ความคิดเห็นที่ 1 เห็นด้วยนะ..ในหลักการ... คนรวยจริง มีคุณธรรม ไม่มีใครคิดเก็บให้ลูกหลานมากๆ หรอกครับ เอาแค่พอประมาณก็พอแล้ว ดูอย่างวอเรน บัฟเฟต์สิ ที่เหลือบริจาคให้สาธารณกุศลหมดละ แต่เชื่อว่าในทางปฏิบัติคงมีปัญหาน่าดู และที่สำคัญคือมันจะผ่านสภาไหม?? จากคุณ : ryuken - [ 10 พ.ค. 52 20:57:05 A:125.25.5.24 X: TicketID:143864 ]

ความคิดเห็นที่ 2 เห็นด้วยกับภาษีมรดกนะครับ เช่น คนคนหนึ่งมีสิทธิ์รับมรดก 5 ล้าน ส่วนเกินจากนั้นต้องเสียภาษี ในอเมริกาจะเห็นว่ามหาเศรษฐีส่วนใหญ่ยกมรดกให้สาธารณกุศล แต่เป้าหมายจริง ๆ ก็คือถ้าให้ลูกหลานจะเสียภาษีเต็ม ๆ วิธีเลี่ยงคือตั้งมูลนิธิแล้วยกมรดกให้มูลนิธิ ส่วนลูกหลานก็เป็นผู้บริหารมูลนิธินั้นเก็บเกี่ยวผลประโยชน์ เป็นวิธีเดียวที่จะเลี่ยงภาษีได้ จากคุณ : TLL01 - [ 10 พ.ค. 52 21:39:34 ]

ความคิดเห็นที่ 3 ผมมีความเห็นเช่นเดียวกับเจ้าของกระทู้มาก ๆ เลยครับ เฮนรี จอร์จ (http://th.wikipedia.org/wiki/เฮนรี_จอร์จ ) กล่าวว่า “เมื่อเราเก็บภาษีจากบ้าน พืชผล เงิน เครื่องเรือน ทุน หรือทรัพย์สมบัติในรูปแบบใด ๆ นั่นคือเราเอามาจากปัจเจกบุคคลซึ่งสิ่งอันเป็นของเขาโดยชอบ เราละเมิดสิทธิในทรัพย์สิน และทำการชิงทรัพย์ในนามของรัฐ แต่เมื่อเราเก็บภาษีมูลค่าที่ดิน เราเอามาจากปัจเจกบุคคลซึ่งสิ่งอันมิใช่ของเขา แต่เป็นของประชาคม และซึ่งมิสามารถปล่อยให้เป็นของปัจเจกบุคคลโดยไม่เป็นการชิงทรัพย์ของปัจเจกบุคคลอื่น ๆ” (จาก http://th.wikipedia.org/wiki/ภาษีเดี่ยว ) ผลดีและความเป็นธรรมของการมุ่งเก็บภาษีที่ดินแทนภาษีการทำงานและการลงทุนผลิตและค้า ดูได้ที่ http://bbznet.com/scripts2/view.php?user=tangnamo&board=1&id=242&c=1 คำว่า ที่ดิน ใน The Devil’s Dictionary ของ Ambrose Bierce เขาอธิบายว่าสังคมสมัยใหม่ถือว่าที่ดินคือทรัพย์สินที่เอกชนสามารถเป็นเจ้าของได้ ซึ่งถ้าพิจารณากันจนถึงข้อยุติทางตรรกะ (logical conclusion) แล้ว ก็หมายความว่าคนบางคนมีสิทธิกีดกันคนอื่นไม่ให้มีชีวิต เพราะสิทธิเป็นเจ้าของมีนัยถึงสิทธิครอบครองเด็ดขาด ประเทศที่รับรองกรรมสิทธิ์ของเอกชนในที่ดินจะมีกฎหมายป้องกันการบุกรุก ผลก็คือถ้านาย ก, นาย ข, และนาย ค เป็นเจ้าของที่ดินทั้งหมด ก็จะไม่มีที่สำหรับให้ ง จ ฉ ช เกิด หรือเกิดมากลายเป็นผู้บุกรุก เว็บของผมเองคือ http://geocities.com/utopiathai ขอบคุณครับ จากคุณ : สุธน หิญ - [ 10 พ.ค. 52 22:19:16 ]

