสื่อมได้ ซึ่งจะทำให้เราได้ tax benefit เพียงแค่ 30% ของตัวภาษีซื้อเท่านั้นซึ่งต้องทยอยหักไปเรื่อยในรูปของค่าเสื่อม แทนที่จะได้ตัวภาษีซื้อคืน 100% ทันที แก้ไขเมื่อ 02 ก.ย. 50 02:13:50 แก้ไขเมื่อ 02 ก.ย. 50 01:44:37 จากคุณ : ช่างเขาเถอะ (ทนายที่รัก) - [ 2 ก.ย. 50 01:31:38 ]

ความคิดเห็นที่ 13 นับถือ นับถือ ขอคารวะ จากคุณ : ไกลปืนเที่ยง (uthai_y) - [ 2 ก.ย. 50 09:55:33 ]

ความคิดเห็นที่ 14 ผมไม่ได้อ่านกระทู้ต้นเหตุน่ะ แต่เข้ามาให้กําลังใจ พี่ทนายที่รัก ซึ่งผมอยากจะบอก จขกท นิดนึงว่า คนเราไม่มีใครรู้อะไรไปทุกเรื่องและไม่มีใครรู้อะไรเป๊ะๆ การที่คนตอบเขาตอบไปเพราะตอนนั้นเขาอาจจะเชื่อว่าเขารู้แบบนั้น ซึ่งเจตนาก็คือมาตอบให้คนที่ถามส่วนจะผิดจะถูกมากน้อยขนาดไหนแต่นั่นก็คือน้ำใจ ซึ่งมันไม่เห็นจะเป็นการโชว์powตรงไหน ถ้าคุณเห็นว่ามันผิดคุณก็เสริม หรือถกเถียงกัน ผมว่าคนที่โชว์พาวคือคุณมากกว่า แถมใช้คําที่ไร้มารยาทมากๆ ทั้งๆที่คุณก็ไม่ได้เสียตังให้คนที่มาตอบเลยซักบาท ถ้าคุณจ้างคนค่าตัวระดับแสนแล้วเขาไม่รู้ค่อยมาใช้คํานี้ ถ้าจ้างคนค่าตัวระดับไม่กี่บาทก็ความรู้ตามราคาครับ ปล.ขออนุญาติก๊อปข้อวามของพี่ทนายที่รักน่ะครับเอาไว้อ่านทบทวนความจํา เป็นอีกเรื่องที่ทําให้ผมได้ความรู้มาก ขอบคุณครับ จากคุณ : กระบี่เก้าสําเนียง - [ 2 ก.ย. 50 15:50:17 ]

ความคิดเห็นที่ 15 ขอเรียนท่านอื่นๆ ที่ไม่ใช่คุณทนายที่รักครับ กฎหมาย (โดยเฉพาะภาษี) เป็นเรื่องที่เข้าใจผิดไม่ได้ การอธิบายผิดจะเกิดผลเสีย เบี้ยปรับ เงินเพิ่ม เกิดขึ้นทันที จะมาบอกว่าไม่เสียเงิน ดังนั้นจะตอบตามความเข้าใจ (ที่อาจจะผิด) โดยที่รู้ไม่จริงไม่ได้ ถ้าไม่รู้จริงก็ควรออกตัวให้กับผู้รับสารว่า อันนี้ไม่ชัวร์ ทนายหรือนักกฎหมายส่วนใหญ่มักไม่ค่อยรู้ลึกในเรื่องภาษี เนื่องจากมีโอกาสได้สัมผัสน้อยเมื่อเทียบกับกฎหมายแพ่งฯ หรือ อาญาฯ แต่คุณทนายที่รักเป็นบุคคลที่แปลก คือรู้ลึกทั้งสองด้าน ผมทำงานทางด้านภาษีอยู่ ก็ได้ความรู้จากคุณทนายที่รักไม่น้อย หลายๆ ประเด็นที่เคยสงสัยก็หายสงสัยเพราะคุณทนายที่รักนี่แหละ ผมเห็นด้วยกับความเห็นที่ว่า พื้นฐานทางด้านภาษีมีส่วนสำคัญอย่างมาก ในการที่จะเข้าใจในคำอธิบาย ผมในฐานะคนทำงานด้านภาษี เวลาอ่านความเห็นของแต่ละคน ก็พอจะรู้ว่าคำตอบที่ได้มา น่าเชื่อถือหรือไม่ ลองสังเกตุคุณทนายที่รักตอบสิครับ เขาอ้างข้อกฎหมายได้ตลอด ไม่มีการยกเอาความรู้สึกมาพูด ใช้หลักการตลอด อย่างนี้ถึงจะน่าเชื่อถือครับ ผมคนนึงหล่ะ ที่รู้สึกได้ว่าคุณทนายที่รัก รู้จริงครับ แต่ผมก็อยากขอร้องท่านอื่นๆ ที่ไม่แน่ใจในคำตอบ กรุณาออกตัวด้วยว่า เป็นการตอบตามความรู้สึก หรือถ้ามั่นใจ ก็อ้างข้อกฎหมายออกมาเลย เพราะผมเชื่อเหลือเกินว่า การอ้างอิงข้อกฎหมาย ทำให้เกิดการเรียนรู้ จะไม่เกิดการละไว้ในฐานที่ไม่เข้าใจ ซึ่งมันเป็นบาปนะครับ ที่ทำให้คนเข้าใจผิดแล้วเกิดความเสียหาย และอีกอย่าง การอ้างอิงข้อกฎหมาย ต่อให้ผิดก็จะมีคนออกมาเถียง ซึ่งก็จะทำให้ได้ข้อสรุปที่ถูกต้องในที่สุดครับ อาจารย์ที่สอนภาษีผม ก็พูดว่าเรียนภาษีมันต้องเถียง ซึ่งก็หมายถึงเถียงกันในข้อกฎหมายครับ ไม่ใช่เถียงกันด้วยทิฐิที่จะเอาชนะคะคานกัน แต่เถียงให้ได้ความรู้ความเข้าใจร่วมกัน อย่างที่ภาษาอังกฤษเขาเรียกว่า second opinion ครับ จากคุณ : ยืม login แฟนมาตอบ (กาแฟขม) - [ 3 ก.ย. 50 00:33:53 ]

