ความคิดเห็นที่ 1 เอาคร่าวๆ ถ้าเป็นแบบนั้นเงินบาทก็จะด้อยค่าอย่างรวดเร็วค่ะ ใครๆก็มีเงิน ข้าวของจะแพงขึ้นมหาศาล สุดท้ายเงินจะกลายเป็นเศษกระดาษไป ลองไปถามในห้องสินทรดูสิคะ ผู้เชี่ยวชาญเยอะ คงได้คำตอบดีๆ จากคุณ : ไอซ์ที - [ 16 ธ.ค. 51 23:50:32 ]

ความคิดเห็นที่ 2 สงสัยค่ะว่า ถ้ารัฐบาลผลิตเงิน (เหรียญและธนบัตร) ออกมาแจกจ่ายประชาชนเพื่อให้ประชาชนมีเงินใช้มากขึ้น จะได้มีเงินหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจ ผลจะเป็นอย่างไรคะ ก็เป็นนโยบายประชานิยมอ่ะดิ ถ้าโฆษณาเรียกร้องบุญคุณบ่อยๆด้วย เลือกตั้งครั้งหน้าคะแนนเสียงจะท่วมท้น ชาวประชาจะพากันแห่บูชากราบไหว้ ล้อเล่นครับ ตอบจริงๆนะ เงินจะเฟ้อครับ เงินเฟ้อคือเงินไม่มีค่า ราคาข้าวของจะแพงขึ้นมาก ดูตามรูปนี้เอาละกัน จากคุณ : bigcy - [ 17 ธ.ค. 51 01:10:29 ]

ความคิดเห็นที่ 3 จะกินข้าวนอกบ้านทีต้องเตรียมไปเท่านี้ จากคุณ : bigcy - [ 17 ธ.ค. 51 01:11:19 ]

ความคิดเห็นที่ 4 เป็นเศรษฐีเงินล้านกันทั่วหน้า จากคุณ : bigcy - [ 17 ธ.ค. 51 01:11:57 ]

ความคิดเห็นที่ 5 ที่ไหนมีแลกเงินซิมบับเวมั่งอยากได้ซักใบ จะได้โม้ว่ามีตังตั้ง 5 แสนล้านเชียวนะ รวยกว่าเบียร์ช้างอีก ฮุฮุ จากคุณ : bigcy - [ 17 ธ.ค. 51 01:13:38 ]

ความคิดเห็นที่ 6 รายรับไม่มี มีแต่รายจ่าย ผลคือเป็นหนี้ เป็นหนี้มากไม่สามารถชำระได้ก็ล้มละลายเท่านั้นเอง จากคุณ : saisanan - [ 17 ธ.ค. 51 08:10:18 ]

ความคิดเห็นที่ 7 ต้องเตรียมเงินไปจับจ่ายเพิ่ม พอๆกับเงินที่เขาผลิตมาให้เพิ่ม  อย่างงั้นหรือเปล่าครับ แบบว่า  เหมือนไม่ได้อะไรขึ้นมา จากคุณ : สมภพ เจ้าเก่า - [ 17 ธ.ค. 51 08:15:45 ]

ความคิดเห็นที่ 8 เวลา แบงค์ชาติจะพิมพ์แบงค์ ต้องมีเงินทุนสำรองไว้ด้วยครับ เป็นการประกันค่าเงิน ที่จะพิมพ์ออกมาแต่ละครั้ง ไม่ใช่ว่าพิมพ์ออกมาใช้ได้เลย อาจจะอธิบายไม่ถูกนักเพราะไม่ใช่คนที่เกี่ยวข้อง แต่จะให้เข้าใจง่ายก็อย่างรูปประกอบข้างบน คือพิมพ์กระดาษออกมาเยอะ แต่เงินทุนสำรองมันน้อย ค่าเงินบนกระดาษก็น้อยตามไปด้วย ค่าเงินบนกระดาษรู้สึกว่า จะอ้างอิงจากอัตราแลกเปลี่ยนเงินสกุลอื่นๆ จากคุณ : keab (keab_h) - [ 17 ธ.ค. 51 09:03:13 ]

ความคิดเห็นที่ 9 ผมว่ารูปประกอบข้างบนก็ยังใช้อธิบายอะไรไม่ได้นะ มันแค่อธิบายถึงผลลัพธ์เท่านั้นเองว่าสุดท้ายแล้วผลจะออกมาเป็นอย่างไร แต่มันใช้เชื่อมโยงระหว่างเหตุมาสู่ผลไม่ได้ว่าเพราะอะไร ทำไมสุดท้ายแล้ว เงินจะกลายเป็นไร้ค่าขนาดนั้น ทุกคนที่เรียนเศรษฐศาสตร์ก็เรียนมาอย่างนี้ ท่องจำกันมาอย่างนี้ แต่จะมีใครเข้าใจจริงๆ บ้าง แล้วสามารถอธิบายให้คนอื่นเข้าใจได้อย่างง่ายๆ บ้างว่าทำไมการพิมพ์เงินเพิ่มเข้าไปสู่ระบบมากกว่าค่าเงินทุนสำรองที่มีอยู่ ทำไมสุดแล้วถึงทำให้ผลลัพธ์ออกมาได้ขนาดในรูปประกอบ ซึ่งผลลัพธ์นี่ ทุกคนคงยอมรับได้ ไม่มีใครเถียง เพราะเห็นๆ กันอยู่ในหลายประเทศ แต่ทำไม เพราะอะไรล่ะ มีคำอธิบายที่เชื่อมโยงจากเหตุลงไปหาผลได้อย่างง่ายๆ มั้ย อาจจะเชื่อมเป็นตัวละคร เป็นภาพแผนผัง ไม่อย่างนั้น มันก็จะเหมือนกับท่องจำกันโดยไม่ได้เข้าใจจริงๆ อาจจะสอบผ่าน ได้ใบปริญญามา แต่สุดท้าย ใบปริญญาก็อาจจะเป็นเหมือนเศษกระดาษที่ไร้ค่าเหมือนอย่างธนบัตรพวกนั้น ยกตัวอย่างง่ายๆ สมมุติว่ารัฐบาลไทยมีอภิมหาเมกะโปรเจคที่จะสร้างรถไฟฟ้าทั่วเมืองหลวงถึงปริมณฑล 10 สาย 10 ทิศ ต้องใช้เงินลงทุน 1 ล้านล้านบาท แต่รัฐบาลบ่จี๊ ไม่มีตังค์พอ แล้วก็ไม่มีกองทุนไหนหรือประเทศไหนให้กู้ยืมเงิน รัฐบาลก็เลยใช้วิธีพิมพ์เงินเพิ่ม 1 ล้านล้านบาทเพื่อเอาไปใช้จ้างเหมาบริษัทในประเทศ (สมมุติว่าเมืองไทยมีบริษัทที่มีความสามารถพอสร้างรถไฟฟ้าทั้งระบบได้โดยไม่ต้องพึ่งเทคโนโลยีจากต่างชาติ) พอบริษัทได้สัญญาจ้าง ก็เริ่มการลงทุนโดยซื้อวัตถุดิบ และจ้างแรงงานเพิ่มเป็นแสนคนซึ่งก็คือพวกที่กำลังตกงาน คนที่จะได้ประโยชน์ต่อจากนั้นก็คือคนขายวัตถุดิบ วัสดุก่อสร้าง และคนงาน ฯลฯ ซึ่งพวกเหล่านี้ก็จะมีเงินไปจับจ่ายใช้สอย ธุรกิจที่กำลังซบเซาก็น่าจะตื่นตัวขึ้น เงินเหล่านี้ก็จะหมุนเวียนไปในระบบ แต่ผมยังมองไม่ออกว่าสุดท้ายแล้ว การพิมพ์เงินเพิ่ม 1 ล้านล้านบาท จะไปทำให้ค่าเงินไร้ค่าหรือกลายเป็นแค่เศษกระดาษได้อย่างไร คงจะเป็นเพราะผมไม่ได้เรียนเศรษฐศาสตร์มามั้ง หรือเรียนทีไรก็สอบตกทุกที จากคุณ : ฯลฯ - [ 17 ธ.ค. 51 13:36:00 A:58.9.80.237 X: TicketID:192266 ]

ความคิดเห็นที่ 10 เอ้า ใครจะรับอาสาอธิบายต่อจากตัวอย่างที่ผมยกขึ้นมาข้างบนเพื่อให้คนอื่นเข้าใจได้อย่างง่ายๆ ก็เชิญเลยครับ จะได้เป็นวิทยาทานแก่คนอื่นๆ ด้วย จากคุณ : ฯลฯ - [ 17 ธ.ค. 51 13:38:55 A:58.9.80.237 X: TicketID:192266 ]

ความคิดเห็นที่ 11 เคสเดียวกับจตุคามเลยครับ จตุคามรุ่นเก่าๆ มีราคาสูงมาก ที่เคยออกข่าวก็สูงสุดราคาราวๆ 2แสนล้านบาท  โอ้พระเจ้า..ใครจะหน้ามืดซื้อเนี่ย.. เมื่อตอนดัง จตุคามรุ่นต่างๆถูกขายแลกเปลี่ยนมือกันเป็นว่าเล่น กำไรครั้งหนึ่งหลัก100-หลักแสน  แล้วแต่รุ่น..   จากนั้น แต่ละวัดทั่วปรเทศก็แห่ผลิตเหรียญจตุคาม ออกมามากมาย นับรุ่นแทบไม่ได้  อย่างกับขนมโอรีโอ้.. สุดท้าย เมื่อผลิตกันเยอะเกิน ก็เกิดภาวะจตุคามเฟ้อ  จากที่ต้นทุนไม่เกิน5บาท ขายได้หลักร้อย-หลักพัน  ตอนนี้ให้ฟรีๆยังไม่มีใครเอาเลยครับ จึงต้องเอาไปโยนไว้ตามต้นไม้ ตามที่ออกข่าวไป...... เหมือนกันครับ  เงินเหรียญมีค่า เพราะโลหะที่นำมาทำเหรียญนั้นมีค่า เงินกระดาษมีค่าก็เพราะ ทองที่นำไปค้ำ  ถ้าผลิตกันได้แบบเครื่องปริ้นงานตามบ้าน เงินก็ไม่มีค่าครับ เพราะกระดาษที่นำมาทำมันไม่มีค่าไงครับ จากคุณ : O-DED - [ 17 ธ.ค. 51 13:41:10 ]