ความคิดเห็นที่ 4 เก็บภาษีเพื่อกระจายเงินมาช่วยสังคมบ้าง  ไม่ใช่ว่าคนนึงมีเป็นหมื่นล้าน เอาแบงค์พันมาเช็ดก้นก็ยังใช้ไม่หมด แต่อีกคนจะซื้อข้าวกินสักมื้อยังไม่มี ยิ่งเราเป็นประเทศยากจน ยิ่งต้องเก็บให้มาก ไม่งั้นความเหลื่อมล้ำของสังคมมันมากเหลือเกิน แล้วกฎหมายเขาก็ไม่ได้คิดจะเก็บจนลูกหลานไม่เหลืออะไรเลยซักหน่อย คนผ่านกฎหมายเป็นคนรวยๆ ทั้งนั้น  รับรองได้เลยว่าถึงกฎหมายจะออกมาก็คงเก็บกันแค่พอหอมปากหอมคอ เป็นน้ำจิ้มเท่านั้นแหละ จากคุณ : TingTing - [ 11 พ.ค. 52 19:04:03 ]

ความคิดเห็นที่ 5 คิดเหมือนเจ้าของกระทู้เช่นกัน ในกรณีที่มรดกไม่ใช่เงินละ สำหรับเราคนธรรมดากว่าพ่อแม่จะมีที่ดินสักผืนหรือทรัพย์สินใดๆก็ตาม เลือดตาแทบกระเด็น ทำงานเก็บเงินแทบตาย พอตกทอดมาที่ลูก ต้องมาเสียภาษีมรดกอีก ถ้าไม่มีเงินสดทำยังไงละ ต้องไปกู้มาเหรอ ไม่ก็ต้องเอามรดกไปขายใช่ไหม จากคุณ : love2loveU - [ 11 พ.ค. 52 20:06:18 ]

ความคิดเห็นที่ 6 ความจริงที่บางความเห็นบอกว่า  บางมีเงินมากก  หัดเอามาแบ่งคนจนมั่ง    ขอพูดตามตรง  เหตุผลหลักๆเลยนะว่ามันจะถึงแน่เหรอ   แล้วอีกอย่างเลยคือ  ผมว่าถึงอย่างนั้นมันก็เป็นสิทธิ์ของคนรวยเค้าว่าจะบริจาคหรือไม่บริจาคด้วยตัวเขาเอง  ไม่ใช่ไปเอาสิ่งที่เขาเฝ้าเก็บหอมรอมริบมา   ถ้าเค้าจะให้ก็ให้สิ ไม่ให้ก็ไม่ให้  ผมจนแต่ไม่เคยอยากให้รัฐบาลมาช่วยด้วยวิธีนี้ จากคุณ : narldaz - [ 11 พ.ค. 52 20:15:37 ]