ความคิดเห็นที่ 16 จขกท. เป็นคนที่แย่มาก มาโพสถามเขา เขาตอบให้ฟรีๆยังจะว่าเขาอีก ผมว่าเพราะนิสัยคุณเป็นแบบนี้มากกว่า เลยไม่มีใครอยากตอบคำถาม พิจารณาตนเองก่อนเถิดค่อยว่าคนอื่นเขาน่ะ เห็นใจนักกฏหมายนิดนึงครับ มันมิใช่เรื่องง่าย จากคุณ : MitJung - [ 3 ก.ย. 50 09:11:17 ]

ความคิดเห็นที่ 17 กระทู้นั้น  ผมเข้าใจว่า คุณทนายที่รัก เขาหมายถึง ภาษีซื้อที่มากับการก่อสร้างนะครับ  ให้ระวังให้ดี  ไม่ได้หมายถึง  ภาษีซื้อจากการเช่าที่ดิน   หากใครที่พอมีความรู้ด้านบัญชี ภาษี จะทราบดีเลยครับว่าคุณทนายที่รักเขาให้ระวังในจุดไหน  คุณเจ้าของกระทู้ เวลาอ่าน ก็อ่านให้ละเอียดนะครับ อย่างไรก็ตาม จากความเห็นที่ 12 ข้อ 1 ของคุณทนายที่รัก  อาจทำให้งงต่อไปอีกเล็กน้อย .................... 1. ถ้าสัญญาเช่ากำหนดเงื่อนไขให้โอนกรรมสิทธิ์ในสิ่งก่อสร้างไปให้ผู้ให้เช่าทันทีเมื่อสร้างเสร็จ ผล ภาษีซื้อจากการก่อสร้างอาคารทั้งหลังจะกลายเป็นภาษีซื้อต้องห้ามไปในทันทีตามประกาศอธิบดีเกี่ยวกับภาษีมูลค่าเพิ่ม (ฉบับที่ 42) ข้อ 2 (4) ถ้าคุณหรือนักบัญชีของคุณไม่ทราบตรงจุดนี้ คุณหรือนักบัญชีก็จะใช้ภาษีซื้อนั้นหักจากภาษีขายหรือขอคืนภาษีซื้อจากกรมสรรพากรโดยไม่รู้ว่ามันเป็นภาษีซื้อต้องห้าม ฉะนั้น นอกจากคุณจะไม่ได้ภาษีซื้อคืนแล้ว คุณยังจะโดนเบี้ยปรับอีก 1 เท่าของตัวภาษีและถ้าการใช้ภาษีซื้อนั้นไปกระทบต่อภาษีขายของเดือนนั้นให้ลดต่ำลง ก็จะมีเงินเพิ่มอีก 1.5% ต่อเดือน ส่วนการหักค่าเสื่อมของตัวอาคารนั้น คุณก็จะต้องหักในประเภทของต้นทุนเพื่อการได้มาซึ่งสิทธิการเช่าซึ่งจะหักตามระยะเวลาของสัญญาเช่า ไม่ใช่ไปหัก 5% ในประเภทอาคารถาวร สมมุติว่าสัญญาเช่ามีกำหนด 30 ปี ดังนั้นอัตราค่าเสื่อมที่จะมีสิทธิ์หักได้ก็คือไม่เกิน 3.33% ต่อปีเท่านั้น แต่ถ้านักบัญชีของคุณไม่เข้าใจตรงจุดนี้ ก็อาจจะไปหักที่ 5% โดยนึกว่าเป็นอาคารถาวร ซึ่งจะทำให้ใช้ค่าเสื่อมทางภาษีเกินไป ............................. ในทางบัญชี หากตีความได้ว่า  สิ่งปลูกสร้างนั้นเป็นสัญญาเช่าระยะยาวแล้ว   เขาก็จะไม่ลงบันทึกเป็นอาคารครับ   เขาจะลงบันทึกโดยใช้ชื่อบัญชีว่า สิทธิการเช่าระยะยาว ซึ่งเขาจะไม่ใช้คำว่าค่าเสื่อมราคา (Depreciation)  เขาจะใช้คำว่า ตัดจ่าย ( Amortisation ) ไปตามอายุสัญญา  และหากมีส่วนปรับปรุงสิทธิการเช่าระยะยาว ก็ตัดจำหน่าย หรือ ตัดค่าเสื่อมได้ตามประเภทของรายการปรับปรุงนั้น หากนักบัญชีมีความเข้าใจในจุดนี้ตั้งแต่แรก  ก็จะไม่มีความสับสนเรื่อง อัตราร้อยละของการตัดจ่าย หรือ อัตราร้อยละของการคิดค่าเสื่อมราคา อย่าว่าแต่ นักกฎหมายไม่ค่อยรู้เรื่องภาษีเลยครับ นักบัญชีก็สับสนเช่นกัน  ดังนั้น  ใครที่มีความรู้ทั้งสองด้านจะได้เปรียบเป็นอันมาก และผมก็เชื่อว่า  คุณทนายที่รัก เป็นข้อยกเว้น เพราะมีความรู้อย่างดีทั้งสองด้าน  น่าจะอยู่ในข่ายของ ที่ปรึกษาด้านภาษีที่มีความรู้ความสามารถอย่างแท้จริง จริงๆแล้ว กระทู้ที่มีการตอบคำถามจากนักกฎหมายหลายๆท่าน  รวมถึงกระทู้นี้  หากแต่ละคน ใจกว้าง ยอมเปิดใจ รับฟังความเห็นในหลายๆแง่มุม  อย่าไปคิดว่าเป็นการจับผิดกัน  ก็จะได้ความรู้มากครับ  ยกตัวอย่าง คุณทนายที่รัก เขาพูดให้ระวังเรื่องภาษีซื้อจากสัญญาเช่า  หากคุณตั้งหน้าตั้งตาจับผิด ก็จะได้รับความรู้แค่ว่า สัญญาเช่าที่ดินไม่มีภาษีซื้อ  แล้วก็คิดว่าคุณทนายที่รักเขาพูดผิด    แค่เปลี่ยนคำพูด โดยการที่คุณสงสัยเรื่องภาษีซื้อจากสัญญาเช่าที่ดิน  เป็นการสอบถามเพิ่มเติม   คุณก็จะได้รับความรู้เพิ่มขึ้นอีกมากมาย และหวังว่า คุณทนายที่รัก คงไม่เข้าใจว่า ผมเข้ามาจับผิดเรื่องคำพูดนะครับ   จำได้ว่า  เคยถกกันมารอบนึงแล้ว  บางที การแย้ง  การให้รายละเอียดเพิ่ม ก็อาจทำให้เข้าใจผิดกันไปได้ จากคุณ : ลูกแม่โดม - [ 3 ก.ย. 50 09:34:46 ]

