ความคิดเห็นที่ 1 ไม่จำเป็นครับต้องจดทะเบียนคณะบุคคลอะไรทั้งนั้น อีกอย่างกรรมสิทธิ์รวมเกิดขึ้นด้วยตัวของมันเองครับ คิดง่ายๆ ผมกับน้องชายหุ้นกันซื้อบ้าน 1 หลัง ต่อมาเกิดอยากแยกกรรมสิทธิ์ ผมก็ขายให้น้อง หรือน้องขายให้ผม หรือขายให้คนอื่นเอาเงินมาแบ่งกันครับ เรื่องนี้ไม่มีอะไรต้องกังวลครับ ใส่ชื่อสองคนได้เลย แต่เวลาทำนิติกรรมก็ต้องทำสองคนเช่นกัน ..นะตัวเอง.. .. จากคุณ : I_วชิรวิทย์ - [ 5 พ.ย. 50 09:17:27 ]

ความคิดเห็นที่ 2 ที่ดินแปลงใด หรือ คอนโดห้องใด ที่มีเจ้าของ(ที่จดทะเบียนมีชื่อเป็นเจ้าของ)ตั้งแต่สองคนขึ้นไปเรียกว่าถือกรรมสิทธิ์รวม(เจ้าของร่วม) การจะเข้ามาเป็นเจ้าของรวมอาจเกิดได้จากการร่วมกันซื้อมา หรือเดิมมีเจ้าของคนเดียวแต่ต่อมาตายไปมีคนรับมรดกหลายคน หรือยกให้หลายคน ก็จะกลายเป็นกรรมสิทธิ์รวมไป เจ้าของแต่ละคนสามารถขาย ให้ จำนอง เฉพาะส่วนของตนได้โดยอิสระ(เน้นว่าเฉพาะส่วนนะไม่ใช่ทั้งหมด) โดยไม่ต้องรับอนุญาตจากเจ้าของรวมคนอื่น ๆ และสามารถจะทำพินัยกรรมยกส่วนของตนให้ใครก็ได้ ถ้าไม่ทำพินัยกรรมก็จะตกเป็นของทายาทโดยธรรม(ก็คือลูกเมียบิีดามารดาของเขานั่นแหละ) แต่เวลาที่คนใดคนหนึ่งมีหนี้มากถูำกฟ้องจนถูกขายทอดตลาดเอาใช้หนี้ เขาจะยึดขายทั้งหมดก็ได้เจ้าของรวมคนอื่นจะไม่ยอมไม่ได้ แต่มีสิทธิได้เงินส่วนแบ่งจากที่ดินส่วนที่เป็นของตน มีปัญหาเกิดขึ้นมากมายจากการถือกรรมสิทธิ์รวม เช่น การเก็บรักษาโฉนด คนเก็บไม่ยอมให้คนอื่น เอาไปใช้ตามสิทธิ ถ่วงเวลา หรือทำหาย เวลาคนเอาไปจำนองจะต้องให้คนรับจำนองยึดไว้ บางทีก็ทำไม่ได้เพราะคนอื่นไม่ยอม หรือถ้ายอมให้ไป เจ้าของคนอื่นก็ไม่สะดวกอีก หรือเวลาจะแบ่งแยกถ้าไม่ตกลงกันก็ต้องฟ้องร้องกัน หรือถ้ามีเด็กมีชื่อเป็นเจ้าของก็ต้องร้องศาลให้อนุญาตทำแบ่งแยกก่อน (การตกลงแบ่งแยกว่าคนไหนจะได้ตรงไหนเท่าใดถือเป็นการประนีประนอมยอมความ การทำสัญญาประนีประยอมยอมความที่ดินของเด็กกฎหมายบังคับว่าต้องได้รับอนุญาตจากศาลก่อน) เรื่องพวกกรรมสิทธิ์รวม(co-ownership)นี่อยากจะบอกเป็นความรู้ว่า ีกฎหมายของต่างประเทศมีหลักการต่างจากไทยลิบลับก็มี พวกอังกฤษและประเทศอาณานิคมเดิมของอังกฤษ เขาแบ่งกรรมสิทธิ์รวมเป็นสองพวกใหญ่ ๆ มี 1.tenancy in common กรรมสิทธิ์รวมแบบนี้หลักการใหญ่ ก็เหมือนกันกรรมสิทธิ์รวมของไทย เมื่อเจ้าของคนใดตายไปส่วนของเขาก็ตกเป็นของทายาท 2.joint tenancy กรรมสิทธิ์รวมแบบนี้มีหลักการที่ต่างจากอันแรกอย่างมากคือ เมื่อเจ้าของคนหนึ่งตายไปส่วนของเขาจะตกแก่เจ้าของที่เหลือ ไม่ตกเป็นของทายาทของคนตาย ซึ่งในที่สุดที่ดินจะเป็นของคนสุดท้ายที่ยังมีชีวิตอยู่ มีหลายประเทศที่แก้ปัญหาการแย่งกันถือโฉนด โดยไม่ออกโฉนดฉบับเจ้าของที่ดินก็มี เวลาใครจะจดทะเบียนก็ไปจดกับฉบับหลวงฉบับเดียวเลย หรือบางกรณีก็ไม่ทำโฉนดฉบับหลวงแต่เก็บในรูปทะเบียนคอมพิวเตอร์สมบูรณ์แบบไปโน่นเลยอย่างนิว ซีแลนด์เป็นต้น(สรุปของไทยยังล้าหลังว่างั้นเถอะ) หรือออกให้คนละฉบับยึดไว้เวลาทำนิติกรรมก็จดเฉพาะฉบับของตน จากคุณ : ที่ดินเก่า - [ 5 พ.ย. 50 14:18:41 A:203.113.45.232 X: TicketID:141067 ]