ความคิดเห็นที่ 12 ผมว่าเรื่องจตุคามนี่ ยังพอเข้าใจได้ง่ายๆ นะว่าเพราะอะไร มันถึงราคาตก เหตุที่มันราคาตกลงมาก ก็เพราะซัพพลายมันพุ่งสูงปรี๊ดปรอทแตก มีแต่คนแห่ผลิตแบบไม่ได้คุณภาพด้วย แต่ในขณะเดียวกัน ดีมานด์มันตกลงมามากมาย กระแสความนิยมลดลงอย่างมาก เมื่อดีมานด์กับซัพพลายพุ่งสวนกัน ราคามันก็ตกลง ซึ่งเรื่องนี้อธิบายได้ด้วยดีมานด์กับซัพพลาย แต่ว่าเรื่องการพิมพ์เงินเข้าสู่ระบบมากกว่าทุนสำรองที่มีอยู่ ผมยังงงอยู่ว่ามันจะเอาเรื่องดีมานด์กับซัพพลายไปใช้อธิบายได้อย่างไร หรือใครอธิบายให้เข้าใจได้ง่ายๆ ก็ได้โปรดช่วยอธิบายด้วย พลีสสสส จากคุณ : ฯลฯ - [ 17 ธ.ค. 51 14:05:46 A:58.9.80.237 X: TicketID:192266 ]

ความคิดเห็นที่ 13 อย่างถ้าใครจะบอกว่าเงินที่พิมพ์เข้าไปในระบบ ก็คือซัพพลาย แล้วอะไรล่ะ คือดีมานด์ เพราะถ้าความต้องการในเงินคือดีมานด์ แล้วผมยังงงอยู่ว่าดีมานด์ในเงินนั้นจะลดลงได้อย่างไร เพราะจะมีใครที่มีความต้องการในเงินลดลงบ้าง มีแต่คนต้องการเงินเพิ่มขึ้นทั้งนั้น ได้มากหน่อยก็ยิ่งดี จะมีใครสักกี่คนที่รังเกียจเงิน แล้วดีมานด์ในเงินจะลดลงได้อย่างไร มันไม่เหมือนกับสินค้าอื่นๆ ที่ผลิตออกสู่ตลาดมากเกินไป ก็ทำให้เบื่อได้ หรือความต้องการลดลงได้ ก็ทำให้ราคาลดลงได้ แต่เงินมันไม่เหมือนกับสินค้าอื่น ความพอใจในเงินมันไม่มีวันหมด ไม่มีวันพอ แล้วดีมานด์มันจะลดลงได้อย่างไร แล้วอย่างนี้จะเอาหลักดีมานด์ซัพพลายไปใช้อธิบายได้อย่างไรในเรื่องนี้ จากคุณ : ฯลฯ - [ 17 ธ.ค. 51 14:18:11 A:58.9.80.237 X: TicketID:192266 ]

ความคิดเห็นที่ 14 ผมว่านอกจากเงินทุนสำรองในคลังหลวงที่จะเป็นตัวสนับสนุนค่าของเงินที่ผลิตเพิ่มเข้าสู่ระบบแล้ว ผมว่าตัวที่จะเป็นสิ่งสนับสนุนค่าของเงินที่ผลิตเพิ่มได้อีก ก็คือทรัพยากรที่มีอยู่ในประเทศนั้นๆ เช่นจากโจทก์ตัวอย่างของผมในคห.9 ถ้ารัฐบาลจะผลิตเงินเพิ่มอีก 1 ล้านล้านบาทเพื่อนำมาใช้ในโครงการอภิมหาเมกกะโปรเจคสร้างทางรถไฟฟ้าใต้ดิน 10 สาย ทำไมแทนที่จะมองแต่เงินทุนสำรองในคลังว่ามีสนับสนุนพอหรือเปล่า ทำไมเราไม่ไปดูมูลค่าของทรัพยากรธรรมชาติที่มีอยู่ในประเทศไทยล่ะ เช่น แร่เหล็กที่อยู่ใต้ดิน อิฐ หิน ดิน ทราย ฯลฯ ที่จะเอามาใช้ในการก่อสร้างทางรถไฟฟ้า แรงงานของคนตกงานเป็นแสนคนก็ถือเป็นทรัพยากรอย่างหนึ่ง ถ้าเรามีสิ่งเหล่านี้อยู่พร้อม มันก็น่าจะเป็นตัวสนับสนุนค่าของเงินที่รัฐบาลจะผลิตเข้ามาใช้ได้เหมือนกัน จากคุณ : ฯลฯ - [ 17 ธ.ค. 51 14:43:35 A:58.9.80.237 X: TicketID:192266 ]

ความคิดเห็นที่ 15 ก็เพราะว่า ถ้ามีเงินมากๆ แล้ว แม่ค้าขายก๋วยเตี๋ยวก็จะคิดว่า คนมีเงินเยอะ ก๋วยเตี๋ยวชามละ ๓๐ บาทราคาถูกไป ต้องขึ้นราคาสักสามพัน เพราะใครๆ ก็มีเงิน ก็เลยขึ้นราคากันยกใหญ่เลย พอก๋วยเตี๋ยวขึ้นราคา ของอื่นๆ ก็ขึ้นราคาตามไปด้วย เพราะคิดว่า คนมีเงินเยอะ พิมพ์เงินออกมาแลกของได้เยอะ คนอยากได้เงินมาก ก็เลยขายของราคาสูงๆ พอขายของราคาสูงๆ คนก็ต้องหอบเงินไปซื้อของในราคาสูงๆ ก้อนใหญ่ๆ สุดท้ายแล้ว เงิน กับ ราคาของ ก็เข้าสมการที่เท่ากันพอดี ... ไม่ต่างอะไรกับการที่มีเงินน้อยๆ เหมือนทุกวันนี้เลย จากคุณ : แดดเช้า - [ 17 ธ.ค. 51 15:36:45 ]

ความคิดเห็นที่ 16 ง่ายๆนะ หากทำเช่นนั้น แล้วใครล่ะจะเป็นผู้ "ผลิต" ที่ว่าธุรกิจรับเหมา ธุรกิจขายวัสดุ ลูกจ้าง ข้าราชการ เป็นต้น ใครจะเป็นคนทำตรงนี้ เพราะทุกคนก็จะกลายเป็นผู้ซื้อ (ไม่ต้องทำงานก็มีเงินแจกจากรัฐ)  เพราะเมื่อต้นทุนไม่มี กำไรก็ไม่สามารถจะมีได้  รัฐพิมพ์ธนบัตรมาล้านล้านบาท ถามว่า ต้นทุนอยู่ไหน? เอาอะไรไปขายถึงได้มา ผลผลิตอะไรจึงทำใหมีรายได้ขนาดนั้น ?คำตอบคือไม่มี เห็นว่ากระแสหมุนเวียนไม่ดีจึงพิมพ์เพิ่ม เอ้า/ ใกล้ตัวเข้ามาอีก คุณไม่มีเงินเลย คุณพ่อเอามาให้ คุณพ่อได้เงินมาจากไหน ปู่เอาให้  แล้วถามย้อนไปเรื่อยๆ ในที่สุดก็จะไม่มีคำตอบ และทุกคนก็จะตกอยู่ในภาวะแบบนี้ ซึ่งมันเป็นไปไม่ได้โดยธรรมชาตินะครับ เพราะทุกคนล้วนแต่ตอบว่า ได้มาโดยที่ไม่ต้องลงทุน ปัจจุบันเงินไม่สะพัด มิใช่เพราะรัฐไม่มีเงิน แต่รัฐยังไม่กระจายงบประมาณออกมาทั้งหมดทุกโครงการ และที่หนักสุดคือ ต้นทุนการผลิตสูง อันเนื่องมาจากปัจจัยภายนอกซึ่งเราควบคุมไม่ได้ จากคุณ : สัญญาป่าเหนือ - [ 17 ธ.ค. 51 15:51:35 ]

ความคิดเห็นที่ 17 คุณแดดเช้า ถ้าจะช่วยอธิบาย ก็อยากให้ช่วยอธิบายโยงมาจากโจทก์ตัวอย่างใน คห.9 ด้วยสินครับ โยงมาช้าๆ ให้เห็นเป็นภาพ ไม่ใช่อยู่ก็ขึ้นราคาก๋วยเตี๋ยวจากชามละ 30 เป็น 3,000 บาท ซึ่งผมว่ามันเป็นไปไม่ได้หรอก หรือถ้าคุณเห็นว่าเป็นไปได้ ก็กรุณาอธิบายเชื่อมโยงให้เห็นเป็นภาพ เช่น รัฐบาลผลิตเงินเพิ่ม 1 ล้านล้านเพื่อเอามาใช้จ้างบริษัทก่อสร้างทางรถไฟฟ้า บริษัทเอาเงินที่ได้ไปซื้อวัสดุก่อสร้าง ซื้อเหล็ก ปูน จ้างคนงานที่กำลังตกงานเป็นแสนๆ คน แต่ก็จ้างในอัตราค่าจ้างขั้นต่ำวันละ 267 บาท ไม่ได้จ้างสูงเว่อร์ วัตถุดิบที่ซื้อ ก็ซื้อในราคาปกติ ไม่ได้แพงเว่อร์ จากคุณ : ฯลฯ - [ 17 ธ.ค. 51 15:57:51 A:58.9.80.237 X: TicketID:192266 ]

ความคิดเห็นที่ 18 คห.16 ในโจทก์ตัวอย่างของผมในคห.9 ไม่ได้บอกว่ารัฐบาลจะผลิตเงินเพิ่มเพื่อเอามาแจกประชาชนฟรีๆ โดยไม่ต้องทำงาน ที่คุณบอกว่า ไม่ต้องทำงานก็มีเงินแจกจากรัฐ อันนี้ไม่ใช่ตัวอย่างของผม ตามโจทก์ของผม คือทุกคนต้องทำงานแลกเงิน ถ้าจะขายวัสดุ ก็ต้องมีวัสดุขาย ถ้าจะขายแรงงาน ก็ต้องใช้แรงงานเข้าแลกเงิน จากคุณ : ฯลฯ - [ 17 ธ.ค. 51 16:01:04 A:58.9.80.237 X: TicketID:192266 ]