ความคิดเห็นที่ 18 ผมก็เรียนภาษีมาเหมือนกัน ... แก็ไม่ค่อยชอบวิชานี้  เอพราะมันเป็นเรื่องค่อยข้างจะจุกจิกหยุมหยิมมาก ประมวลรัษฎากรก็เปลี่ยนบ่อย  สรรพากรพอแพ้คดีทีไร  ก็หาเรื่องเปลี่ยนกฎหมายกันเกือบทุกที ถ้าเจ้าของกระทู้คิดว่าคนเรียนกฎหมายจะรู้กฎหมายทุกอย่างดี...คุณก็เข้าใจผิดแล้วครับ ผู้พิพากษา  อัยการ เองก็เถอะ  คุณลองไปถามเถอะเรื่องภาษีอากร   อาจจะตอบไม่ถูก  หรือตอบสู้นิติกรกรมสรรพากรไม่ได้ก็ได้ เพราะเค้าไม่ได้ทำงานตรงนั้นเรื่องนั้นโดยตรง คนที่จะตอบได้ดีก็ต้องเป็นผู้พิพากษาในศาลภาษีอากร  หรือเป็นพวกอัยการฝ่ายคดีภาษีอากร กฎหมายบางอย่าง  คนที่ใช้เป็นประจำก็จะรู้ดี  รู้ลึกกว่า คนที่ไม่ค่อยได้ใช้ จากคุณ : เด็กข้างห้างฯ - [ 3 ก.ย. 50 11:53:15 ]

ความคิดเห็นที่ 19 ผมขอแย้งคุณลูกแม่โดมนิดเดียวนะครับในเรื่องประเด็นของการใช้คำ คือความจริงผมตั้งใจจะพูดถึงเรื่องประเด็นทางภาษีเท่านั้นนะครับ ซึ่งในทางภาษีจะใช้คำว่า “หักค่าเสื่อมฯ” สำหรับต้นทุนเพื่อการได้มาซึ่งสิทธิการเช่า จะไม่มีคำว่า “ตัดจ่าย” เพราะต้นทุนเพื่อการได้มาซี่งสิทธิการเช่านั้นมีบัญญัติอยู่ในมาตรา 4 (3) ของพระราชกฤษฎีกาว่าด้วยการหักค่าสึกหรอและค่าเสื่อมราคา (ฉบับที่ 145) ซึ่งใช้คำว่า “หักค่าสึกหรอและค่าเสื่อมราคา” ไม่ได้ใช้คำว่า “ตัดจ่าย” และในฉบับแปลภาษาอังกฤษ ก็ใช้คำว่า “Depreciation” ตลอด ไม่ได้ใช้คำว่า “Amortization” และในการตอบของกรมสรรพากรก็จะใช้คำว่า “หักค่าเสื่อม” ตลอด ไม่มีการใช้คำว่า “ตัดจ่าย” เช่น http://www.rd.go.th/faq_v1/src/faq_title_2.php?application_id_1=15016&application_id=15000&data_id=1279   หรืออย่างใน มติ กพอ. ครั้งที่ 7/2529 ลว. 5 มิ.ย.29 มีเนื้อหาว่า  “ห้างปลูกสร้างตึกแถวและอาคารที่จอดรถบนที่ดินของสำนักงานทรัพย์สินฯ แล้วยกกรรมสิทธิ์ให้สำนักงานฯ ทันทีโดยห้างได้รับสิทธิการเช่าตึกแถวและอาคารเป็นการตอบแทนเป็นเวลา 16 ปี นับแต่สร้างเสร็จและให้เช่าช่วงได้ ดังนี้ ........ (3) สำหรับรายจ่ายในการก่อสร้างตึกใช้เป็นสำนักงาน 2 ห้องและอาคารจอดรถเป็นรายจ่ายอันมีลักษณะเป็นการลงทุนตามมาตรา 65 ตรี (5) จึงถือเป็นรายจ่ายในการคำนวณกำไรสุทธิเพื่อการเสียภาษีเงินได้นิติบุคคลไม่ได้  แต่หักค่าเสื่อมราคาฯ ได้ในลักษณะเป็นต้นทุนเพื่อการได้มาซึ่งสิทธิการเช่าตามพระราชกฤษฎีกา 145” ตอนแรกที่อธิบายไปข้างบนนั้น ผมก็ไม่ได้ตั้งใจว่าจะพูดถึงเรื่องการหักค่าเสื่อมไว้โดยละเอียด เพียงแต่พูดคร่าวๆ เท่านั้น เพราะถ้าจะพูดกันให้ละเอียดแล้ว สิทธิการเช่าระยะยาว ก็ไม่ใช่ว่าจะหักค่าเสื่อมในทางภาษีได้ตามอายุของสัญญาเช่าเท่านั้น เพราะจะหักค่าเสื่อมได้ในอัตราใดก็จำเป็นจะต้องดูให้ละเอียดกันต่อไปอีกว่าสัญญาเช่าสร้างนั้นมีเงื่อนไขที่เปิดโอกาสให้ต่ออายุสัญญาได้ต่อไปเรื่อยๆ หรือไม่ หรือว่ามีอายุสัญญาที่จำกัดแน่นอน ถ้าเงื่อนไขนั้น (1) เปิดโอกาสให้ต่ออายุสัญญาเช่าได้ต่อๆ ไป ก็จะหักค่าเสื่อมฯ ได้ไม่เกิน 10% ต่อปีเท่านั้น เช่น ถ้าสัญญาเช่าที่ดินมีอายุ 3 ปีแต่มีเงื่อนไขให้ผู้เช่าต่อสัญญาได้อีกคราวละ 3 ปี อย่างนี้ก็จะไปหักค่าเสื่อมทางภาษีในอัตรา 33.33% ต่อปีไม่ได้ แต่หักได้ไม่เกิน 10% ต่อปีเท่านั้น (2) ถ้าสัญญาไม่มีข้อกำหนดให้ต่ออายุการเช่าได้หรือต่ออายุได้ แต่มีระยะเวลาจำกัดแน่นอน ก็ต้องหักตามอายุสัญญา เช่น สัญญาเช่ามีอายุ 20 ปี และเมื่อหมดอายุแล้ว สามารถต่ออายุไปได้อีก 20 ปีโดยใช้สิทธิต่ออายุได้เพียงครั้งเดียว อย่างนี้ก็ต้องหักตามอายุของสัญญาเช่า แก้ไขเมื่อ 03 ก.ย. 50 13:07:08 แก้ไขเมื่อ 03 ก.ย. 50 12:56:50 แก้ไขเมื่อ 03 ก.ย. 50 12:44:44 จากคุณ : ช่างเขาเถอะ (ทนายที่รัก) - [ 3 ก.ย. 50 12:42:29 ]