ความคิดเห็นที่ 3 ตามทั้งสอง คห.เลยครับ ขอเพิ่มนิดนึงครับ แม้ว่าจะขอแบ่งทรัพย์สินรวมได้โดยลำพังและเวลาใดๆก็ได้ แต่อาจจะมีข้อจำกัดสิทธิที่จะขอแบ่งไว้ด้วยนะครับ เช่น เวลาอันควรหรือไม่ วัตถุประสงค์ที่เป็นเจ้าของรวม หรือนิติกรรมที่ขัดอยู่ ส่วนวิธีแบ่งทรัพย์สินรวมก็แล้วแต่ลักษณะทรัพย์และข้อตกลง ถ้าตกลงกันไม่ได้ ศาลก็พิจารณาแบ่งให้ได้ไม่ว่าจะโดยสั่งให้ประมูลกันเองหรือขายทอดตลาดก็ได้ จากคุณ : โชคดี - [ 5 พ.ย. 50 19:07:08 A:125.24.60.241 X: TicketID:159337 ]

ความคิดเห็นที่ 4 ลืมไป ขอเพิ่มเติมนิดนึง ตามกฎหมายอาคารชุด กรรมสิทธิ์ห้องชุดจะแบ่งแยกไม่ได้(มาตรา 12) ในนิวซีแลนด์ตอนนี้เขาไม่่มีการออกโฉนดทั้งฉบับสำนักงานที่ดินและฉบับเจ้าของที่ดินแล้ว เพราะสามารถทำการโอนทางอินเทอร์เน็ตเลยไม่ต้องการการบันทึกในตัวโฉนดที่เป็นกระดาษอีกต่อไป ใช้บันทึกในคอมอย่างเดียวเลย(แต่หลักการมันมีอีกเยอะแยะไม่ง่าย ๆ อย่างการเบิกโอนเงินหรอกนะ) จากคุณ : ที่ดินเก่า - [ 6 พ.ย. 50 08:52:38 A:203.113.45.232 X: TicketID:141067 ]

ความคิดเห็นที่ 5 ขอถามผู้รู้ทุกท่าน ในกรณีนี้ถ้าเราจะจดเป็นคณะบุคคลเพื่อรับดูแลทรัพย์สินร่วมนี้ ได้หรือไม่ครับ ในกรณีที่ปล่อยให้เช่าครับ เพื่อจะได้เสียภาษีลดลงครับ ถ้าได้จะระบุวัตถุประสงค์ยังไงดีครับ แล้วคณะบุคคลนี้เมื่อเสียภาษี หักเหมาได้ 30%หรือไม่ครับ จากคุณ : Bee (huyu) - [ 6 พ.ย. 50 20:11:49 ]