ความคิดเห็นที่ 19 ขอบคุณทุกท่านมากค่ะ ที่ช่วยตอบ ก็พอจะเข้าใจค่ะ แต่ก็ยังมองไม่ค่อยเห็นภาพเหมือนที่คุณ ฯลฯ บอก ยังรอคนมาช่ายอธิบายโจทย์ใน คห9 อยู่นะคะ รบกวนด้วยค่ะ จากคุณ : จขกท - [ 17 ธ.ค. 51 16:31:48 A:202.12.118.61 X: ]

ความคิดเห็นที่ 20 ขอโทษทีคุณ ฯลฯ คห.18 ผมมองไปที่กระทู้ครับ แต่ได้อ่าน คห.ของคุณหลายคห.ก็เลยจำผิดๆถูกๆ -ถ้ารัฐนำเงินมาแจก โดยเอาเงินที่มีอยู่แล้ว ผลรัฐติดลบ เงินคงคลังก็ไม่พอ  เพราะงบประมาณขาดดุลรัฐก็ติดลบล่วงหน้าอยู่แล้ว -หากเอาทรัพยากรมาเป็นตัววัด ก็ไม่ต่างกันคือ แปลงสินทรัพย์เป็นทุน ทุนตัวนี้ก็คือทุนในอนาคต เพราะขณะนี้ก็ทำเช่นนั้นอยู่โดยหวังว่า จะเก็บรายได้มาดุลรายจ่ายได้ จึงตั้งงบประมาณติดลบ (รายจ่ายมากกว่รายรับ) เท่ากับว่า เอาการคาดการณ์ว่าจะมีรายได้ในอนาคตมาตั้ง เป็นรายได้ที่เกิดขึ้นแล้วในปัจจุบันนั่นเอง(งงมั้ย)แต่รายจ่ายจริงกลับเป็นรายจ่ายที่ต้องจ่ายจริง แต่ก็ยังไม่คล่องอยู่ดี ผลรวมมาจากปัจจัยภายนอก ผลิตแล้วขายไม่ได้เท่าที่อยากขาย แต่ขณะเดียวกันก็มีความจำเป็นต้องจ่ายเงินเพื่อนำเข้าปัจจัยจากภายนอกที่ผลิตเองไม่ได้ แรงซื้อจากภายนอกก็ต่ำ แรงซื้อจากภายในยิ่งแย่ เงินเลยไม่สะพัด ติดขัดไปหมด แถมงบประมาณก็ยังไม่เบิกจ่ายให้ทันเวลาซะอีก จากคุณ : สัญญาป่าเหนือ - [ 17 ธ.ค. 51 16:42:22 ]

ความคิดเห็นที่ 21 ผมว่าถ้าคุณสัญญาป่าเหนือเข้าใจในเรื่องนี้อย่างแท้จริงๆ ไม่ได้เพียงท่องจำมา ก็น่าจะอธิบายโจทก์ที่ผมตั้งขึ้นมาให้เข้าใจได้ง่ายๆ นะครับ ไม่ใช่ยิ่งอธิบายก็ยิ่งงงมากขึ้น ลองย้อนกลับขึ้นไปดูโจทก์ที่ผมตั้งขึ้นมาให้ดีๆ นะครับ หรือดูจากตรงนี้ก็ได้ โจทก์ >> รัฐบาลไม่มีทุนสำรอง ไม่มีทองคำที่เป็นตัวค้ำประกันค่าเงินที่จะผลิตเพิ่ม รัฐบาลไม่มีเงินที่จะสร้างทางรถไฟฟ้า 10 สายมูลค่า 1 ล้านล้านบาทได้เอง ขอกู้เงินจากกองทุนต่างประเทศ หรือรัฐบาลต่างประเทศ ก็กู้ไม่ได้ ก็เลยใช้วิธีผลิตเงินเพิ่มเอง 1 ล้านล้านบาทเพื่อเอามาว่าจ้างบริษัทในประเทศที่มีเทคโนโลยีหรือศักยภาพที่จะสร้างทางรถไฟฟ้าได้โดยไม่ต้องพึ่งต่างประเทศ บริษัทในประเทศ (สมมุติว่าชื่อบริษัท ก.) พอได้สัญญาจ้างเหมานี้ ก็ไปจ้างแรงงานที่กำลังตกงาน 5 แสนคนเพื่อมาเร่งก่อสร้างทางรถไฟฟ้านี้ แต่ไม่ได้จ้างในราคาสูงเว่อร์วันละ 2 -3 พันบาทอย่างนั้นนะครับ ก็แค่จ้างในอัตราค่าแรงขั้นต่ำ 267 บาท/วัน มีระยะเวลาโครงการแล้วเสร็จประมาณ 5 ปี การซื้อวัสดุต่างๆ ก็ซื้อในราคาปกติ ไม่ได้แพงเว่อร์ ใครอยากได้เงิน ก็ต้องเอาสินค้ามาแลก เอาแรงงานมาแลก จากคุณ : ฯลฯ - [ 17 ธ.ค. 51 16:51:51 A:58.9.80.237 X: TicketID:192266 ]

ความคิดเห็นที่ 22 ไม่ต้องเอาตำราเศรษฐศาสตร์จุลภาคหรือมหภาคมากางเพื่ออธิบาย แต่ขอให้อธิบายด้วยภาษาที่เข้าใจกันง่ายๆ นี่แหละว่าเพราะอะไร การผลิตเงินเพิ่ม 1 ล้านล้านบาท ตามโจทก์ที่ผมตั้งขึ้นมา จะทำให้เป็นผลเสียต่อระบบเศรษฐกิจถึงขนาดเงินจะกลายเป็นเศษกระดาษ หรือเงินจะเฟ้อขึ้นมาถึงขนาดนั้น ลองคิดดูว่าถ้าในขณะที่ภาวะเศรษฐกิจกำลังตกต่ำอย่างรุนแรง มีคนที่เคยเป็นแรงงานในระบบแต่ต้องมาตกงานนั่งตบยุงเล่นกันเป็นล้านคน ข้าวของก็ขายกันไม่ออก ผลไม้ขายไม่ออกก็สุกคาต้นหรือต้องเอาไปทำลายทิ้งโดยเปล่าประโยชน์ หมูไก่เป็ดก็ต้องเอาไปฆ่าทิ้งหรือโยนลงทะเลาเพราะขายไม่ออก จะเห็นว่าทรัพยากรเหล่านี้ต้องถูกทิ้งไปโดยเปล่าประโยชน์ ไม่ว่าจะเป็นแรงงานมีฝีมือ ผลไม้หรือพืชทางเศรษฐกิจ สัตว์เศรษฐกิจ ฯลฯ ถ้ารัฐบาลจะแก้ปัญหาด้วยการผลิตเงินเพิ่ม (โดยไม่มีทุนสำรองรองรับ) แต่ไม่ได้เอามาแจกฟรีๆ แต่เอามาใช้ในโครงการเมกกะโปรเจคอย่างที่ผมตั้งโจทก์มา เพื่อให้เงินมันกระจายตัวไปจากบนลงล่างและหมุนเวียนเข้าไปสู่ระบบ คนงานที่เคยตกงานก็กลับมามีงานทำกับหลายแสนคน เมื่อมีงานมีเงินจากค่าแรงขั้นต่ำ ก็เอาไปจับจ่ายใช้สอย ซื้อหมูเห็ดเป็ดไก่ จ่ายค่าเช่าห้อง ซื้อเสื้อผ้า สารพัด ฯลฯ ซึ่งผมยังมองไม่ออกว่ามันจะเกิดผลเสียได้อย่างไรกับการผลิตเงินเพิ่มโดยไม่มีทุนสำรองรองรับ เพราะข้าวของคงจะไม่แพงขึ้นอย่างก้าวกระโดด อาจจะเฟ้อขึ้นบ้างนิดหน่อย แต่มันก็กว่าปล่อยให้เศรษฐกิจซบเซา เพราะอย่างน้อยก็ได้ใช้ทรัพยากรอย่างคุ้มค่า จากคุณ : ฯลฯ - [ 17 ธ.ค. 51 17:36:54 A:58.9.80.237 X: TicketID:192266 ]

ความคิดเห็นที่ 23 มีเงินมาก ก็บริโภคน้ำมันมากขึ้น  มลพิษก็มากขึ้น 1ล้านล้านบาท ช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจให้คนมีรายได้มากขึ้น พอหมดเงินแล้ว เศรษฐกิจก็หดตัวเหมือนเดิม  แต่สินค้าราคาไม่ค่อยจะหดตาม จากคุณ : starbless - [ 17 ธ.ค. 51 19:18:12 ]

ความคิดเห็นที่ 24 คห.23 ไม่ได้อธิบายอะไรเลย มลพิษมากขึ้น ก็ไม่เกี่ยวกับประเด็นนี้ เอาออกไปก่อน เพราะผมอยากจะดูเพียงแค่ว่าการผลิตเงินเพิ่มมากขึ้นกว่าทุนสำรอง จะไปทำให้เงินกลายเป็นเศษกระดาษได้อย่างไร ส่วนที่บอกว่าพอเงินหมดแล้ว เศรษฐกิจก็หดตัวเหมือนเดิม ก็ยังสงสัยอยู่ว่าเงินจะหมดได้อย่างไร ในเมื่อเงินมันหมุนเวียนเข้าไปสู่ระบบ ผัดเปลี่ยนหมุนเวียนจากมือสู่มือ พ่อค้าแม่ค้าที่เคยขายของไม่ออก ก็เริ่มกระบวนการผลิตมากขึ้น ชาวสวนก็ใช้ที่ดินให้คุ้มค่ามากขึ้นเพื่อให้ได้ผลผลิตมากขึ้น ชาวนาก็ขายข้าวได้มากขึ้น แร่เหล็กที่เคยอยู่ใต้ดิน ก็ถูกขุดขึ้นมาใช้ประโยชน์ แรงงานที่เคยว่างงานก็ถูกนำมาใช้ประโยชน์อย่างคุ้มค่าแทนที่จะปล่อยให้นั่งตบยุงเล่นไปวันๆ พอเงินมันกระจายตัวไปในระบบเศรษฐกิจ มันก็จะแพร่กระจายตัวออกไป ก่อให้เกิดการนำทรัพยากรที่เคยปล่อยทิ้งปล่อยขว้างกลับมาใช้ประโยชน์อย่างเต็มที่ เกิดการจ้างงานมากขึ้น ของขายได้มากขึ้น เศรษฐกิจดีขึ้น แล้วเงินมันจะหายออกไปจากระบบตรงไหน ช่วยอธิบายที จากคุณ : ฯลฯ - [ 17 ธ.ค. 51 19:47:09 A:58.9.80.237 X: TicketID:192266 ]