ความคิดเห็นที่ 20 แหมมม แหม แหม ดิชั้นเห็นมานานกระทู้นี้มานานแล้วนะคะ แต่ซุ่มรอดูอยู่ว่าคุณทนายที่รักจะปรากฎตัวมั้ย หรือจะเลวแบบเดี้ยน ปล่อยให้ผ่านไปกับสายลม ก็มันเรื่องของผู้ใหญ่นิคะ เด็กอย่างดิชั้นไม่เกี่ยว เอาเวลาไปทำสวยดีก่า เดี้ยนขอบอกเยี่ยงนี้นะคะว่า คนที่เค้าเข้ามาตอบกระทู้ เค้าไม่ได้มีหน้าที่ ความรับผิดชอบอะไรต่อใครนะคะในการตอบกระทู้ ความเห็นทางกฎหมายก็เป็นแค่ความเห็น จะถูกหรือจะผิดไม่มีใครมารับประกันได้หรอกค๊ะคุณขา แล้วแต่ละคนก็มองไปกันไปในต่างมุมมองขึ้นอยู่กับความรู้ความสามารถ ประสบการณ์ของผู้ตอบแต่ละคน ข้อเท็จจริงเปลี่ยนไปแค่ปลายก้อยก็เปลี่ยนโลกทั้งใบทางกฎหมายได้คะ คุณทนายที่รักเค้ามองในแง่ของการวางแผนภาษี ข้อควรระวังในสัญญา เค้าขับรถผ่านเลย จขกท ไปแล้ว สรุปว่า พึงสำเหนียกไว้เถอะค่ะว่า คนที่เค้าตอบเนี่ยเคยตอบด้วยเมตตา หวังให้ผู้อื่น ได้รับความรุ้โดยไม่รับสิ่งตอบแทน ทางพุทธศาสนาเรียกว่า บุญกิริยา ดังนั้น โปรดเมตตากลับคืนแก่ผู้ตอบกระทู้ด้วยเถอะนะค้า พรีสสสสสสสสสสสสสสสสส เอาละนะคะ คนสวยและโง่อย่างดิชั้นขอถกเถียงอย่างใจกว้างบ้างนะคะคุณผู้ชายขราาา >.”ในทางบัญชี หากตีความได้ว่า สิ่งปลูกสร้างนั้นเป็นสัญญาเช่าระยะยาวแล้ว เขาก็จะไม่ลงบันทึกเป็นอาคารครับ เขาจะลงบันทึกโดยใช้ชื่อบัญชีว่า สิทธิการเช่าระยะยาว ซึ่งเขาจะไม่ใช้คำว่าค่าเสื่อมราคา (Depreciation) เขาจะใช้คำว่า ตัดจ่าย ( Amortisation) ไปตามอายุสัญญา และหากมีส่วนปรับปรุงสิทธิการเช่าระยะยาว ก็ตัดจำหน่าย หรือ ตัดค่าเสื่อมได้ตามประเภทของรายการปรับปรุงนั้น หากนักบัญชีมีความเข้าใจในจุดนี้ตั้งแต่แรก ก็จะไม่มีความสับสนเรื่อง อัตราร้อยละของการตัดจ่าย หรือ อัตราร้อยละของการคิดค่าเสื่อมราคา” ดูกรพี่โดมของเดี้ยน ท่านกำลังซ้ำรอยรัก จขกท. อีกแล้วค่ะ จริงอยู่ตามมาตรฐานการบัญชีระหว่างประเทศ ฉบับที่ 7 และ 29 จะใช้คำว่า Amortization มาตรฐานไทย ฉบับที่ 17 มั้งคะ (?) แต่ตามประมวลรัษฎากรของไทยใช้คำว่า ไม่เค้ย ไม่เคยมีคำว่า “ amortize” (ค่าตัดจำหน่าย? (เดี้ยนไม่เคยเรียนภาษาไทยนะคะ โปรดอย่าประนาม)) ไม่ว่าจะในประมวลหรือกฎหมายลูกเล็กเด็กแดงฉบับไหนๆ จะมีก็แต่ Private Ruling Letter ของคนไฮโซบางคนซึ่งตอบเกี่ยวกับ การ amortize debt securities ดังนั้น พี่ทนายที่รักนั้นเค้าอ่านทะลุแล้วค่ะ ว่าต้องใช้คำว่า ค่าเสื่อมราคา เพราะเป็นคำตามประมวลรัษฎากร แล้วพี่ทนายของเดี้ยนเค้ายังใช้คำว่า หักในประเภทของต้นทุนเพื่อการได้มาซึ่งสิทธิการเช่าซึ่งจะหักตามระยะเวลาของสัญญาเช่า แทนคำว่า ต้นทุนอาคารก่อสร้าง ซึ่งเป็นคำตามกฎหมายอีกเช่นกันนะคะ สรุปได้ว่า พี่เค้าตรึกตรองดีแล้วอีกละคะว่าต้องใช้คำนี้ไม่ว่าจะเป็นบัญชี Leasehold หรือบัญชี Leasehold Improvement ที่เป็น Capital Expenditure ส่วนตั๋ว ส่วนตัว เดี๊ยนเห็นว่า ในทางบัญชีก็ทำไปสิคะ จะทำอะไรก็ทำไป แล้วค่อยมาจัสเอา อย่างเช่นนะคะ กรณีต้นทุนเพื่อการได้มาซึ่งสิทธิการเช่าหากเกิดเหตุการณ์เปลี่ยนแปลงภายหลังรายการตามงบการเงิน เช่น ถูกเวนคืน (Expropriation) การตัดจำหน่ายตามอายุการใช้งานต้องแก้ไขทันทีเพื่อสะท้อนภาพของฐานะทางการเงินให้แก่ผู้ถือหุ้นได้อย่างถูกต้อง (นี่เดี๊ยนพูดอย่างมีคุณธรรมนะคะ) หรือ เดี๊ยนจะแต่งงบการเงิน (อันนี้พูดอย่าง dark side เข้าครอบงำ) ขืนไปเอาประมวลเป็นที่ตั้งเป็นสรณะ งบการเงินคงออกมาน่าดูชม อย่างไรก็แล้วแต่ การจัตต้องตั้งอยู่บนการวางแผนและโครงสร้างของธุรกรรมที่สอดคล้องกันบนภาพใหญ่ ไม่ให้เวลาจัตตามการบัญชีภาษีอากรแล้วมันออกมาคนละเรื่องคนละราวเท่านั้นแหละคะ “และหวังว่า คุณลูกแม่โดม คงไม่เข้าใจว่า ผมเข้ามาจับผิดเรื่องคำพูดนะครับ จำได้ว่า เราไม่เคยถกกันมาเลย บางที การแย้ง การให้รายละเอียดเพิ่ม ก็อาจทำให้เข้าใจผิดกันไปได้” เดี้ยนยังรักทุกคนเหมือนเดิมนะคะ จากคุณ : ฟ่องนภา ฟ้านำพรชุติมตา - [ 3 ก.ย. 50 13:37:40 A:24.136.23.177 X: ]

