ความคิดเห็นที่ 1 น่าเห็นใจมากครับ  ช่วยอะไรไม่ได้เข้ามาโหวตให้ จากคุณ : น้องหนูเอวตัน - [ 17 ธ.ค. 51 12:45:26 ]

ความคิดเห็นที่ 2 ปกติต้องมีการเซ็นต์สัญญาจ้างงานกับบริษัทใหม่ก่อนให้แน่นอนแล้วจึงไปลาออกจากที่เก่าไม่ใช่หรือคะ เรื่องวาจานี่ดิฉันก็ไม่ทราบได้เหมือนกันเพราะมันเป็นแค่วาจาไม่มีหลักฐาน เราจะเอาใครเป็นพยานได้ล่ะคะ แต่เห็นใจจขกทนะคะ รู้สึกพักนี้มีกระทู้ประมาณนี้บ่อยเหลือเกิน ผู้รู้ช่วยด้วยค่ะ จากคุณ : ผ่านมา - [ 17 ธ.ค. 51 13:06:33 A:115.129.25.32 X: TicketID:166806 ]

ความคิดเห็นที่ 3 ปกติแล้วการคัดเลือกคนเข้าทำงานต้องมีการสอบ (ข้อเขียน หรือ/และ สัมภาษณ์) และตรวจร่างกาย ถ้าผู้สมัครผ่านเกณฑ์ที่บริษัทกำหนดไว้ทุกอย่างแล้ว จึงมีคุณสมบัติที่จะเข้าทำงานได้ ทางบริษัทจึงจัดทำสัญญาจ้างงานขึ้นมา ให้ผู้สมัครเซ็นสัญญาเพื่อเข้ามาเริ่มทำงานในบริษัทครับ จากที่อ่านของ จขกท. มา เดาว่า คุณคงสัมภาษณ์กับทางบริษัท แล้วทางผู้สัมภาษณ์ตอบตกลงรับคุณเข้าทำงานตอนสัมภาษณ์เลย ซึ่งที่จริงแล้วเขาควรจะต้องนำเสนอให้ประธานบริษัทเห็นชอบก่อน ดังนั้นควรจะต้องเซ็นสัญญาจ้างงานก่อนครับ ถึงค่อยลาออกจากบริษํทเก่า อันนี้เห็นใจ จขกท. จริงๆ ครับ ผมก็ไม่รู้จะช่วยยังไง เพราะมันพิสูจน์ยากมาก ถ้าเป็นการตกลงกันด้วยวาจา โดยไม่มีเอกสารใดๆ จากคุณ : pppจัง - [ 17 ธ.ค. 51 14:26:54 ]