ความคิดเห็นที่ 25 เข้าใจง่ายๆดังนี้ ประเทศไทยก็เหมือนบริษัทหนึ่งที่จะต้องทำงบการเงิน ไม่แน่ใจว่าธนาคารแห่งประเทศไทยหรือไม่ที่เป็นผู้ทำ ในงบการเงินโชว์ตัวเลขของงบต่างๆคล้ายบริษัทนั่นแหละ  ถ้าสินทรัพย์มีมากกว่าหนี้สิน เงินสำรองของประเทศก็จะมาก หนี้สินมากกว่าทรัพย์สิน เงินสำรองของประเทศก็จะน้อยลง  อันมีผลกระทบต่อค่าเงินบาทจะสูงหรือต่ำ ทีนี้การทำงบการเงินทุกอย่างจะต้องมีข้อเท็จจริงต่างเกิดขึ้นจริงและมีเอกสารประกอบที่มาที่ไป อยู่ดีๆเราพิมพ์เงินขึ้นมาเอง งบการเงินประเภทสินทรัพย์นี้ก็จะเพิ่มขึ้นมาลอยๆโดยไม่มีแหล่งที่มา มันทำไม่ได้ ประเด็นใครจะกล้าทำ ทำแล้วสังคมโลกไม่ยอมรับ ก็จะกระทบกับค่าเงินที่ขาดความน่าเชื่อถือ เมื่อขาดความน่าเชื่อถือก็ไม่มีใครต้องการเงินบาท ผลแม้จะมีเงินมากเท่าใดก็ไม่มีใครต้องการ จากคุณ : phabat77 - [ 17 ธ.ค. 51 22:17:58 ]

ความคิดเห็นที่ 26 เคยคิดเล่นๆว่า คงมีการแอบพิมพ์ธนบัตร(ของแท้)ขึ้นมาบ้างแหละ ในเวลาที่เงินรัฐบาลขาดมือ ตอนนี้มีเงินปลอมมาหมุนเวียนในตลาดค่อนข้างมาก แต่ก็ยังไม่มีผลอะไรนัก ถ้าต้องเกิดผลกระทบอย่างที่ว่าๆกัน คงต้องมีเงินมาเพิ่มเยอะมากๆเลยทีเดียว จากคุณ : Original April - [ 17 ธ.ค. 51 22:49:10 ]

ความคิดเห็นที่ 27 ประชาชนก็จะรู้สึกว่าเศรษฐกิจดี (ก็ดีจริงๆ ในช่วงแรกๆ เงินมันสะพัด อยากทำอะไรก็พิมพิ์แบงค์) เงินหาง่ายมาก ค่าแรง 267 บาท/วัน มันหาง่าย เกี่ยงงานเพราะรวย ไม่อยากทำ ถ้าจะทำต้องได้มากจูงใจกว่านั้นอีก ค่าแรงก็จะเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ก๋วยเตี๋ยวก็จะแพงขึ้นเรื่อยๆ(ด้วยเหตุผลเดียวกัน) อาจจะถึงชามละ13,500 บาท (สมมุติว่าค่าเงินใกล้เคียงเงินด่องของเวียดนาม ) หรืออาจจะมากกว่าขึ้นอยู่กับปริมาณเงินที่พิมพิ์ออกมาเพิ่ม สินค้าและบริการทุกอย่างในทุกภาคส่วนก็จะแพงตาม (ด้วยเหตุผลเดียวกัน) คนมีเงินเดือน 20,000 ก็อาจจะกลายเป็น 9,000,000 บาท แต่กินก๋วยเตี๋ยวได้ปริมาณเท่าเดิม ชามละ 30 บาท กลายเป็นชามละ 13,500 บาท ส่วนเหตุผลในการพิมพิ์เงิน ก็ประมาณเหตุผลของ คห.25 ถ้าเราพิมพิ์ได้ไม่อั้นอีกหน่อยเราคงซื้อได้ทั่วโลก กลายเป็นจ้าวโลก 555 ประเทศอื่นจะยอมหรือ? เค้าก็จะพิมพิ์บ้าง คราวนี้คงยุ่งน่าดู จึงต้องมีกติกาเกิดขึ้น จากคุณ : Black in Black - [ 17 ธ.ค. 51 23:05:59 A:58.9.135.216 X: TicketID:195779 ]

ความคิดเห็นที่ 28 เงินคืออะไร? ตัวมันเองแทบจะไม่มีค่าเลยนะครับ เป็นแค่กระดาษ มีไว้เป็นตัวกลางสำหรับแลกเปลี่ยนสินค้าและบริการเท่านั้นเอง ลองจินตนาการดู สมมติพรุ่งนี้เช้าคุณตื่นขึ้นมาแล้วหน่วยเงินทุกอย่างถูกคูณด้วย 1,000 ก๋วยเตี๋ยวจากชามละ 30 บาทเป็นชามละ 30,000 บาท น้ำมันลิตรละ 20 บาทเป็นลิตรละ 20,000 บาท หมูกิโลกรัมละ 100 บาทเป็น 100,000 บาท เงินเดือน 30,000 บาทเป็น 30,000,000 บาท ชีวิตมีอะไรเปลี่ยนแปลงไหมครับ? คำตอบคือไม่มีเลย เพราะคุณยังสามารถแลกเปลี่ยนสินค้าและบริการได้เหมือนเดิม สมมติฐานที่สำคัญที่สุดอันหนึ่งของเศรษฐศาสตร์คือ "ทรัพยากรมีจำกัด" มันเป็นไปไม่ได้ครับที่ผลไม้และเนื้อสัตว์จะถูกทำลายเพราะไม่มีคนต้องการตาม คห.22 (มันอาจถูกทำลายเพราะเหตุผลอื่น เช่นเพื่อควบคุมราคา) เพราะหากเป็นเช่นนั้นจริง ราคาผลไม้และเนื้อสัตว์ในท้องตลาดจะต้องเป็นหรือใกล้เคียง 0 บาท คือแจกฟรี คุณคิดหรือครับว่าถ้ามีคนประกาศว่ามีเนื้อหมูไก่เป็ดขายราคากิโลกรัมละ 1 บาทจะไม่มีคนเอา? ทีนี้หาก "ทรัพยากรมีจำกัด" จะเกิดอะไรขึ้นหากในสภาวะเศรษฐกิจปกติ รัฐบาลพิมพ์ธนบัตรจำนวนมากแล้ว "นำไปใส่" ในระบบเศรษฐกิจ? สมมติตอนแรกมีคนจำนวน 10,000,000 คน แต่ละคนมีเงินเดือน 10,000 บาท พอรัฐอัดฉีดเงินจำนวนมหาศาลเข้าไปในระบบ เป็นผลทำให้มีคน 20,000,000 คนมีเงินเดือน 10,000 บาท จะเกิดอะไรขึ้นครับ? อย่าลืม "ทรัพยากรมีจำกัด" ราคาสินค้าจะต้องพุ่งขึ้นอย่างแน่นอนเพราะ demand มีมากขึ้น (มีคนมีเงินอยู่ในมือเพิ่มขึ้น) แต่ทรัพยากรสินค้ามีจำกัด ทีนี้พอราคาสินค้าขึ้น เงินจำนวนเดิมก็จะซื้อสินค้าได้น้อยลง ก็คือเงินเฟ้อครับ ที่คุณยกตัวอย่างใน คห.9 นั้นมันสามารถใช้งานได้ครับ ถ้าสมมติฐาน "ทรัพยากรมีจำกัด" ไม่เป็นจริง (ลองดูประเทศแถบอาหรับที่รวยน้ำมันมากๆ เป็นตัวอย่าง) หรือหากการจ้างงานทำให้ "ผลผลิต" หรือ supply มันเพิ่มขึ้นจริง จากคุณ : rp - [ 18 ธ.ค. 51 01:05:50 A:125.25.31.68 X: TicketID:153655 ]

ความคิดเห็นที่ 29 จากโจทย์ของความคิดเห็นที่๙ สมมุติว่ารัฐบาลไทยมีอภิมหาเมกะโปรเจคที่จะสร้างรถไฟฟ้าทั่วเมืองหลวงถึงปริมณฑล 10 สาย 10 ทิศ ต้องใช้เงินลงทุน 1 ล้านล้านบาท แต่รัฐบาลบ่จี๊ ไม่มีตังค์พอ แล้วก็ไม่มีกองทุนไหนหรือประเทศไหนให้กู้ยืมเงิน รัฐบาลก็เลยใช้วิธีพิมพ์เงินเพิ่ม 1 ล้านล้านบาทเพื่อเอาไปใช้จ้างเหมาบริษัทในประเทศ (สมมุติว่าเมืองไทยมีบริษัทที่มีความสามารถพอสร้างรถไฟฟ้าทั้งระบบได้โดยไม่ต้องพึ่งเทคโนโลยีจากต่างชาติ) พอบริษัทได้สัญญาจ้าง ก็เริ่มการลงทุนโดยซื้อวัตถุดิบ และจ้างแรงงานเพิ่มเป็นแสนคนซึ่งก็คือพวกที่กำลังตกงาน คนที่จะได้ประโยชน์ต่อจากนั้นก็คือคนขายวัตถุดิบ วัสดุก่อสร้าง และคนงาน ฯลฯ ซึ่งพวกเหล่านี้ก็จะมีเงินไปจับจ่ายใช้สอย ธุรกิจที่กำลังซบเซาก็น่าจะตื่นตัวขึ้น เงินเหล่านี้ก็จะหมุนเวียนไปในระบบ แต่ผมยังมองไม่ออกว่าสุดท้ายแล้ว การพิมพ์เงินเพิ่ม 1 ล้านล้านบาท จะไปทำให้ค่าเงินไร้ค่าหรือกลายเป็นแค่เศษกระดาษได้อย่างไร ใครช่วยวิเคราะห์ที ... จากคุณ : แดดเช้า - [ 18 ธ.ค. 51 07:26:25 ]