ความคิดเห็นที่ 21 ว๊ายยยย เดี๊ยนพิมพ์ไปกินไปอยู่เป็นชั่วโมง พี่ทนายกับเด็กข้างห้องมาตัดหน้าเดี๊ยนซะแล้ว แบบว่าเป็นเพราะพี่โดมนะคะ หนูถึงมาตอบไม่งั้นหรอ ชิส์ ผ่านไปนานแล้ว To ข้างห้องค่ะ “ประมวลรัษฎากรก็เปลี่ยนบ่อย สรรพากรพอแพ้คดีทีไร ก็หาเรื่องเปลี่ยนกฎหมายกันเกือบทุกที ถ้าเจ้าของกระทู้คิดว่าคนเรียนกฎหมายจะรู้กฎหมายทุกอย่างดี...คุณก็เข้าใจผิดแล้วครับ” ประมวลรัษฎากรไม่ว่าในโลกไหนเดินด้วยระบบเดียวกันคะ คือ Loophole ทุกครั้งที่แพ้คดี สิ่งที่ต้องทำคือ การแก้กฎหมาย หาช่องทางปิดช่องว่างทางกฎหมาย ถ้าเทียบกับประเทศอย่างเนเธอร์แลนด์หรืออเมริกาแล้ว เค้าแทบจะแก้กันเคสรายเคสเลย เร็วกว่าเรามากมาย ยื่งในระบบ Case Law แล้วในแต่ละเคสที่ขึ้นสู่ Supreme Court of Justice สรรพากรมักแพ้ค่ะ แล้วก็ต้องมานั่งออกกฎหมายใหม่เรื่องทามมะดา จากคุณ : ฟ่องนภา ฟ้านำพรชุติมตา - [ 3 ก.ย. 50 13:51:18 A:24.136.23.177 X: ]