ความคิดเห็นที่ 6 ^ ^ ได้ซิคะ คุณจัดตั้งคณะบุคคลได้นะคะ กรณีของคุณเป็นการร่วมกันซื้อจิงๆ มีหลักฐานการการจ่ายเงินร่วมกันและชื่อเป็นกรรมสิทธิหรือสิทธิอื่นร่วมกันเป็น Significant legal form ไม่ช่าย sham transaction ก็สามารถจัดตั้งได้ค่ะ และได้รับประโยชน์จากอัตราภาษีในการเริ่มต้นหน่วยภาษีหน่วยใหม่ อย่างที่เข้าใจนะคะ ส่วนเรื่องหักค่าใช้จ่าย กรณีการเช่าอสังหาริมทรัพย์ที่เป็นที่อยู่อาศัย หักได้สองวิธีค่ะ 1 หักเป็นการเหมาในอัตราที่กำหนด อันนี้เป็นวิธีปกติมนุษย์ใช้กันนะคะ หักค่าใช้จ่ายได้ร้อยละ 30 ค่ะ แต่ต้องเป็นเจ้าของนะคะ กฎหมายกำหนดให้เจ้าของทรัพย์เป็นคนหักค่ะ ระวังนิดนะคะ 2 หักตามความจำเป็นและสมควรหรือ อันนี้เป็นวิธีที่ไม่ปกติมนุษย์อย่างดั้นใช้กันค่ะ คุณต้องขอหักโดยมีหลักฐานและหลักเกณฑ์ดังนี้นะคะ (1) เป็น Ordinary and necessary expenses เป็นค่าใช้จ่ายตามปกติ มีความเกี่ยวข้องและจำเป็นต่อการประกอบธุรกิจแต่ละประเภทหรือต่อเงินได้แต่ละชนิด (2) Deductible expenses ไม่เป็นรายจ่ายที่กฎหมายห้ามมิให้หัก (3) เป็นรายจ่ายเป็น Reasonable amount จำนวนที่สมควรและเหมาะสมแก่กิจการ (4) Record and Bookeeping ต้องมีหลักฐานการหักใช้จ่าย ตรวจสอบได้ แต่โดยปกตินะคะ Personnel services ของไทย อาจยังไม่มีการใช้วิธี Cost Recovery Method อ่ะค่ะ ถ้าเป็นกรณีภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา ดังนั้น ยากนะคะ ที่จะได้หักค่าใช้จ่ายที่จำเป็นและสมควรอ่ะค่ะ ดั๊นจึงขอแนะนำให้ใช้วิธีหักแบบเหมา 30% ดีก่าอ่ะค่ะ แต่ถ้าจะลองของซักปีก็เปลี่ยนได้นะค่ะ ไม่ซีเรียส ก่อนจากอำลา ดิชั้นมีข้อเตือนใจจากประวัติศาสตร์นะคะ นะคะ 1 จขกท. ควรแลกสัญญาของแต่ละฝ่ายนะคะ เกือบหลักฐานให้ครบถ้วนกระบวนความนะคะ เพราะภายใต้กฎหมายเราไม่ได้กำหนดให้ แฟนของเรา เป็นทายาท ดังนั้น สัญญาปากเปล่าหรืออะไรเนี่ยใช้ไม่ได้นะคะ Jones v. Daly (1981) California Court of Appeals 2 ก็มีนะคะ ถ้าฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งเดดสะมอเร่ไป ก็จะมีปัญหามากว่า ทรัพย์นั้นจะทำอย่างไรต่อไป เพราะเราไม่ใช่ทายาทอ่ะค่ะ คุณควรทำพินัยกรรมและแลกพินัยกรรมเอาไว้นะคะ อย่าลืมนะคะ ว่ากรรมสิทธิ์ในอาคารชุดมันแบ่งแยกไม่ได้ จะขายเพื่อแบ่งกัน หรือจะยกให้อีกฝ่าย หรือจะฮุบมาเป็นของเรา (ให้เค้าทำพินัยกรรมให้ แฮ่ๆ) ก็จัดการทำไว้นะคะ อย่าพลาดนะคะ In re Estate of Cooper (1993) New York Supreme Court และ Braschi v. Stahl Associates เท่านั้นละค่ะ Joop Joop รักทุกคนเหมือนเดิมนะคะ จากคุณ : ฟ่องนภา (เพื่อนสาวเหมียนกัลล์) - [ 7 พ.ย. 50 02:24:21 A:24.136.23.177 X: ]