ความคิดเห็นที่ 2
จำเลยที่ 1 ยังให้ถ้อยคำเพิ่มเติมเมื่อวันที่ 16 ก.ค. 44 มีสาระสำคัญว่า เป็นพี่ชายบุญธรรมของจำเลยที่ 2 ช่วยเหลือกิจการงานของจำเลยที่ 2 จนกิจการมีความเจริญก้าวหน้า จนกระทั่งเมื่อปี 2538 จำเลยที่ 2 สนับสนุนให้มีครอบครัวเพื่อความเป็นปึกแผ่น และปลายปี 2540 จำเลยที่ 2 ดำริจะมอบของขวัญให้แก่บุตรชายของจำเลยที่ 1 ซึ่งมีอายุครบ 1 ปี เป็นหุ้น จึงได้มอบหุ้นจำนวน 4.5 ล้านหุ้นดังกล่าวเป็นของขวัญแก่ครอบครัวและบุตรชาย โดยไม่ต้องทำสิ่งใดเป็นการตอบแทน และมิได้มีข้อผูกพันหรือสัญญาที่ต้องกระทำสิ่งใดเป็นการตอบแทน จึงเข้าใจโดยสุจริตว่าเป็นการให้โดยเสน่หา ตามธรรมเนียมประเพณี และธรรมจรรยาของสังคมไทย ได้รับการยกเว้น ตามมาตรา 42 (10) แห่งประมวลรัษฎากร
-----------------------
โดยจำเลยที่ 1 จำเลยที่ 2 รู้อยู่แล้วว่า ข้อความที่ให้ถ้อยคำ ตอบถ้อยคำนั้น เป็นข้อความเท็จ เป็นเพียงข้ออ้างเพื่อให้เจ้าพนักงานสรรพากรเชื่อว่าการโอนหุ้นดังกล่าว เป็นเงินที่ได้จากการอุปการะโดยหน้าที่ธรรมจรรยา หรือจากการให้โดยเสน่หาเนื่องในพิธีหรือตามโอกาสแห่งขนบธรรมเนียมประเพณี ซึ่งได้รับการยกเว้นไม่ต้องรวมคำนวณเพื่อเสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา ความจริงแล้วเป็นการให้เพื่อตอบแทนการที่จำเลยที่ 1 ทำงานให้ครอบครัวของจำเลยที่ 2 แต่ทำอุบายอำพรางว่าเป็นการซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ ซึ่งจำเลยที่ 1 ในฐานะผู้รับการให้ จะต้องนำหุ้นบริษัทดังกล่าวจำนวน 4.5 ล้านหุ้นมูลค่า 738 ล้านบาทมาแสดงเป็นเงินได้ในการคำนวณภาษี การกระทำของจำเลยที่ 1 ที่ 2 ดังกล่าว เพื่อจะหลีกเลี่ยงหรือพยายามหลีกเลี่ยงการเสียภาษีอากรตามลักษณะ 2 แห่งประมวลรัษฎากร โดยความเท็จ ให้ถ้อยคำเท็จ หรือตอบคำถามด้วยถ้อยคำอันเป็นเท็จ และโดยการฉ้อโกง โดยอุบายของจำเลยทั้ง 2 เป็นเหตุให้รัฐเสียหายต้องขาดรายได้อันควรได้ไปเป็นเงินภาษีอากรจำนวน 273,060,000 บาท และเป็นเงินเพิ่มจำนวน 273,060,000 บาท รวมเป็นเงินภาษีอากรและเงินเพิ่มจำนวน 546,120,000 บาท
จากคุณ :
เด็กน้อยตัวแสบ
- [
31 ก.ค. 51 14:08:00
]
|
|
|