ความคิดเห็นที่ 22 พี่ทนายขรา หนูหมั่นไส้พี่ม๊ากมากที่พี่ตัดหน้าหนูแถมยังมีมติ กพอ พ่วงท้ายด้วย หนูจึงขอตั้งคำถามลับสมองประลองปัญญานิดส์นึงค์ ปุจฉา มี กพอ เป็นกฎหมายเป่าค้า ปุจฉา หนูนะมีสัญญาเช่าแบบที่พี่ว่าอยู่อันนึงค์ อายุสัญญาเช่าแค่ 8 ปี หนูตัดจ่ายไปแล้วสองปี ปรากฎว่าเกิดวิกฤติเศรษฐกิจปี 2553 หนูถูกข่มขืนใจให้เข้าสู่กระบวนการปรับปรุงโครงสร้างหนี้ โดยมีบรรดากองเจ้าหนี้และทรัสตีใจร้ายบีบบังคับให้หนูจำเป็นต้องทำการด้อยค่าของสินทรัพย์ลง ซึ่งก็คือ สัญญาเช่าอาคารทำเลทองแห่งนั้นเอง เพื่อคุ้มหัวพวกมัน กรณีเยี่ยงนี้ หนูจะตัดจ่ายในปีที่เหลืออย่างไร และหนูจะเอาด้อยค่ามาลงได้หรือไม่อะคะ จากคุณ : ฟ่องนภา ฟ้านำพรชุติมตา - [ 3 ก.ย. 50 14:45:00 A:24.136.23.177 X: ]

ความคิดเห็นที่ 23 ^ ^ ขอบคุณที่ให้ความรู้ครับ...เอ่อ...จริงๆชื่อผมคือ เด็กข้างห้างฯ ครับ "ข้างห้อง" ...ฟังแล้วมันจั๊กกะจี้   เหมือนพวกถ้ำมองยังไงๆไม่รู้สิ...555 จากคุณ : เด็กข้างห้างฯ - [ 3 ก.ย. 50 15:49:08 ]

ความคิดเห็นที่ 24 คุณฟ่องนภา ตั้งสติดีๆครับ ก่อนจะตอบ   ผมหมายถึงว่า  หากนักบัญชีรู้จักจำแนกแยกแยะแล้วว่า   มันไม่ใช่ค่าเสื่อมราคา  มันเป็นรายการตัดจ่าย   ก็จะไม่สับสน และรู้ว่า มันต้องตัดจ่ายไปตลอดอายุสัญญาเช่า   ผมก็พูดชัดนะครับว่า ในทางบัญชี  เขาไม่เรียกค่าเสื่อมราคา   ผมกำลังชี้ทางว่า  สิ่งที่คุณทนายที่รักเขาพูดนั่นถูกต้อง แต่อาจสร้างความสับสน เมื่อเราไปอิงกับคำว่า ค่าเสื่อมราคา    เพราะฉะนั้น รายการนี้แตกแรก หากนักบัญชี  ย้ำนะครับ ว่า นักบัญชี  รู้ว่า มันคือสิทธิการเช่าระยะยาว   คำว่า อัตราร้อยละของค่าเสื่อมราคาจะไม่อยู่ในหัวเลย  และจะได้บันทึกไม่ผิดพลาด พอเข้าใจผมมั้ยครับ คุณฟ่องนภาฯ   คุณทนายฯ เขามองในแง่มุมกฎหมายครับ  ผมมองในแง่มุมบัญชี   คำพูดหลายอย่างในประมวลรัฏษากร มันสับสนต่อนักบัญชี   เพราะฉะนั้น หากนักบัญชีทำความเข้าใจเสียว่า  สิ่งที่ประมวลพูดนั้น หมายถึงอะไรตามหลักบัญชี  มันก็จะไม่สับสนครับ จากคุณ : ลูกแม่โดม - [ 3 ก.ย. 50 16:28:18 ]

ความคิดเห็นที่ 25 เข้ามาตอบคำถามของคุณฟ่องนภาฯนะครับ แม้ว่าจะไม่ใช่คุณทนายที่รักก็ตาม การด้อยค่าทรัพย์สินในทางบัญชีตามมาตรฐานการบัญชีนั้น โดยทั่วไป  (ใช้คำว่า โดยทั่วไปนะครับ )  ไม่สามารถนำไปเป็นรายจ่ายทางภาษีได้ครับ  คุณจะด้อยเท่าไรก็เรื่องของคุณ แต่ในทางภาษี คุณก็ต้องนำมาบวกกลับครับในการคำนวณภาษีเงินได้นิติบุคคลครับ   สำหรับรายจ่ายในปีที่เหลือ เมื่อคุณด้อยค่าทรัพย์สินแล้ว  สมมติว่า ด้อยค่าจนหมดค่า   คุณก็จะไม่มีรายการตัดจำหน่ายอีก   แต่อย่าลืมว่า คุณสามารถนำค่าตัดจ่ายรายปี ตามเกณฑ์เดิมมาเป็นรายจ่ายทางภาษีได้  ดังนั้น  คุณก็กลับรายการด้อยค่า ตอนต้นงวด แล้วทำรายการตัดจ่าย  แล้วค่อย ด้อยค่าสิ้นงวดอีกที  เท่านี้ ก็เท่ากับว่า เราได้บันทึกรายจ่ายทางภาษีด้วยรายการตัดจ่ายเดิม  นอกจากนั้น เราก็ยังได้ปฎิบัติตามมาตรฐานการบัญชีทีรับรองทั่วไปด้วยครับ ไม่ว่าจะอยู่ในส่วนของแม่บทการบัญชี หรือ การด้อยค่าสินทรัพย์   TAS#36 นอกเหนือจากนั้น  เจ้าหนี้ บังคับให้เราด้อยค่าไม่ได้หรอกครับ  มันขึ้นอยู่กับ คห.ของ Auditor ที่จะรับรองงบการเงินเราว่า มีข้อบ่งชี้สำหรับการด้อยค่าสินทรัพย์หรือไม่ จากคุณ : ลูกแม่โดม - [ 3 ก.ย. 50 17:01:38 ]