ความคิดเห็นที่ 5 กรณีของเจ้าของกระทู้นี่ ถ้าสู้คดีกันไปจนถึงศาลแรงงาน ก็จะมีประเด็นว่า สัญญาจ้างแรงงานเกิดขึ้นแล้วหรือยัง แต่ไม่ต้องไปสนใจว่าจะทำสัญญาจ้างเป็นลายลักษณ์อักษรหรือเปล่า เพราะสัญญาจ้างแรงงานไม่มีกฎหมายบังคับว่าต้องทำเป็นลายลักษณ์อักษร แค่ตกลงกันด้วยวาจา คำเสนอ-คำสนองถูกต้องตรงกัน สัญญาจ้างแรงงานก็เกิด มีผลสมบูรณ์แล้ว ผมเองเปลี่ยนงานมา 5 ที่แล้ว ไม่เคยทำสัญญาจ้างเป็นหนังสือสักครั้ง ที่บอกว่ามีประเด็นปัญหาว่าสัญญาจ้างแรงงานในกรณีนี้เกิดขึ้นหรือยัง ก็คือ จำเป็นไหมที่จะต้องรอผลตรวจสุขภาพก่อน ถ้ายังต้องรอผลตรวจสุขภาพกันอีก มันก็ชัดเจนว่าสัญญาจ้างแรงงานยังไม่เกิดขึ้น แต่คุณดันรีบร้อนไปลาออกจากงานเองแทนที่จะรอผลตรวจสุขภาพให้แน่ใจ อย่างผมเคยไปสมัครงานที่นึง สัมภาษณ์งานเสร็จสรรพ คนสัมภาษณ์ (ว่าที่เจ้านาย) ก็ทำท่าปลื้มนักปลื้มหนา พาเดินชมอ๊อฟฟิศซะทั่วเลย แต่เขาก็ยังย้ำว่า คุณอย่าเพิ่งไปลาออกจากที่เดิมนะ ต้องรอผลตรวจสุขภาพก่อน แสดงว่าผลตรวจสุขภาพนี่ เป็นเงื่อนไขของการตกลงจ้างงานเลย ถ้าผลไม่ผ่าน สัญญาจ้างก็ไม่เกิด แต่ถ้าถือว่าสัญญาจ้างแรงงานเกิดขึ้นแล้ว แม้จะไม่ได้ทำสัญญาจ้างเป็นหนังสือ และแม้คุณจะยังไม่ได้เหยียบย่างเข้าไปที่ทำงานแม้แต่วันเดียว ยังไง สัญญาก็ต้องเป็นสัญญา การจะเลิกสัญญาก็ต้องมีเหตุมีผล ไม่ใช่อยู่ๆ ก็บอกเลิกซะงั้น เพราะถ้ามันไปทำให้อีกฝ่ายเสียหาย เค้าก็มีสิทธิเรียกร้องค่าเสียหายได้ เช่นกรณีนี้ การจะมาทำงานที่บริษัทใหม่ ก็จำเป็นต้องลาออกล่วงหน้ากับบริษัทเดิม ถ้าตกลงกันเสร็จสรรพดิบดีว่ารับแน่ แต่พอไปลาออกจากที่เก่าปุ๊บ ดันมาลอยหน้าลอยตาบอกว่า "เราไม่เอาคุณแล้วนะ ขอยกเลิกสัญญา" ทำอย่างนี้ไม่ได้ครับ ถ้าทำก็ต้องฟ้องเรียกค่าเสียหายกัน ไม่ต้องไปพูดถึงค่าชดเชย เพราะเรายังไม่มีสิทธิได้ค่าชดเชย แต่พูดถึงเรื่องค่าเสียหายจากการเลิกสัญญาจ้างโดยไม่เป็นธรรม จากคุณ : ฯลฯ - [ 17 ธ.ค. 51 17:13:09 A:58.9.80.237 X: TicketID:192266 ]

ความคิดเห็นที่ 6 อย่างที่ความเห็นข้างต้นบอกไป...สัญญาจ้างแรงงานเกิดแล้ว แม้ยังมิได้ทำเป็นลายลักษณ์อักษร แต่ปัญหาก็คือ จะเอาพยานหลักฐานที่ไหนไปแสดงต่อศาลในกรณีฟ้องร้อง ขอรายละเอียดเพิ่มเติม ลองโทรมาคุยกันครับ 089-0403026 จากคุณ : นายน้อย - [ 17 ธ.ค. 51 17:20:58 A:124.121.45.196 X: ]