ความคิดเห็นที่ 7 ลัทธิทุนนิยมแท้ ๆ ไม่ควรจะมีที่ดินนิยมหรือลัทธิเจ้าที่ดินมาร่วมอยู่ด้วย เพราะที่ดินนิยมจะเป็นกาฝากร้ายที่บ่อนเบียนลัทธิทุนนิยมเองให้เกิดผลร้ายแก่ผู้คนที่อยู่กับลัทธินี้ ไม่มีการเก็งกำไรใดอื่นจะกว้างขวางและส่งผลเสียหายรุนแรงเท่าเทียมการเก็งกำไรที่ดิน (ขนาดที่ไปไหน ๆ ก็เจอแต่ที่ดินมีเจ้าของแล้ว) เพราะที่ดินมิใช่ผลผลิต แต่เป็นมารดาแห่งผลผลิตของมนุษย์ (โภคทรัพย์และทุน) การกักตุนที่ดินกันทั่วไปจึงเป็นการปิดกั้นแรงงานและทุนจากการสร้างผลผลิตหรือสินค้าอย่างมาก ส่วนการกักตุนสินค้า อาจมีสินค้าอื่นใช้แทนได้ และอาจมีผู้อื่นหันมาผลิตสินค้านั้นออกขายแทน การเก็งกำไรกักตุนสินค้าจึงไม่เกิดผลร้ายกว้างขวางรุนแรงเท่าการเก็งกำไรกักตุนที่ดิน ที่ดินคือทุกสิ่งนอกจากตัวมนุษย์และผลผลิตหรือทรัพย์ที่เขาลงทุนลงแรงผลิตและค้าขายแลกเปลี่ยน ที่จริง ที่ดินควรเป็นสิทธิของทุกคนเท่าเทียมกัน รวมทั้งเด็กแรกเกิด เพราะชีวิตมนุษย์จะคงอยู่ได้ ต้องมีที่ดินเป็นที่อยู่อาศัย และที่ทำกิน ที่ดินนั้นไม่มีมนุษย์ผู้ใดสร้าง จึงไม่มีใครจะอ้างได้ว่าเป็นของตน ที่ดินส่วนใหญ่ทีเดียวมีราคาสูงขึ้นมาเรื่อย ๆ เพราะกิจกรรมของส่วนรวมและความเจริญของชุมชน การซื้อที่ดินมิใช่การลงแรงลงทุนผลิต แต่เป็นการสืบต่อสิทธิ์ถือครอง ราคาที่ดินที่เพิ่มขึ้น ๆ เรียกกันว่า ส่วนเพิ่มที่มิได้ลงทุนลงแรง (unearned increment) แต่ที่ดินมีถูกแพงดีเลวตามแต่สิ่งที่อยู่ในที่ดินนั้น และที่สำคัญคือทำเล การจัดสรรให้ย่อมยากที่จะเป็นธรรม และยากที่จะให้เหมาะสมกับแต่ละคน และคนมีเกิดมีตาย จะจัดสรรใหม่ก็ยาก วิธีที่ให้ความเป็นธรรมได้ดีคือเก็บภาษีที่ดินให้สูงเท่าหรือเกือบเท่าค่าเช่าศักย์ ซึ่งจะทำให้ที่ดินราคาถูกลง แรงงานและทุนจะเข้าทำประโยชน์ในที่ดินได้ง่ายขึ้น การว่างงานลด ค่าแรงเพิ่ม ผลตอบแทนทุนก็เพิ่ม ผลผลิตและความเจริญของชาติจะสูงขึ้น (แต่ควรค่อยเป็นค่อยไป เพื่อมิให้เจ้าของที่ดินเดือดร้อนเกินไป อาจใช้เวลานาน 25-30 ปี เพิ่มภาษีปีละ 3-4 % ของค่าเช่าศักย์) จากคุณ : สุธน หิญ - [ 12 พ.ค. 52 07:15:49 ]

ความคิดเห็นที่ 8 เอกชนควรได้รับผลตอบแทนเต็มที่จากการลงแรงลงทุนของตน เพราะความร่วมมือในการผลิต โดยเฉพาะคือการแบ่งงานกันทำ (division of labor) แล้วค้าขายแลกเปลี่ยนกัน ช่วยให้เกิดประสิทธิภาพสูงจากการเล่าเรียนฝึกฝนความรู้ทักษะเฉพาะทาง ทำให้ผู้เกี่ยวข้องได้ของดีราคาถูก ซึ่งเป็นไปด้วย *มือที่มองไม่เห็น* ของแอดัม สมิธ นับเป็นสวัสดิการชั้นดี แต่ที่ผ่านมาแทนที่รัฐจะให้รางวัล กลับลงโทษด้วยภาษีต่าง ๆ นานา รายได้ต่ำลงเพราะภาษี ของแพงขึ้นก็เพราะภาษี ไม่เป็นผลดีแก่ผู้ลงแรงลงทุนเลย ดูเพิ่มเติมได้ที่ http://geocities.com/utopiathai ครับ จากคุณ : สุธน หิญ - [ 12 พ.ค. 52 07:26:25 ]