ความคิดเห็นที่ 26 ตอบคุณฟ่องนภานะครับ - มติ กพอ. เป็นกฎหมายหรือเปล่า?   ตรงนี้ต้องตอบว่า "ไม่เป็น" นะครับ  มติ กพอ. ไม่มีศักดิ์หรือฐานะเป็นกฎหมาย ดังนั้น จึงไม่มีผลผูกพันศาลหรือผู้เสียภาษีให้ปฏิบัติตาม  แต่สำหรับเจ้าหน้าที่สรรพากร ก็จะยึดถือ มติ กพอ.เป็นเสมือนสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่ต้องปฏิบัติตาม  ก็เหมือนกับลูกน้องที่ต้องยึดถือคำสั่งของผู้บังคับบัญชาเป็นสิ่งสำคัญนั่นแหละครับ กพอ. นั้นย่อมาจาก "คณะกรรมการพิจารณาปัญหาข้อกฎหมายและอุทธรณ์หรือคำร้อง" ซึ่งไม่มีบัญญัติไว้ในประมวลรัษฎากร  ไม่เหมือนกับคณะกรรมการวินิจฉัยภาษีอากร ซึ่งถูกแก้ไขเพิ่มไว้ใน ป.รัษฎากรในภายหลัง   แต่ถึงจะเป็นคณะกรรมการวินิจฉัยภาษีอากรก็ตาม  คำวินิจฉัยของคณะกรรมการนี้ก็ไม่มีฐานะเป็นกฎหมายและไม่มีผลผูกพันศาลให้ต้องปฏิบัติตามอยู่ดี   ดังจะเห็นได้จากคำวินิจฉัยที่ 26/2537 ซึ่งตอนนั้นคณะกรรมการมีคำวินิจฉัยให้นิติบุคคลอาคารชุดต้องเสีย VAT จากค่าบริการส่วนกลาง   แต่ตอนหลังศาลฎีกาตัดสินตรงกันข้ามเลย (ในคดี 4 คอนโดตระกูลบีชตามฎีกาที่ 4671-4677/2539)  ตอนหลัง คณะกรรมการจึงจำใจต้องยกเลิกคำวินิจฉัยเดิมของตนแล้วออกคำวินิจฉัยใหม่ที่ 33/2540 แทนโดยบอกว่านิติบุคคลอาคารชุดไม่ต้องเสีย VAT แล้วถ้าเข้าเงื่อนไข 4 ประการ ฉะนั้น จากตัวอย่างที่ผมยกมา ก็จะเห็นว่าไม่ว่าจะเป็นมติ กพอ หรือคำวินิจฉัยของคณะกรรมการวินิจฉัยภาษีอากร ก็ไม่ใช่กฎหมายและไม่ผูกพันศาลให้ต้องยึดถือตาม - ผลขาดทุนจากการด้อยค่าของสินทรัพย์จะลงเป็นรายจ่ายทางภาษีได้มั้ย?  อันนี้ ป.รัษฎากรห้ามไว้ชัดเจนแล้วนะครับในมาตรา 65 ตรี (17) "ค่าของทรัพย์สินนอกจากสินค้าที่ตีราคาต่ำลง" เป็นรายจ่ายต้องห้าม จากคุณ : ทนายที่รัก - [ 3 ก.ย. 50 18:49:08 ]

ความคิดเห็นที่ 27 ถึงเด็กข้างห้อง ..................รับทราบค่ะ ถึงพี่ลูกแม่โดม ..................เข้าใจแล้วค่ะ ถึงพี่ทนายที่รัก ...................สรุปว่าพี่ไม่ใช่เพื่อนหนู ในชีวิตจริง หนูนะเคยตอบผิดนะคะ มีอะไรมากมายหลายอย่างที่หนูยังคิดไม่ถึง ความรู้ยังไม่ถึง มุมมองยังไม่กว้างพอ แต่ทุกครั้งที่มีคนแก้ของงานหนูหรือเถียงหนู หนูจะรู้สึกขอบคุณที่เค้าช่วยแก้ ช่วยเถียงให้หนูเกิดปัญญามากขึ้นมากกว่าปล่อยเลยให้หนูโง่ดักดานต่อไป หลายครั้งไม่มีผิดไม่มีถูก มีมุมมองที่ต่างกัน แต่ขึ้นอยู่กับว่าผู้มีอำนาจในขณะนั้นจะพิจารณาอย่างไร ขอบคุณทุกท่านนะคะ พวกพี่ๆ ทั้งสามนะคะช่างมีน้ำใจเข้ามาตอบ จุ๊ฟ จุ๊ฟ จุ๊ฟ คนละทีนะคะอย่าแย่งกัน ปล. หนูแรดแต่เฉพาะในบอร์ดนะคะ ปล.สอง หลังๆ เนี่ยหนูเป็นอะไรก็ไม่รู้ค๊ะเวลาหนูแก้งานน้องๆ หนูจะไม่อธิบายอะไรแจกแจง สอนงาน เหมือนเมื่อก่อนแล้ว หนูแค่บอกคำตอบที่ถูกไป ถ้าน้องๆ ไม่ถามก็เรื่องของมัน ถ้าลูกค้าถามก็ตอบแต่คำตอบไป ถ้าลูกค้าสงสัยถึงอธิบาย ถ้าไม่เชื่อหนูแล้วไม่ทำตามแล้วเกิดผิดพลาดขึ้นมา หนูจะรู้สึกหงุดหงิดเซ็งจิต ฉุนขาด นึกในใจว่า” ก็บอกแล้วไม่ทำเอง” แต่ตอนนี้ยังไม่ด่านะคะ อนาคตไม่แน่ ตอนนี้มานึกอีกที หนูรู้สึกว่า หนูเริ่มเหมือนพวกผู้ใหญ่ในออฟฟิคที่หนูเคยไม่ชอบตอนที่หนูทำงานใหม่ๆ แล้ว มีใครเป็นแบบหนูบ้างมั้ยค้า จากคุณ : ฟ่องนภา ฟ้านำพรชุติมตา - [ 3 ก.ย. 50 22:57:21 A:24.136.23.177 X: ]