ความคิดเห็นที่ 30 การพิมพ์ธนบัตร มูลค่าของสินทรัพย์ ทุนสำรองเงินตราจะต้องเท่ากับมูลค่าของธนบัตรที่ออกใช้" ดังนั้นธนบัตรมีมูลค่า 1ล้านล้านบาท จึงต้องมีสินทรัพย์ทุนสำรองเงินตราหนุนหลังเช่น ทองคำ เงินตราต่างประเทศ หลักทรัพย์รัฐบาลไทย และตั๋วเงินในประเทศค้ำประกัน ทีนี้ ถ้าเรามาดูโจทย์ เราพิมพ์มาโดยไม่มี ทุนสำรองเงินตรา หากเราปิดประเทศเลยคงไม่เป็นไรแต่ว่าปัจจุบันเราต้อง ค้าขายกับต่างประเทศหากเราไม่มีทุนสำรองเงินตราก็คงไม่มีใครเชื่อถือ ไม่มีใครมาค้าขายกับเรา หากประเทศต่างๆไม่รับเงินบาท ใครๆก็ไม่เอาเงินเราก็จะด้อยค่ากลายเป็นกระดาษไปในที่สุด จากคุณ : tesoek b.b - [ 18 ธ.ค. 51 10:18:10 ]

ความคิดเห็นที่ 31 OK จะลองอธิบายดู สมมติในสภาวะเศรษฐกิจปกตินะครับ โจทย์คือ รัฐบาลพิมพ์เงิน 1 ล้านล้านบาท จ้างบริษัทก่อสร้าง บริษัทต้องซื้อเหล็กทำการก่อสร้าง ต้องจ้างคนงาน คนงานก็ต้องกินอาหาร demand และ supply เป็นตัวกำหนดราคาของอาหารและเหล็ก ก่อนจ้าง เหล็กราคาหน่วยละ 1,000 บาท อาหารมื้อละ 10 บาท ทั้งเหล็กและอาหารมีปริมาณจำกัด (เพราะถ้ามีปริมาณไม่จำกัด ทั้งคู่จะราคา 0 บาท) พอจ้างแล้ว จำนวนคนที่มีเงินก็มีมากขึ้นเพราะบริษัทจ้างงาน ความต้องการของเหล็กก็มีมากขึ้นเพราะต้องก่อสร้าง สรุปคือ demand ของอาหารและเหล็กเพิ่มขึ้น แต่ supply ของอาหารและเหล็กเท่าเดิม สิ่งที่จะเกิดขึ้นก็คือราคาของอาหารและเหล็กจะเพิ่มขึ้นตามกลไกการแข่งขันของตลาด เหล็กจะราคา 2,000 บาท อาหารจะมื้อละ 20 บาท สิ่งที่ตามมาก็คือเงินเฟ้อ เพราะจำนวนเงินเท่าเดิมซื้อของได้น้อยกว่า ทำให้เงินออมของประเทศมีค่าน้อยลง ส่วนตัว "เงิน" นั้น พอมี supply ของเงินเพิ่มขึ้น ค่าของเงินก็จะ "ถูก" ลง ทำให้เงินยิ่งเฟ้อเข้าไปอีก ถามว่า ทำไมไม่เพิ่มปริมาณ supply ของอาหารและเหล็กล่ะ? คำตอบคือ แล้วจะเอามาจากใหนล่ะครับ ถ้าไม่ใช่ import มาจากต่างประเทศ? แล้วถ้าจะ import คุณก็ต้องเอาอะไรไปแลกเปลี่ยนกับเขา ถ้าคุณเป็นซาอุ คุณก็เอาน้ำมันไปแลกเปลี่ยนได้เรื่อยๆ ไม่มีจำกัด แต่ถ้าคุณเป็นไทย คุณจะเอาอะไรไปให้เขาล่ะครับ เมื่อก่อนจะซื้อเหล็กจากเขา จ่าย 1,000 บาทต่อหน่วย ตอนนี้เขาจะเอา 2,000 บาท แล้วคุณจะพิมพ์เงินขึ้นมาทำไมล่ะครับ อย่าลืมว่าก่อนที่จะมี "เงิน" มนุษย์เราแลกเปลี่ยนสินค้าโดยตรง หมูแลกเหล็ก เหล็กแลกหมู เงินมันเป็นแค่ตัวกลางเพื่อความสะดวก การที่คุณพิมพ์ธนบัตรเพิ่มขึ้นมันไม่ได้ทำให้ปริมาณเหล็กหรือหมูเพิ่มขึ้นเลยนี่ครับ หลักการที่สำคัญที่สุดคือ "ทรัพยากรมีจำกัด" ถ้าคุณเข้าใจตรงนี้ ทุกอย่างก็จะกระจ่างครับ จากคุณ : rp - [ 18 ธ.ค. 51 12:25:28 A:125.25.53.21 X: TicketID:153655 ]

ความคิดเห็นที่ 32 แหม ต้องขอบคุณทุกท่านที่พยายามจะช่วยกันอธิบายให้คนโง่เรื่องเศรษฐศาสตร์อย่างผมเข้าใจ อย่าง คห.31 นี่ อธิบายได้ใกล้เคียงกับความเป็นจริงหน่อยนะครับ ถึงแม้จะอธิบายไปยังไม่ถึงจุดที่ว่าค่าเงินจะกลายเป็นเศษกระดาษแบบว่าจะซื้อของที ก็ต้องหอบเงินเป็นปี๊บไปซื้อได้อย่างไร ผมว่าถ้ารัฐบาลผลิตเงินเพิ่มเกินกว่าทุนสำรองบ้าง ก็น่าจะเป็นการกระตุ้นเศรษฐกิจในช่วงภาวะเงินฝืดได้เป็นอย่างดี อัดฉีดเงินเข้าไปสู่โครงการเมกกะโปรเจคใหญ่ๆ ให้คนที่กำลังตกงานได้มีงานทำ มีรายได้ เมื่อมีรายได้ ก็เกิดการซื้อการขาย กระบวนการผลิตต่างๆ ที่เคยหยุดชะงักก็เริ่มต้นกลับมาอีกครั้ง ทรัพยากรธรรมชาติอย่างเช่นที่ดินที่เคยปล่อยทิ้งร้างเพราะไม่มีการลงทุนเพิ่ม ก็ถูกนำกลับมาลงทุนใส่ปุ๋ย รดน้ำพรวนดินเพื่อเพิ่มผลผลิตทางการเกษตร หมู เป็ด ไก่ กุ้ง ปลา ฯลฯ ที่เป็นสัตว์เศรษฐกิจก็ถูกผลิตเพิ่มเพื่อป้อนเข้าสู่ตลาด สินแร่ที่มีอยู่ใต้ดินที่เคยปล่อยทิ้งไว้เพราะการก่อสร้างหยุดชะงัก ก็ถูกขุดขึ้นมาใช้อย่างคุ้มค่า ฉะนั้น ผลผลิตมวลรวมประชาชาติหรือที่เรียกว่า GDP ก็เพิ่มขึ้น เงินที่รัฐบาลผลิตเพิ่มขึ้นก็มีฐานรองรับสนับสนุน ไม่ใช่ลอยๆ จากคุณ : ฯลฯ - [ 18 ธ.ค. 51 14:50:21 A:58.9.86.217 X: TicketID:192266 ]

ความคิดเห็นที่ 33 ถ้างั้นก็หมายความว่าถ้าหากเมื่อไหร่ที่เกิดเศรษฐกิจซบเซา มีคนตกงาน มีทรัพยากรที่ถูกปล่อยร้างว่างเปล่า ก็ใช้วิธีใส่เงินเพิ่มเข้าไปยังงี้ได้สิครับ อย่างกรณีที่ คุณ ฯลฯ ว่า แสดงว่าถูก จากคุณ : deemakak (deemakak) - [ 18 ธ.ค. 51 16:27:56 ]

ความคิดเห็นที่ 34 คห.33 ผมว่าถ้าผลิตเงินเพิ่มเกินกว่าทุนสำรองหรือทองคำในคลัง แต่ไม่ต้องมากมาย เอาแค่พอกระตุ้นเศรษฐกิจให้มันกลับมาคึกคักฟื้นฟู แล้วเป็นการผลิตเงินเพิ่มโดยคาดการณ์จาก GDP ที่จะเพิ่มขึ้นจากการอัดฉีดนี้ ก็น่าจะเป็นไปได้ คือว่าถ้าโยนตำราเศรษฐศาสตร์ทิ้งไปก่อน แล้วนึกถึงความเป็นจริงว่ามันจะเกิดผลเสียอะไรบ้าง ผมก็ยังมองไม่ออก ที่หลายคนบอกว่าข้าวของจะแพงขึ้นมโหฬาร อันนี้ผมว่าไม่น่าจะถึงขนาดนั้น เพราะอย่าลืมว่าคนที่ตกงานหลายแสนคนหรือเป็นล้านคนในขณะนี้ ก็คือคนที่เคยเป็นแรงงานในระบบมาก่อน เคยมีงานทำ มีรายได้ และเคยมีความสามารถจับจ่ายใช้สอยได้ แต่กำลังความสามารถของพวกเขาต้องหดลงไปเพราะการตกงาน ดังนั้น ถ้าป้อนงานกลับคืนไปให้พวกเขาอย่างเดิม เขาก็กลับมามีความสามารถในการจับจ่ายใช้สอยเหมือนอย่างเดิม ไม่ได้มากมายเหลือเฟือหรือมีความต้องการในสินค้ามากมายสูงปรี๊ดจนจะทำให้สินค้าขาดตลาดขนาดนั้น ข้าวแกงเคยราคา 25 บาทอย่างไรก่อนตกงาน พอคนตกงานกันมากเข้า ราคาข้าวแกงอาจจะตกลงไปอยู่ที่ 20 บาทเพื่อให้พอกับกำลังจับจ่ายของคนตกงาน แต่พอพวกเขากลับมามีงานทำ ราคาข้าวแกงก็อาจจะกลับไปยืนอยู่ที่ราคาเดิมก่อนภาวะว่างงาน มันก็แค่นี้เอง ไม่ใช่ว่าราคาข้าวแกงจะแพงเว่อร์ไปขนาดจานละ 3,000 - 4,000 บาท ซึ่งเป็นไปไม่ได้เลย จากคุณ : ฯลฯ - [ 18 ธ.ค. 51 16:52:18 A:58.9.86.217 X: TicketID:192266 ]