ความคิดเห็นที่ 9 ผมได้ยินมาว่า กม.นี้นัยหนึ่งถูกตั้งขึ้นเพื่อเป็นการผลักดันให้บุคคลากรของประเทศ มีศักยภาพมากขึ้น เพราะแม้ต้นตระกูลจะร่ำรวยแค่ไหน แต่ลูกหลานก็สมควรจะต้องตั้งหน้าตั้งตาศึกษาหาความรู้ และประกอบวิชาชัีพเลี้ยงตนเองครับ ไม่ใช่หวังพึ่งแต่มรดก กรณีที่ชัดเจนคือ พ่อแม่ขยันสร้างฐานะจนร่ำรวยแล้วก็จะลูกหรือหลานแม้จะขี้เกียจแค่ไหนก็ยังจะรวยอยู่อย่างนั้น กม.ภาษีนี้ก็จะเข้ามาทำให้เขารวยน้อยลงๆในแต่ละรุ่นครับ ซึ่งผมมองว่า ส่วนหนึ่งเป็นการผลักดันให้ทุกคนต้องขยันประกอบอาชีพและยืนด้วยลำแข้งตัวเองครับ ไม่ใช่หวังพึ่งแต่ทรัพย์สินของพ่อแม่ เนื่องจากมนุษย์ทุกคนคือผู้บริโภค(ทรัพยากร) และนับวันทรัพยากรที่มนุษย์ใช้บริโภคก็มีแนวโน่มว่าจะร่อยหรอลงไปทุกที ๆ หากคนเราเกิดมาแล้วเอาแต่นอนนี้เกียจ หรือเที่ยวเตร่+บริโภคทรัพยากรไปวันๆ ย่อมไม่ก่อให้เกิดประโยชน์แก่ประเทศชาติหรือสังคมโลกครับ ในระยะยาวผมเชื่อว่ากม.นี้ จะส่งผลดีมากกว่าผลเสียครับ(คนในชาติมีพัฒนาการเพิ่มขึ้นเรื่อยๆครับ) จากคุณ : Xrickung (xjung) - [ 14 พ.ค. 52 07:07:30 ]

ความคิดเห็นที่ 10 มรดก หรือ ทรัพย์สิน นั้น ควรต้องแยกออกเป็น 2 ส่วน ส่วนที่ 1 ที่ดิน คือมารดาแห่งผลผลิตหรือทรัพย์ (แรงงานคือบิดา) ส่วนที่ 2 ผลผลิตหรือทรัพย์ซึ่งเกิดจากการลงแรงลงทุนผลิต (ต้องผลิตจากที่ดิน ไม่มีที่ดินก็ไม่มีที่อยู่อาศัย ไม่มีที่ทำกิน ก็ไม่มีของกินของใช้หรือสิ่งอำนวยความสะดวกทั้งหลาย) การกักตุนที่ดินกันทั่วไปเป็นการปิดกั้นแรงงานและทุนจากการสร้างผลผลิตหรือสินค้าอย่างมาก ส่วนการกักตุนสินค้า อาจมีสินค้าอื่นใช้แทนได้ และอาจมีผู้อื่นหันมาผลิตสินค้านั้นออกขายแทน การเก็งกำไรกักตุนสินค้าจึงไม่เกิดผลร้ายกว้างขวางรุนแรงยาวนานเท่าการเก็งกำไรกักตุนที่ดิน การเก็บภาษีที่ดินเท่าหรือเกือบเท่าค่าเช่าศักย์จะทำให้การเก็งกำไรเก็บกักที่ดินหมดไป จะทำให้เจ้าของที่ดินไม่ได้มูลค่าที่สูงขึ้นเป็นของตน ซึ่งยุติธรรมเพราะราคาที่ดินแทบทั้งสิ้นสูงขึ้นจากการมีชุมชนและความเจริญของชุมชน การเป็นเจ้าของที่ดินคือเป็นเจ้าของปัจจัยการผลิตชนิด passive คือเป็นเจ้าของแล้วจะได้ค่าเช่าโดยไม่ต้องทำงาน แต่ที่ดินเป็นเงื่อนไขการมีชีวิตของทุกคน ไม่มีที่ดิน ไม่ว่าหน้าไหนก็ตายทันทีหรืออย่างรวดเร็ว ถ้าเจ้าของที่ดินใช้เงินซื้อที่ดิน เขาก็ตั้งใจหาประโยชน์จากที่ดินสืบต่อจากเจ้าของคนก่อน มันเป็นการจ่ายเพื่อสืบทอดความเป็นเจ้าของที่ดินเพื่อรับประโยชน์จากที่ดิน แล้วใครเป็นคนผลิตที่ดินจึงจะมาอ้างเป็นเจ้าของ ? ก็เพราะยอมให้ทำกันอย่างนี้ ที่ดินจึงกลายเป็นของแพง แรงงานและทุนจึงจ่ายค่าใช้ที่ดินแพง เหลือเป็นค่าแรงน้อย ค่าตอบแทนทุนก็น้อย ซ้ำร้ายภาษีเก็บจากที่ดินน้อยก็ทำให้ต้องหันมาเก็บจากแรงงานและทุนมาก ยิ่งก่อความเดือดร้อนความท้อถอยแก่แรงงานและเจ้าของทุน ทั้ง ๆ ที่การทำงานและการลงทุนเป็นการร่วมมือกันสร้างผลผลิตตามความถนัดความรู้ความชำนาญ เกิดประสิทธิภาพ ก่อผลดีแก่ทุกคน เลือกเอาครับ จะเก็บภาษีจากที่ดิน หรือจากแรงงานและทุน ? ขอแต่ให้ค่อย ๆ เพิ่มภาษีประเภทหนึ่ง และค่อย ๆ ลดภาษีอีกประเภทหนึ่ง อย่าทำแบบฮวบฮาบ จะเดือดร้อนกันโดยไม่จำเป็น จากคุณ : สุธน หิญ - [ 14 พ.ค. 52 23:55:24 ]

