หลังจากที่ผมได้ชมรายการห้องสืบสวนหมายเลช9จบผมตัดสินใจส่งเมสเซสให้กำลังใจเพื่อนในคืนนั้น
เพื่อนของผมโทรกลับมาในวันต่อมา..น้ำเสียงดูแย่เหมือนเดิม
"สวัสดีครับ"ผมเอ่ยทักที่ปลายสาย
"ขอบคุณมากสำหรับแมสเซส"เขาว่า"เป็นข้อความเดียวในหลายๆเดือนของผมทีเดียว"
ผมฟังแล้วใจหาย..ด้วยพอทราบอยู่บ้างว่าเพื่อนของผมเป้นบุคคลที่มีผู้คนรู้จักและไปมาหาสู่ค่อนข้างมากหน้าหลายตา..แต่ในเวลานี้ดูเหมือนเขาไม่มีใครเลยจริงๆ
"แล้วเป็นไงบ้างครับ"ผมกลั้นใจถามไปอย่างนั้นเอง...ด้วยเริ่มตระหนักแล้วว่าเรื่องราวของเขามันหนักหนาสาหัสกว่าที่ผมคิดไว้ในตอนแรกๆ
"เหมือนเดิมครับ..."เขาตอบสั้นๆ
ผมไม่แน่ใจนักคำว่าเหมือนเดิมของเขาหมายถึงอะไร...แต่ด้วยน้ำเสียงที่เพื่อนเลือกใช้ทำเอาผมรู้สึกแย่ไปกับเขาด้วย
"แล้วทางเจ้าหน้าที่ล่ะครับ...มีอะไรคืบหน้าไหม"
"ไม่มีครับ"เขาว่า"ผมทุกข์จังเลยครับโชค....ผมเพิ่งกลับมาจากอุบลเมื่อคืน...เจ้าหน้าที่ที่นู้นไม่ให้ความช่วยเหลืออะไรผมเลย....ผมเหมือนงมเข็มในมหาสมุทรหรืออาจจะยิ่งกว่า..เพราะไม่รู้ว่าเข็มนั้นมีอยู่จริงไหม"
"ใจเย็นๆครับ"เป็นคำปลอบแรกในรอบเกือบสามเดือนที่เรื่องนี้เกิดขึ้นด้วยผมเริ่มเข้าใจความทุกข์และความทรมานของเพื่อนอย่างแท้จริงมากขึ้นแล้ว...หลังจากการได้รับชมรายการห้องสืบวสนหมายเลข9จบ"ผมรู้ว่ามันยาก...แต่ผมอยากให้คุณทำใจให้นิ่งและตั้งสติดีๆครับย้ง"
"ผมพยายามทำอยู่โชค"น้ำเสียงสั่นๆ"แต่ไม่รู้สิเหมือนผมยิ่งทำเท่าไหร่..ผมยิ่งร้อนรนกว่าเดิม.....เมื่อก่อนเวลาผมอ่านข่าวหรือได้ยินเรื่องของคนที่ฆ่ากันตายแล้วไม่เข้าใจว่าคนเราจะใจร้ายขนาดเห็นคนหนึ่งหมดลมหายใจไปต่อหน้าได้ขนาดนั้นเชียวหรือ....แต่ตอนนี้ผมเริ่มเข้าใจแล้วโชค"
"หมายถึง?"ผมถามด้วยใจคอไม่ดีนัก"
"ผมหมายถึงไอ้คนที่มันเอาของของผมไป....ถ้าเจ้าหน้าที่จับได้..ผมจะเดินเขาไปหามันแล้วบอกว่า..คุณรู้ไหมว่าคุณทำให้ผมทุกข์มากขนาดไหน..คุณรู้ไหมว่าสิ่งที่คุณทำมันทำให้คนหนึ่งคนตายทั้งเป็นขนาดไหน..."เขาหยุดเว้นระยะคำพุดช่งหนึ่งเหมือนหายใจรุนแรงขึ้น"ผมจะบอกมันแบบนี้....ก่อนที่จะฆ่ามัน"
"เห้ย...ย้ง"ผมจำได้ว่าผมร้องเสียงหลงแบบคนไม่คาดคิดว่าเพื่อนผมจะมีแนวคิดอัตรายแบบนี้
"ผมพูดจริงๆนะโชค..ถ้าผมเจอมัน...มันตายแน่"เขาย้ำน้ำเสียงหนักแน่น
"........"ผมยอมรับว่าหมดคำพูดและรู้สึกกลัวใจเพื่อนของผมมากขึ้น
คนเรานี่เวลาขึงโกรธหรือเคียดแค้นถึงขีดสุดนี่..ใจร้ายขนาดฆ่าคนตายหรือคิดจะฆ่าคนตายได้เลยหรือเป็นสิ่งที่ผมคิด....หลายครั้งที่ผมเคยเกลียดใครสักคนแบบหมดเยื้อใยที่จะถือวิสาสะด้วย..ความรู้สึกผม ณ ขณะนั้นเคยมีสักช่วงของความคิดไหมนะที่นีกอยากเห็นคนที่ผมเกลียดจับใจคนนั้น..ตายไปต่อหน้าต่อตา
ก็ได้แต่ภาวนาว่าขอให้เป็นอารมณ์ชั่ววูบหรือคำพูดชั่วแล่นที่ผ่านออกแล้วผ่านไป