ความคิดเห็นที่ 35 ความคิดเห็นที่ 34 ผมว่าถ้าผลิตเงินเพิ่มเกินกว่าทุนสำรองหรือทองคำในคลัง แต่ไม่ต้องมากมาย เอาแค่พอกระตุ้นเศรษฐกิจให้มันกลับมาคึกคักฟื้นฟู แล้วเป็นการผลิตเงินเพิ่มโดยคาดการณ์จาก GDP ที่จะเพิ่มขึ้นจากการอัดฉีดนี้ ก็น่าจะเป็นไปได้=====>Impossible คือว่าถ้าโยนตำราเศรษฐศาสตร์ทิ้งไปก่อน แล้วนึกถึงความเป็นจริงว่ามันจะเกิดผลเสียอะไรบ้าง ผมก็ยังมองไม่ออก ที่หลายคนบอกว่าข้าวของจะแพง ขึ้นมโหฬารอันนี้ผมว่าไม่น่าจะถึงขนาดนั้น======> Yes,it is. very veryขึ้นมโหฬาร ข้าวแกงเคยราคา 25 บาทอย่างไรก่อนตกงาน พอคนตกงานกันมากเข้า ราคาข้าวแกงอาจจะตกลงไปอยู่ที่ 20 บาท======> This is not true and impossible ราคาข้าวแกงก็อาจจะกลับไปยืนอยู่ที่ราคาเดิมก่อนภาวะว่างงาน มันก็แค่นี้เอง ไม่ใช่ว่าราคาข้าวแกงจะแพงเว่อร์ไปขนาดจานละ 3,000 - 4,000 บาท ซึ่งเป็นไปไม่ได้เลย ===========>it s possible You forgot to think of human nature. จากคุณ : but i am not sure - [ 18 ธ.ค. 51 18:39:44 A:60.51.3.237 X: TicketID:198139 ]

ความคิดเห็นที่ 36 1ล้านล้านบาท ถ้ามันสามารถกระจายให้คนไทยทั้งประเทศ 63 ล้านคน เท่ากัน จะได้คนละ 15,000-16,000 บาท (สมมุติว่าได้จากการสร้างงานไม่ได้แจกเฉยๆ) ไหนๆจะพิมพิ์เงินทั้งทีพิมพิ์ให้คนละ 1 ล้านไปเลยจะได้ไม่มีคนจน ต้องใช้เงิน 63 ล้านล้านบาท สร้างงานอภิมหาเมกกะโปรเจค รถไฟฟ้าทั่วประเทศไทย คนไทยที่จนที่สุดในประเทศก็มีเงิน 1 ล้านบาท (สมาชิกครอบครัว 4 คนก็จะมี 4 ล้านบาท )คิดว่าจะเกิดอะไรขึ้นบ้าง? ลองจินตนาการดูครับ... จากคุณ : Black in Black - [ 18 ธ.ค. 51 20:50:02 A:58.9.135.136 X: TicketID:195779 ]

ความคิดเห็นที่ 37 ถึงคุณ ฯลฯ คุณต้องทดไว้ก่อนนะครับ ว่า ตำราเศรษฐศาสตร์ ส่วนมากเป็นทฤษฎี และมีตัวแปรควบคุมมากมายครับ ผมเองเรียนมานิดหน่อย เท่าที่เข้าใจ คิดว่าที่ไม่มีใครคิดว่า ความคิดคุณเป็นไปได้ เพราะว่ายังไม่มีทฤษฎีมาลบล้าง อันเดิมได้ครับ แล้วมันใช้มานานและก็จริงมาโดยตลอด การผลิตเงินเพิ่มเกินกว่าทุนสำรองหรือทองคำในคลัง ไม่สามารถทำได้เนื่องจากเราได้มีข้อตกลงเรื่องนี้ไว้กับ นานาชาติ (น่าจะธนาคารโลกนะ จำไม่ได้แล้ว) รู้สึกว่าจะผูกกะทองนะ แต่ความคิดของคุณมีคนทำแน่ๆๆครับ ลองคิดมุมกลับนะครับ ถ้าทุกคนทำตามที่หนังสือบอก ทำไมสินค้าโดยรวมถึงแพงขึนละครับอนกัน ผิดถูก ก็แนะนำได้นะครับ คืนวิชาอาจารย์ไปหมดแล้ว จากคุณ : เรียนไปกินไป (n_pete) - [ 18 ธ.ค. 51 21:15:17 ]

ความคิดเห็นที่ 38 ... เข้ามาดู จากคุณ : Mr. Fusion - [ 19 ธ.ค. 51 01:28:48 ]

ความคิดเห็นที่ 39 ทำไหม ไม่ย้อนดูประวัติศาสตร์ละครับ ในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 สมัยที่ญี่ปุ่น ผลิตเงินเอง นำมาใช้ในประเทศไทย จากข้าว ถังละ ไม่กี่สลึง ขึ้นมาเป็นบาท จากที่ก่อนหน้านั้นเราพกเงิน สลึงไม่กี่สลึง ซื้อก๋วยเตี๋ยวได้ หลายชาม เพียงไม่นาน เงินสตางค์กับไรค่า ต้องพก แบงค์บาทในการใช้จ่าย ความคิดของคุณ ฯลฯ เคยเกิดขึ้นมาแล้ว แต่ผมจำไม่ได้ว่าสมัยใหน การทำเช่นมันเป็นการเร่งให้ค่าของเงินน้อยลงเร็วขึ้นจากปกติ จากทองบาทละ 1000 ขึ้นมาเป็นหลายพัน อยากยกตัวอย่างมาอธิบาย ก็ไม่รุ้จะเรียบเรียงอย่างไร เหมือนการที่รัฐบาลเพิ่มเงินเดือนข้าราชการ จำได้ว่าของขึ้นราคาตามเงินเดือนขึ้นมาด้วย นายเอ มีเงินในกระเป๋ามาก นายบีเป็นพ่อค้าต้องการเงินในกระเป๋าของนายเอ จากเมื่อก่อนขายก๋วยเตี๋ยวให้นายเอในราคา 10 บาทนายเอสามารถซื้อได้ นายบีขึ้นราคาเป็น 15 บาท นายเอไม่เดือดร้อนเพราะรายได้เพิ่มขึ้นก็ยินยอมที่จะจ่าย นายซี ซึ่งเป็นลูกจ้างของนายบีจากเมื่อก่อนได้ค่าจ้างวันละ 30 บาทซึ่งซื้อก๋วยเตี๋ยวได้ 3 ชามแต่ลดลงมาเหลือแค่ 2 ชามก็เรียกร้องขอขึ้นเงิน เห็นง่ายๆว่าตัวแปรที่สำคัญอยุ่ที่พ่อค้า ถ้าพ่อค้าไม่ขึ้นราคา ค่าของเงินก็อยุ่ที่เดิม ดีมานแอนซัมพาย คือความเต็มใจที่จะซื้อกับความเต็มใจที่จะขาย และตัวแปรอีกตัวหนึ่งคือผู้ซื้อ ถ้าผู้ซื้อไม่เต็มใจที่จะซื้อ ผู้ขายก็ต้องลดราคาลงมาให้พอดีกัน แต่ผู้ซื้อพอใจที่จะซื้อเพราะมีรายได้เพิ่มขึ้น ราคาของก็ขึ้นเพราะลูกค้าพอใจที่จะซื้อ ถ้าคุณเล่นเกมออนไลย์ คุณจะรุ้เลยว่า ระบบเศรษฐกิจที่มีเงินหมุนเวียนในตลาดเป็นอย่างไง เงินเฟ้อมากขนาดใหน เพราะยิ่งเราหาเงินมาได้มากเท่าไร เราก็ใช้มากเท่านั้น มันเป็นผลสะท้อนที่เห็นอย่างรวดเร็ว ของความไร้ค่าของเงินใน โลกสมมุติ ที่เปรียบเทียบกับโลกแห่งความเป็นจริงได้เลย ความพอเพียงไม่มีในนิยามของพ่อค้า จากคุณ : foxloveth - [ 19 ธ.ค. 51 04:48:54 ]