ความคิดเห็นที่ 7 แบบนี้ใช้ไม่ได้ สัญญาต้องเป็นสัญญา เป็นการทำลายอนาคตกันเลยนะ สัญญาจ้างแรงงาน กฏหมายไม่กำหนดรูปแบบ ถ้ามีการตกลงกัน แม้จะเป็นทางวาจาสัญญาก็เกิดขึ้นแล้ว ปัญหาสัญญาแรงงานเกิดขึ้นหรือไม่นี้ หลักกฏหมายให้เรามีสิทธินำคดีขึ้นสู่ศาลแรงงานได้ครับ เมื่อมีการตกลงรับเราเข้าทำงานแล้ว สัญญาจ้างเกิดขึ้นแล้ว ผลของสัญญา คู่สัญญาก็ต้องปฏิบัติตามสัญญา  เมื่อฝ่ายนายจ้างไม่ปฏิบัติตามสัญญา เราได้รับความเสียหาย ก็เรียกร้องค่าเสียหายจากการผิดสัญญาได้ ไม่มีกฏหมายห้ามแต่ประการใด ประเด็น นายจ้างผิดสัญญาหรือยัง แนวทางแก้ไข เราต้องทำจดหมายบอกกล่าวไปยังนายจ้าง (ลงทะเบียนตอบรับ)ทำคู่ฉบับไว้กับเราหนึ่งฉบับไว้เป็นหลักฐาน ข้อความ 1 วันที่ทำหนังสือฉบับนี้ 2 เรียนชื่อบริษัท 3 เรื่องให้ปฏิบัติตามสัญญาจ้างแรงงาน 4 เล่าข้อเท็จจริงโดยย่อในทำนอง ว่าวันที่เท่าไร ที่ตกลงรับเราเข้าทำงาน และทางเราได้ตกลงทำงานกับบริษัทท่านแล้ว ฯลฯ ผลจากการตกลงนี้ทำทำเราต้องลาออกจากงานตามเงื่อนไขในการเจรจาแล้วซึ่งผลกระทบจากการออกจากงานมีอะไร ฯลฯ จึงข้อให้ท่านปฏิบัตตามสัญญา และทำหนังสือแจ้งให้เราไปทำงานในวันที่ 5 มกราคม 2552 โดยแจ้งให้เราทราบล่วงหน้าเป็นหนังสือก่อนวันทำงานดังกล่าว แนวทางปฏิบัติต่อมา เก็บรวบรวมหลักฐานที่มีอยู่ทั้งหมด ไม่ว่าการประกาศรับสมัครเข้าทำงาน วันติดต่อ เบอร์ติดต่อ ชื่อคนที่เกี่ยวข้องทั้งหมด เอกสารที่เกี่ยวข้องทั้งหมด ฯลฯ เก็นรวบรวมเป็นหลักฐาน หากบริษัทไม่ปฏิบัติตามสัญญา ไปศาลแรงงานเลย เล่าข้อเท็จจริงให้เจ้าหน้าที่ศาลฟัง และจนท.ศาลจะร่างฟ้องให้เรา ไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายใดๆ เราเสียหายอย่างไรก็เล่าให้เขาฟัง ค่าเสียหาย ดูระยะเวลาที่เราทำงานในบริษัทเดิมว่าทำงานนานเท่าไรแล้ว บอกกับจนท.ว่าเราเรียกค่าเสียหายตามอัตราส่วนของเงินค่าชดเชยที่จะได้รับในกรณีเราถูกเลิกจ้าง รวมทั้งเงินกรณีเลิกจ้างไม่เป็นธรรม ซึ่งจนท เขาจะเข้าใจและคำนวณให้เราว่าเป็นเงินเท่าไร  เงินทั้งหมดดังกล่าวเราถือว่าเป็นค่าเสียหายจากการที่บริษัทไม่ปฏิบัติตามสัญญาจ้าง เมื่อทำขั้นตอนเสร็จแล้ว ติดตามว่าศาลจะกำหนดวันนัดเมื่อไร เราต้องไป และอย่าลืม รวมทั้งขอเอกสารต่างๆ ของจำเลยที่จะยื่นให้เราด้วย(ถามขั้นตอนที่ จนท.ศาล) การสืบพยาน ศาลจะทำหน้าที่ซักถามพยานเอง และศาลจะมีวิธีการที่จะซักพยานให้ได้ความจริงได้ ไม่ต้องกลัว  แต่ขอให้เราเบิกความตามความจริงทุกอย่าง โดยเฉพาะข้อที่ว่า ตกลงรับเราเข้าทำงานแล้ว และมีการเจรจากำหนดเงื่อนไขให้เราลาออกจากบริษัทเดิม อันนี้สำคัญ มันเกี่ยวกับค่าเสียหายที่เราควรจะได้ หมายเหตุ วันที่พนักงานโทรมาหาเรา ขอยกเลิกการจ้างนั้น วันที่ 12 เดือนอะไรกันแน่ หวังว่าเป็นวันหลังจากที่เราได้ยื่นใบลาออกใช่ไหมครับ จากคุณ : phabat77 - [ 17 ธ.ค. 51 21:24:17 ]

ความคิดเห็นที่ 8 อีกหน่อยครับ อย่าลืมลงลายมือชื่อเราในหนังสือบอกกล่าวด้วยนะครับ จากคุณ : phabat77 - [ 17 ธ.ค. 51 21:28:41 ]