ความคิดเห็นที่ 11 ขอถามเพิ่มเติม..ฟังข่าวมา ว่าจะเก็บภาษี 0.05 - 0.1% ของราคาที่ดิน ถ้ากรณีที่เราเป็นคนชนชั้นกลาง รายได้ปานกลาง รับราชการ มีเงินเก็บไม่ถึงสิบล้าน ไม่ได้ทำธุรกิจใดๆ แต่ได้ที่ดินเพราะมาจากปู่ย่าตายาย มูลค่าประมาณ 20ล้าน มีสิ่งปลูกสร้างอยู่ แต่ไม่ได้ทำธุรกิจ เพราะไม่มีความสามารถมากพอ - หมายความว่าต้องเสียภาษีทุกปี ปีละ 2 ล้านบาท หรือเปล่า - ถ้าเป็นเช่นนั้น หมายความว่าเงินที่เก็บมาทั้งชีวิตต้องเสียเป็นภาษีให้รัฐ และให้ได้อย่างมาก 4 ปี ก็จะไม่มีเงินเหลือแล้วอย่างงั้นรึเปล่า - และถ้าเรามีไม่มากพอที่จะจ่ายได้ ยกที่คืนให้เป็นของรัฐ หรือบริจาคไปเลยได้ไม๊ ขอบคุณมาก รบกวนผู้รู้กรุณาตอบด้วย จากคุณ : ชนชั้นกลาง - [ 18 พ.ค. 52 18:08:19 A:172.10.3.77 X:203.185.68.163 ]

ความคิดเห็นที่ 12 ึุึึุุคคห.11 0.1% ของ 20 ล้านคือ 2 หมื่นบาทนะครับ จากคุณ : งง - [ 19 พ.ค. 52 02:43:36 A:84.68.142.106 X: TicketID:195672 ]

ความคิดเห็นที่ 13 แต่ที่ดินเป็นเงื่อนไขการมีชีวิตของทุกคน ไม่มีที่ดิน ไม่ว่าหน้าไหนก็ตายทันทีหรืออย่างรวดเร็ว คำว่า ที่ดิน ใน The Devil’s Dictionary ของ Ambrose Bierce เขาอธิบายว่าสังคมสมัยใหม่ถือว่าที่ดินคือทรัพย์สินที่เอกชนสามารถเป็นเจ้าของได้ ซึ่งถ้าพิจารณากันจนถึงข้อยุติทางตรรกะ (logical conclusion) แล้ว ก็หมายความว่าคนบางคนมีสิทธิกีดกันคนอื่นไม่ให้มีชีวิต เพราะสิทธิเป็นเจ้าของมีนัยถึงสิทธิครอบครองเด็ดขาด ประเทศที่รับรองกรรมสิทธิ์ของเอกชนในที่ดินจะมีกฎหมายป้องกันการบุกรุก ผลก็คือถ้านาย ก, นาย ข, และนาย ค เป็นเจ้าของที่ดินทั้งหมด ก็จะไม่มีที่สำหรับให้ ง จ ฉ ช เกิด หรือเกิดมากลายเป็นผู้บุกรุก จากคุณ : สุธน หิญ - [ 21 พ.ค. 52 00:55:21 ]