ความคิดเห็นที่ 40 สวัสดีครับ ผมมาช้าไปเสียล่ะกระมัง - เมื่อเราพิมพ์เงินมากขึ้น เหมือนเป็นการเพิ่มเงินลงไปในระบบ (ง่ายๆคือรัฐพิมพ์เงินใช้เองอย่างที่เข้าใจ) คนเราก็จะเหมือนมีเงินสดในมือมากขึ้นคนเราใช่ว่าจะถือเงินไว้เฉยๆจริงไหมครับ ในทางทฤษฎีแล้ว ก็จะเอาเงินนั้นไปซื้อพวกพันธบัตรรัฐบาลทั้งหลายที่ให้ผลตอบแทน - การที่คนหันไปซื้อพันธบัตรมากขึ้น คนที่จะขายพันธบัตรก็โก่งราคาสิครับ ขายแพงๆ ไอ้ขายแพงๆนี่ล่ะทำให้อัตราผลตอบแทนที่ได้รับมันลดลง (เพราะพันธบัตรจะให้ดอกเบี้ยคงที่ แต่ราคาพันธบัตรมันสูงขึ้นนิ) ก็เปรียบเหมือนอัตราดอกเบี้ยมันลดลง - เมื่ออัตราดอกเบี้ยลดลงแล้ว ก็จะส่งผลไปสู่ประชาชนทั่วไปคือเราจะกู้เงินมาซื้อของใช้ หรือเพื่อการลงทุนอื่นๆเพิ่มขึ้น แน่นอนคนซื้อของเพิ่มขึ้นก็ต้องมีการผลิตเพิ่มขึ้นตาม (GDP โตขึ้น) - แต่อย่าลืมว่าเมื่อคนต้องการซื้อสินค้ามากขึ้น (Demand เพิ่มขึ้น) การผลิตยังคงเท่าเดิม (Supply เท่าเดิม) ราคาสินค้าก็เพิ่มสูงขึ้นเรียกว่าเงินเฟ้อ เอาแค่นี้ก่อนนะครับ หากไม่ดูถึงภาคต่างประเทศ (และเรื่อง crowding out effect) สรุปทั้งหมดคือ เพิ่มเงิน (พิมพ์เงินเพิ่ม) ทำให้ราคาสินค้าแพงขึ้น แต่จะแพงขึ้นมากขนาดไหนก็แล้วแต่กรณีสินค้าว่ากันไป (ทางเศรษฐศาสตร์เรียกว่าตัวทวี) หากพิมพ์เงินมากๆๆๆ  ราคาสินค้าก็จะแพงขึ้นมากๆๆเช่นกัน เงินที่พิมพ์มา อาจจะเป็นเศษกระดาษได้ครับ ไม่รู้จะตรงตามที่ท่านต้องการหรือไม่นะครับ สงสัยต่อถามได้ครับ ถ้าผมตอบได้ก็จะตอบครับ ถ้าตอบไม่ได้ ผมก็จะตอบว่า "ไม่ทราบจริงๆ" ครับ ขอบคุณครับ ปล.ต้องมองเป็นภาพเศรษฐกิจรวมนะครับ อย่ามองเห็นภาพบุคคลเดียวคิดและทำเอง เดี๋ยวจะงง ปล.2 ในวงเล็บโดยมากเป็นศัพท์ทางเศรษฐศาสตร์ ถ้าอ่านหมดแล้วงง ลองอ่านข้ามวงเล็บไปนะครับ จากคุณ : ก.กา (suttirata) - [ 19 ธ.ค. 51 09:45:56 ]

ความคิดเห็นที่ 41 บ้ากันไปแล้ว ตอบคำถาม และคาดคะเนในเรื่องที่ตัวเองยังไม่รู้แบบนี้ มันจะไปกันใหญ่นะครับ จากคุณ : ยสินทร์ - [ 19 ธ.ค. 51 11:31:29 ]

ความคิดเห็นที่ 42 ผมขอตอบแบบที่เป็นคำพูดง่ายๆ ฟังแล้วเข้าใจง่ายๆ ไม่อยากใช้ศัพท์ทางเศรษฐศาสตร์ เดี๋ยวจะฟังแล้วงงไปกันใหญ่ คำถามของคุณ ฯลฯ เป็นการยกตัวอย่างแค่เพียงเสี้ยวหนึ่ง ของระบบจึงยากในการอธิบายให้เห็นภาพที่ชัดเจนได้ ผมลองเทียบเคียงตัวอย่างดังนี้นะครับ เป็นตัวอย่างใกล้ๆ ตัว ในชีวิตคนๆนึง -การที่เราจะมีรายได้ต้องเกิดจากการทำงาน เพื่อให้ได้เงินมา (เปรียบเป็นรายได้ที่เป็นปกติของรัฐบาล จากการเก็บภาษี และรายได้อื่นๆ จากการบริหารของรัฐ)   -แต่ถ้าคุณมีรายได้จากวิธือื่น โดยรายได้นั้น ไม่มีภาระผูกพันอะไรเลย ไม่ต้องใช้คืน หมดแล้วมีคนให้มาฟรีๆ ใหม่ ใช้แบบไม่มีวันหมด (กรณีนี้ผมเปรียบเทียบว่ารัฐบาล อยากได้เงินเท่าไรก็พิมพ์เอา ไม่ต้องสำรองอะไรให้วุ่นวาย) การใช้เงินจากรายได้ข้างต้น - ถ้าเป็นคนธรรมดาเงินที่ได้มาโดยวิธี แรก การใช้จ่าย จะเป็นการใช้จ่ายแบบระวัง ใช้ให้เกิดประโยชน์ ให้คุ้มที่สุด ใช้แบบให้พอเหมาะกับรายได้ที่เราหาได้ โดยถ้ามีความจำเป็น เราอาจจะกู้มาใช้จ่าย แต่เงินที่กู้ก็ต้องใช้คืนอยู่ดี - และถ้าเป็นรายได้ที่คุณได้มาฟรีๆ ไม่มีภาระ การใช้จ่ายของเรา คือ ซื้อตามความต้องการ, ตามความอยาก, ซื้อโดยไม่ได้คำนึงถึงความ คุ้มค่าของราคา ใช้จ่ายโดยไม่ได้คำนึงถึงมูลค่าของราคา ใช้จ่ายง่าย เพราะ เงินหมด เรามีคนให้ใหม่ โดยที่เราไม่มีภาระต้องใช้คืนอะไรทั้งสิ้น ซึ่ง การใช้จ่ายแบบนี้ทำให้ เงินที่เราใช้ ไม่ได้เกิดประโยชน์สูงสุดตามมูลค่าเงินที่เราจ่ายไป คราวนี้มาดูในภาพรวมบ้างครับ - ถ้ารัฐบาล บริหารโดยใช้แนวทางเปรียบเทียบกับวิธีแรก การใช้งบประมาณของรัฐบาล ในการใช้จ่าย สร้างสาธารณูปโภค ก้อจะเป็นการใช้จ่ายที่ใช้แบบให้เกิดประโยชน์สูงสุด ใช้ให้พอเหมาะกับรายได้ที่รัฐ จัดเก็บได้ หรือ ถ้ามีความจำเป็น รัฐก็ต้องกู้เงินมาใช้ (ซึ่งการกู้มีหลายแบบ ผมไม่เจาะเข้าไปนะครับ ) แต่เงินกู้ก็ต้องใช้คืนอยู่ดี - ถ้า รัฐบาล พิมพ์ธนบัตร เพื่อใช้จ่ายเอง  รัฐก็จะใช้จ่ายตามความต้องการ ของคณะผู้บริหาร ตามความอยาก ของผู้บริหารประเทศ โดยไม่ได้คำนึง ถึงความคุ้มค่าของ โครงการที่ลงทุน ไม่ได้ คำนึงถึงมูลค่าที่ต้องจ่ายไปเพื่อ ให้ได้โครงการนั้นๆ  เพราะถ้าเงินในคลังหมด รัฐสามารถพิมพ์เพิ่มได้ตลอดเวลา ก่อนสรุป ผมอยากให้ทุกคนลองดูข้อคิดอันนี้ก่อน -คนเราเมื่อครั้งหนึ่งเรามีรายได้วันละ 100 บาท เรากินข้าวแกง จานละ 15-20 บาท แต่เรามักไม่ค่อยกล้ากินข้าวในห้างหรือร้านอาหาร -แต่เมื่อ เราเปลี่ยนงาน รายได้ดีขึ้น มีความมั่นคงขึ้น เรามีรายได้ วันละ 300 บาท เราจะกล้ากิน ข้าวในห้าง ตามร้านอาหาร ซึ่งมีราคาสูงขึ้น อาจจะ มื้อละ 50-100 บาท โดยมองเป็นเรื่องปรกติ แต่การกินอาหารมื้อละ 500-1000 บาทยังไม่ค่อยกล้ากิน -และยิ่งเรามีเงินในมือเยอะ เพราะเราหารายได้ได้เยอะขึ้น เป็น วันละ 1,000 บาท มีความมั่นคงมากยิ่งขึ้น เราจะกล้ากินอาหารในภัตราคาร ในร้านที่หรูขึ้น ตรงนี้สรุปได้ว่า การใช้จ่ายจะมากขึ้นเมื่อเรามีรายได้มากขึ้น บทสรุป ในการใช้จ่ายแบบหลัง ผลกระทบที่เกิด คือ เพื่อรัฐใช้จ่ายมาก  เงินที่ไหลลงสู่ ระดับล่าง จะมากตาม เมื่อเงินในมือประชาชนมาก การใช้จ่าย การบริโภค จะสะพัด  กล้าซื้อ กล้าใช้ ของอะไรที่ขายดี จากการที่คนใช้จ่ายมาก ย่อมทำ ให้เกิดผู้ผลิตรายใหม่เข้ามาผลิตสินค้าขายแข่งกัน ถ้ามองดูเหมือนกับว่า สินค้า น่าจะถูกลง เพราะมีการผลิตแข่งกัน  แต่ด้วยทรัพยากรที่บางอย่างเป็นทรัพยากร ที่มีจำกัด ใช้แล้วหมดไป ใช้แล้วไม่สามารถผลิตหรือเกิดใหม่ได้ทัน ย่อมทำให้ เกิดการขาดแคลน ของอะไรที่เริ่มขาดแคลน หายาก ราคาก็จะเริ่มขยับตัวขึ้น และนี่เหตุผลที่ ราคาสินค้าจะค่อยๆสูงขึ้น เมื่อราคาสูงขึ้น มูลค่าเงินที่มีอยู่ในมือ ซึ่งก่อนสินค้าปรับราคามองดูว่ามาก แต่เมื่อราคาสินสินค้าสูงขึ้น กลับทำให้มูลค่า ของเงินลดลง และนั่นคือเหตุผลว่า ทำไม ต้องหอบเงินจำนวนเยอะๆ ไปซื้อของ ตามภาพของ คห. ด้านบน ผิดถูกอย่างไร ขออภัย ผมอธิบายตามความรู้ที่เรียนเศรษฐศาสตร์มา และคิดว่า จริงๆแล้วมันไม่ได้เป็นเพียงทฤษฎี แต่มันใกล้ชิดอยู่รอบๆตัวเรา จากคุณ : mr_jame - [ 19 ธ.ค. 51 22:34:58 ]