ความคิดเห็นที่ 9 ขอบคุณทุกความคิดเห็นมากเลยนะคะ โดยเฉพาะ คุณ phabat77 ตอบได้ละเอียดมากจริงๆค่ะ ขอบคุณจากใจจริง ตอนนี้มึนค่ะ งงไปหมดทำไรไม่ถูกเลย ตอบคุณ ฯลฯ ค่ะ ที่จริงทางนั้นเค้าตกลงรับเราเข้าทำงานแล้วนะคะ แต่เค้าต้องการผลตรวจสุขภาพเป็นเอกสารประกอบด้วย ซึ่งเราแน่ใจว่าผลตรวจเราไม่มีปัญหาแน่นอน และถ้าผลตรวจเราไม่ผ่าน เราก็ยินดีถ้าทางเค้าจะปฏิเสธค่ะ ถือว่าแฟร์ แต่นี่่ยังไม่ได้ตรวจเลยนะ ไม่ให้ใบส่งตัวเราด้วยซ้ำ TT_TT ตอบคุณ phabat77 ค่ะ วันที่ทางบริษัทโทรมาบอกเลิกจ้าง เป็นวันที่ 12 ธันวาค่ะ ช่วงเช้าของวันที่จะเข้าไปรับเอกสารค่ะ จากคุณ : SnOw_ReD (Snow_ReD) - [ 18 ธ.ค. 51 12:37:27 ]

ความคิดเห็นที่ 10 เดี๋ยวนี้มีเรื่องแบบนี้เยอะจริงๆคะ บางบริษัทเป็นประเภทบริษัทใหญ่โต แต่เล่นไม่ซื่อด้วยการไม่ยอมเสียอะไรเลย เช่น ไม่ยอมให้คนนอกดูว่ามีปัญหาการเงิน จึงไม่ยอมปลดพนักงาน เพราะไม่อยากเสียภาพพจน์ และไม่ต้องเสียค่าชดเชยให้พนักงานที่อยากปลดออก แต่ใช้วิธีบีบสารพัดให้พนักงานทนไม่ได้ต้องออกเอง มีคนรู้จักเจอมา บอกว่าทำงานเกี่ยวกับธุรกิจห้างร้านซึ่งมีสาขาที่ต่างจังหวัดด้วย พออยากลดคนก็เล่นย้ายให้ไปทำงานหน้าร้าน ซึ่งคนประเภทออฟฟิซ ตอนที่เข้าทำงานจะรู้ว่าตัวเองต้องทำงานแบบไหน ถนัดหรือไม่ถนัด พอโดนโยกไปทำออฟฟิซไปหน้าร้านบ้าง โดนย้ายจากกรุงเทพไปต่างจังหวัดบ้าง ก็เปรียบเสมือนโดนไล่ออกนั่นแหละ เพราะสิ่งเหล่านั้นมีผลต่อชีวิตความเป็นอยู่เค้าแน่นอน เช่น คนมีครอบครัวอยู่ กทม ย้ายไปทำต่างจังหวัด ค่าใช้จ่ายเค้าก็เกิด 2 ที่ ต้องแยกกันอยู่ คนทำออฟฟิซมาทำหน้าร้าน ชีวิตไม่เป็นเวลา มีลูกต้องจ้างคนดู และที่ทนไม่ได้ออกไป ก็ส่วนใหญ่ไม่ได้รับคนเข้ามาใหม่ ประมาณว่าจริงๆไม่ได้ต้องการคนจำนวนนั้นอยู่แล้ว บางคนเจอแบบทำความผิดพลาดนิดหน่อยก็โดนให้ออก ลงบันทึกว่าทำผิดให้ออกไม่ต้องชดเชย และส่วนใหญ่บริษัทพวกนี้ก็เป็นบริษัทใหญ่เสียด้วย จะเล่นงานเค้าก็ไม่ใช่ง่ายๆเลย คุมสื่อไว้ในมือหมด สงสารคนที่เจอมากๆ แต่ก็ไม่รู้จะช่วยยังไง ได้แต่ภาวนาให้ทุกอย่างดีขึ้น และอย่าได้เกิดเหตุการณ์แบบนี้กับใครหรือคนในครอบครัวใครเลยคะ จากคุณ : sintra - [ 18 ธ.ค. 51 23:00:40 A:124.120.9.26 X: TicketID:147655 ]

ความคิดเห็นที่ 11 ... เข้ามาดู จากคุณ : Mr. Fusion - [ 19 ธ.ค. 51 01:30:37 ]

ความคิดเห็นที่ 12 เห็นใจเจ้าของกระทู้มากเลยค่ะ ยังงัยเอาใจช่วยค่ะ จากคุณ : ยุ้ย (yuisan) - [ 19 ธ.ค. 51 18:09:57 ]