ความคิดเห็นที่ 28 เวลาหนูแก้งานน้องๆ หนูจะไม่อธิบายอะไรแจกแจง สอนงาน เหมือนเมื่อก่อน  บอกคำตอบที่ถูกไป ถ้าน้องๆ ไม่ถามก็เรื่องของมัน ถ้าลูกค้าถามก็ตอบแต่คำตอบไป ถ้าลูกค้าสงสัยถึงอธิบาย อาการไฟหมด + เริ่มสูงอายุนะนี่  555 555 555 จากคุณ : ไกลปืนเที่ยง (uthai_y) - [ 4 ก.ย. 50 07:49:38 ]

ความคิดเห็นที่ 29 ทุกวันนี้ ผมก็ยังชอบให้คนมาแย้ง และแก้ไข ในจุดบกพร่องอยู่ครับ  เราจะได้พัฒนาความรู้เพิ่มเติมขึ้นเรื่อยๆ   ได้อ่านความเห็นด้านภาษีของคุณทนายที่รัก  จะทราบเลยว่า  คุณทนายฯ เขารู้จริง และรู้ลึก  และแบ่งหัวข้ออธิบายได้เหมาะสม    นับว่าได้ความรู้เพิ่มเติมขึ้นอย่างมาก และคงต้องขอคำแนะนำในโอกาสต่อๆไปด้วยครับ สำหรับนักบัญชี  ผมแนะนำว่า  อะไรๆ ในประมวลรัษฎากร ถ้าเราไม่เข้าใจในคำศัพท์ที่เขาใช้ไม่เหมือนศัพท์ทางบัญชี ให้เราดูนิยาม ดูรายละเอียดของมัน แล้วเอาไปเทียบกับทางบัญชีว่า มันคือตัวไหน รายการไหน  นั่นล่ะครับ จะได้ไม่งง ไม่สับสน   คุณฟ่องนภาฯครับ  อย่าเพิ่งหมดไฟ  พยายามตอบน้องๆ แก้ไขน้องๆเขา  เราจะได้มีทรัพยากรบุคคลที่มีคุณภาพเพิ่มขึ้นอีก  ในภายภาคหน้า เขาก็ช่วยงานองค์กรได้อย่างมีประสิทธิภาพครับ จากคุณ : ลูกแม่โดม - [ 4 ก.ย. 50 08:38:13 ]

ความคิดเห็นที่ 30 ความคิดเห็นที่ 27   ถึงเด็กข้างห้อง ..................รับทราบค่ะ ---------------------------------------------------------------- เอ้า...ข้างห้อง....ก็ข้างห้อง...เดี๋ยวถูกแอบมองแล้วอย่าว่ากันนะ...อิอิ จากคุณ : เด็กข้างห้างฯ - [ 4 ก.ย. 50 11:36:30 ]

ความคิดเห็นที่ 32 เรื่องภาษีไม่มีคนที่เก่งๆมาเสียเวลาตอบคุณฟรีๆหรอกครับ  คุณจะปรึษาเค้าเค้าจับเวลาเลยคิดเงินเป็นชํ่วโมง  คุณจะเอาคนเก่งๆเหรอครับ อยู่สำนักงานกฎหมายที่ส่วนใหญ่ให้บริการคนรวยๆระดับ100ล้าน+ หรือนักธุรกิจข้ามชาติ ลองดูกรณีทักษิณ นิติกรสรรพากร 3คน ซี7 8 9  พอวินิจฉัยแล้วว่าไม่ต้องเสียภาษี ยังโดนลงโทษทางวินัย หรือ1ในกรรมการคตส.ก็เคยโดนศาลตัดสินให้เสียภาษีเหมือนกันหลังจากไม่ยอมเสีย  บอกตรงๆมันซับซ้อนครับ ไม่มีใครบอกคุณได้ทันทีหรอกครับ เหมือนคุณปวดท้องไปถามหมอ หมออาจจะบอกว่าเป็นมะเร็งก็ได้ โรคกระเพาะก็ได้ ลำไส้อักเสบก็ได้ ไส้ติ่งอักเสบก็ได้ ไม่มีทางหรอกครับที่คนจบนิติมาจะรู้เรื่องภาษีอย่างละเอียด เพราะต้องแบ่งสมองไปจำอีกมาก เหมือนหมอนั่นแหละครับ ต้องมีเรียนเฉพาะทาง  ทนายที่เก่งคดีอาญาไม่เก่งคดีแพ่งก็มี ไม่เชื่อผมคุณไปหยิบซักมาตรานึงในพรบ. ฉบับไหนก็ได้ ที่เฉพาะเรื่องหน่อย เช่น ป่าไม้ แล้วเดินไปถามผู้พิพากษา บอกให้ตอบเดี๋ยวนั้น ผมว่าตอบไม่ได้เหมือนกันครับ จากคุณ : Ninjax - [ 4 ก.ย. 50 14:51:58 ]

ความคิดเห็นที่ 33 เข้ามาดู... จากคุณ : KCrazy16 - [ 4 ก.ย. 50 16:16:33 ]

ความคิดเห็นที่ 34 คุณ คห 32 ก็ออกจะเกินไป ผมยืนยันว่า  คุณทนายที่รัก เขารู้เรื่องภาษีจริง และลึก  และถือว่าเป็นคนเก่งคนหนึ่งได้เลยครับ  หากในแวดวงคนพอมีความรู้มาได้อ่านความเห็นของคุณทนายที่รัก  จะทราบได้เลยว่า  เขียนอธิบายให้เข้าใจได้ถูกจุด ถูกประเด็นครับ และครบถ้วน  ไม่โมเม ไม่มั่วแน่นอน เกินไปนะครับ เกินไป   ไม่สร้าง ก็อย่าทำลายกำลังใจครับ จากคุณ : ลูกแม่โดม - [ 4 ก.ย. 50 17:16:30 ]

ความคิดเห็นที่ 35 ขออ่านด้วยคน และ เห็นด้วยกับ คุณลูกแม่โดม 80 % .. จากคุณ : I_วชิรวิทย์ - [ 5 ก.ย. 50 09:11:16 ]