ความคิดเห็นที่ 43 พิมพ์เงินมากขึ้น  ----- เงินกระจายไปทั่ว  -----กำลังซื้อเพิ่มในระยะสั้น ---- ของมีเท่าเดิม  --------- ของราคาขึ้น -------- ทุกอย่างขึ้นไล่กันไปหมด  ตั้งแต่ของอุปโภค บริโภค ------ คนส่งออกตายหมด ------ เงินไหลเข้าประเทศน้อยลง ------- ทุนสำรองระหว่างประเทศ และหนี้สินต่อครัวเรือนเพิ่มขึ้นอีก------  วนเป็นวัฎจักร ------ ผู้ส่งออกตายหมด ------- คนว่างงานเพิ่มขึ้น -------- แต่ของกินของใช้แพงหมด  ขึ้นแล้วไม่ยอมลง พิมพ์เงินมากขึ้น ---------เงินกระจายไปทั่ว ------- กำลังซื้อเพิ่มระยะสั้น --------  ผลิตของเพิ่มขึ้น ------- Supply over demand ในระยะยาว / ฟองสบู่  ------ หนี้เน่า  หนี้เสีย -------- กิจการขนาดเล็กล้ม -------  กิจการขนาดใหญ่สะเทือน ------ ปลดคนงาน --------- คนว่างงานเพิ่มขึ้น จากคุณ : nuch_tiew - [ 20 ธ.ค. 51 08:36:28 ]

ความคิดเห็นที่ 44 อ้างอิง คห.34 (คุณ ฯลฯ) จากย่อหน้าแรก... ใช่ครับ มันทำได้ ถ้าต่างชาติไม่รู้ว่าเราทำนะ ปัญหาก็คือ จะทำผิดเล็กน้อยหรือผิดมหันต์ มันก็คือผิดครับ เขาไม่สนหรอกว่าคุณจะทำผิดอย่างไร ยังไงก็ต้องลงโทษ คือการกดค่าเงินบาทให้ต่ำลงไป ตัวแปรสำคัญตัวแปรหนึ่งที่เห็นได้ชัดว่าค่าเงินบาทขึ้นกับตลาดโลก คือ ราคาน้ำมัน สมมุติว่าน้ำมัน 1 ลิตร ราคา 1 ดอลลาร์ แลกได้ 35 บาท พอเราโดนชาติต่างๆ กดราคาเงินบาท ราคาน้ำมัน 1 ลิตร ราคา 1 ดอลลาร์ อาจกลายเป็น 40 บาท เราต้องจ่ายเพิ่ม 5 บาท จากเว็บ http://www.matichon.co.th/khaosod สามารถอ้างอิงได้ว่า ประเทศไทยนำเข้าน้ำมันดิบประมาณ 9 แสนบาร์เรล/วัน หรือ 143 ล้านลิตรต่อวัน แปลว่าไทยต้องจ่ายเงินเพิ่มขึ้นเดือนละ 4,290 ล้านบาทต่อเดือน นี่แค่ราคาน้ำมันนะครับ ยังไม่รวมสินค้าอื่นๆ ที่เราต้องนำเข้าด้วย (แต่ส่งออกนี่ ผมว่าไม่มีผลกับการค้าขายระหว่างประเทศนะ น่าจะทำให้สินค้าภายในประเทศมีราคาสูงขึ้นมากกว่า) นอกจากเราจะโดนกดค่าเงินบาทแล้ว ดีไม่ดี เราอาจโดนกีดกันทางการค้าก็ได้ ใครจะไปรู้... ส่วนย่อหน้าที่สอง... นั่นเป็นเรื่องของภาวะเงินฝืดนี่ครับ (ซัพพลายสูงกว่าดีมานด์) แต่การผลิตเงินเพิ่มเป็นการเพิ่มดีมานด์ (ดีมานด์สูงกว่าซัพพลาย) เพราะเรามีเงินเพิ่มขึ้น เราก็จากจะซื้ออะไรต่อมิอะไรมากขึ้น ราคาสินค้าเลยสูง แก้ไขเมื่อ 20 ธ.ค. 51 12:07:52 จากคุณ : Wohlklang - [ 20 ธ.ค. 51 12:05:35 ]

ความคิดเห็นที่ 45 ตอบความเห็นที่ 9 ชอบคำถาม เพราะแสดงว่า เป็นคนชอบคิด ชอบคนใช้ความคิด ไม่ชอบคนท่องๆ เหมือนกัน ไม่มีความรู้ด้านที่คุณถาม ไม่ได้เรียนด้านนี้ เรียนก่อสร้างมา แต่ลองคิดๆดู จะมพยายามตอบ ในประเด็นที่คุณถาม ว่าทำไมเงินกลายเป็นไร้ค่า รัฐให้งานใหญ่กับบริษัทรับเหมา 100,000 ล้าน เงินส่วนนี้ ผู้รับเหมาเอาไปใช้ในการสร้าง ซึ่งสิ่งที่เขาซื้อ ในที่สุด ก็มีโอกาส ต้องไปอิงราคาน้ำมัน โครงการใหญ่ มีความต้องการใช้น้ำมันโดยตรงด้วย และทางอ้อมด้วย ทางอ้อมก็คือ ซื้อวัสดุ เครื่องใช้ ต่างๆ ซึ่ง พวกนี้ ก็ต้องใช้น้ำมัน ในการผลิตเหมือนกัน ทีนี้ โครงการผลิดเงินเอง เพื่อทำโครงการ ที่ว่านี้ เราทำเพียงผู้เดียว หรือ ประเทศอื่นทำด้วยล่ะ แล้วถ้าทำแต่เราเอง ก็ต้องมาดูว่า มันใหญ่พอที่จะส่งผล ให้ราคา น้ำมันขยับได้หรือเปล่า โครงการก่อสร้าง ที่ว่านี้ ไม่เพียงแต่ ใช้น้ำมัน โดยตรงเท่านั้น ยังใช้ทางอ้อมตามที่พูดถึงแล้ว อีกทั้งผู้ที่มีรายได้ จากโครงการ ทั้งพนักงาน ของโครงการ ก็มีเงิน ในการซื้อของ และ เมื่อซื้อของ ผู้ผลิตของต่างๆ เหล่า นั้น เขาก็มีโอกาส ที่จะใช้น้ำมัน ในการผลิตอีก น่ะแหละ สุดท้าย กลุ่มประเทศที่ผลิตน้ำมัน เขารู้แล้ว ว่าความต้องการน้ำมัน ทำไมมันถึง อยู่ๆ ก็มากขึ้น แบบนี้ สืบไป ก็รู้ว่าเราทำโครงการใหญ่อยู่ ทีนี้ถ้าเขา ไม่เพิ่มปริมาณ การผลิต ราคาน้ำมัน ก็จะสูง เพราะ ของขายดี ต้องโก่งราคาซักหน่อย ทีนี้ ทุกอย่าง ก็ขยับราคาขึ้น กันหมด น่ะสิ โครงการ 100,000 ล้าน ของคุณ ตอนนี้ มันไม่อยู่แล้วนะ ขาดทุนแน่ คำนวนแล้ว ต้อง 130,000 ถึ่งจะพอทำได้ เพราะเงินที่คุณถืออยู่ มันมีค่านัอยลงแล้วครับ 10 บาท ซื้อน้ำมัน 1 ลิตร ไม่ได้แล้ว ต้อง 50 บาทแล้วนะ ผ่านไปปีนึง น้ำมันขึ้นสูงขนาดนี้ ทำยังไงดี ถ้าเผ่น โครงการล้ม ก็จะถอยหลัง เข้าที่เดิม ตามโจทย์ สงสัยต้องพิมพ์เงินเพิ่มมั๊ยครับ น้ำมันก็คงจะเพิ่มอีก แล้วนี่ถ้าประเทศอื่นทำแบบนี้ด้วย น้ำมันจะราคาเท่าไหร่ แล้วตอนที่เราทำแบบนี้อยู่ประเทศเดียว พิมพ์เงินบาท เยอะๆ แล้ว คนขาย ดอลล่าร์ เขาจะให้เราแลก ดอลล่าร์ หรือครับ ครงนี้ ผมไม่รู้นะ แต่ส่วนตัวคิดว่า เจ้าของเงิน พวก ดอลล่า ยูโร พวกนี้ เขาอาจจะรู้ว่าเราพิมพ์เอง จากการคำนวนของเขา เขาอาจจะขายดอลล่า ให้เราแพงๆน่ะสิครับ 100 บาท ต่อ ดอลล่า ครับ แย่เลยครับ น้ำมันก็แพง เงินก็ตก คือก่อนเราพิมพ์เงิน ถ้าเงินทั้งประเทศของเราแลกได้ X ดอลล่า เขาก็อาจจะปรับ ให้เรา แลกได้ X เท่าเดิม ไม่ว่าเราจะพิมพ์ขึ้นมากเท่าไหร่ก็ตาม แลกได้ X ทั้งสิ้น ถ้ายังไม่มี สิ่งมีค่า ไปผูกกับเงิน ที่เราแอบพิมพ์ พิมพ์เพิ่มออกมาอีก ก็จะทำให้เงินตกไปใหญ่ หรือว่า เขาไม่ยอมให้แลกเลยไม๊ครับ ไม่รู้เหมือนกันนะ ผิดก็ขออภัย ไม่มีความรู้ ตอบตามความคิดของตัวเอง เท่านั้นครับ จากคุณ : etc - [ 21 ธ.ค. 51 10:02:51 A:58.8.127.203 X: TicketID:180204 ]

ความคิดเห็นที่ 46 มีอยู่ประเทศหนึ่งที่พิมพ์แบงค์ได้โดยไม่ต้องใช้ทุนสำรอง.. ก้อคือ สหรัฐอเมริกา ไงคับ.. ประเทศอื่นก้อเอาเงินดอลล่าร์ สรอ. นี่แหละคับไปเป็นทุนสำรองเพื่อ พิมพ์ธนบัตรของตัวเอง ทีนี้ทั่วโลกมีดอลล่าร์ในคลังเท่าไร เทขายพร้อมกันหมด อเมริกา จะ.. ขำขำน่ะคับ จากคุณ : available - [ 24 ธ.ค. 51 10:55:08 A:58.8.61.216 X: ]