"เอาน่า...ไหนๆเรื่องของคุณก็ได้ออกอากาศแล้วอาจมีเบาะแสอะไรเพิ่มเติมเข้ามาบ้าง...อย่าเพิ่งคิดอะไรที่มันน่ากลัวแบบนั้นเลย"ผมพยามพุดให้บรรยากาศมันดีขึ้น"ตอนนี้ก็อดทนรออีกนิดแล้วกันนะย้ง...เผื่อมีอะไรคืบหน้าบ้าง"
"ผมหน่ะรอได้..แต่เจ้าหนี้ผมหน่ะสิโชค...เขาเหมือนพยามซ้ำผมให้ตายให้ได้"น้ำเสียงและอารมณ์ของเขาเริ่มรุนแรง
"หือ?เกิดอะไรขึ้นอีก"ผมถามอย่างข้องใจว่ามีปะญหาใหม่เข้ามาอีกหรือ
"หลังจากรายการออกอากาศไป..เจ้าหนี้ผมก็นั่งดูอยู่ด้วย..เขาโทรหาผมแล้วเร่งรัดว่าจะให้ผมใช้หนี้ให้ได้ภายในอาทิตย์นี้....ผมจะไปหามาจากไหนค่าของตั้งสี่ล้านกว่า...ผมไม่รู้จะทำยังไงจริงๆ"
อนิจานี่ละนะเขาถึงว่า...เวลาคนเราดวงตก...ผีก็คอยจะซ้ำ...นับประสาอะไรกับคนที่คอยจะเติมให้เจ็บฃ้ำหนักหนาเข้าไปอีก
"แล้วทำไมเขาต้องมาทวงเอาตอนนี้..."
"เขาให้เหตุผลว่าเขากลัวผมไม่ปัญญาใช้คืนค่าของเขา..แต่ผมไม่ได้เอาของเขาเปล่าๆนะโชค...ผมวางทองคำเป็นของประกันไว้150บาท"
"อ้าว..แล้วเขาจะกลัวอะไรล่ะย้ง....ทอง150ก็ไม่ใช่น้อยๆนะ"ผมว่า
"ผมว่าเขาคงอยากยึดของประกันผมมากกว่า..."เขาพูด" ผมเหนื่อยและทุกข์จัง...เขาให้เวลาผมน้อยเหลือเกิน"
ผมจำได้ว่าผมถอนหายใจอย่างไม่รู้จะช่วยอย่างไรเช่นกัน...อย่าว่าแต่เงินสี่ล้านเลย....ในชีวิตเงินห้าแสนเป็นเงินจำนวนเดียวที่ผมเคยจับและมี....(จนได้อีก)
"แล้วคุยกับที่บ้านบ้างหรือยัง...."บอกตามตรงว่าผมไม่รู้พื้นหลังของย้งเท่าไหร่นัก...แต่เชื่อว่าคงมีคนที่พอจะช่วยเหลือเวลาเขาลำบากแบบนี้บ้าง..อย่างน้อยก็คนใกล้ตัว
"ไม่มีใครสนใจหรอกโชค"เขาบอกด้วยน้ำเสียงน้อยใจ"ตั้งแต่เกิดเรื่องก็มีแต่คนบอกให้ผมทำใจ..อย่าคิดมาก..แต่ไม่มีใครสักคนที่ถามว่าผมจะอยู่ต่อไปยังไง....ไม่มีใครสักคนอยากรู้แบบจริงๆจังๆว่าผมเป็นยังไงบ้าง....ไม่มีใครให้ความช่วยเหลือใดๆทั้งที่เป็นญาติพี่น้องแท้ๆของผม....ยังไม่นับเพื่อนผมอีกหลายๆคนที่ไม่แม้จะรับโทรศัพย์ของผม....ผมเหมือนคัวคนเดียวจริงๆ"
"คุณยังมีผมนะย้ง"ผมบอกย้ำแน่น"ผมรู้ว่าผมอาจไม่ใช่เพื่อนสนิทของคุณมากนัก...และก็อาจช่วยเหลืออะไรคุณได้ไม่มากนัก....แต่ถ้าคุณอยากหาใครสักคนที่อยากจะพูด..อยากระบาย...ผมยินดีรับฟังนะย้ง"ผมรู้สึกแบบนั้นจริงๆ
"ขอบคุณมากๆครับโชค"เขาเอ่ยขอบคุณผมซ้ำๆ"ผมรู้ว่าอารมณ์ผมตอนนี้อาจไม่ค่อยดี..อาจพูดจาอะไรไม่ดีๆออกไปบ้าง...อย่าถือผมนะ...อย่าทิ้งผมนะ"
เหมือนเป็นคำพุดเชยๆแต่สำหรับผม..ผมว่าผมเข้าใจความหมายนั้นได้เป็นอย่างดี..คนเราเมื่อเดินอยู่กลางความมืดที่มองอะไรไม่เห็น..การมีใครสักคนยืนเคียงข้างและพากันเดินไปด้วยกัน...เป็นสิ่งที่เดียวที่คนเรายังคงต้องการเป็นอันดับแรกๆ...ต่อจากเทียนไขและแสงสว่าง
"ยินดีครับ...ผมเป็นเพื่อนย้งเสมอ"ผมย้ำหนักแน่ให้ความมั่นใจกับเขา"ช่วงนี้ก็รอก่อนนะครับ..ผมเชื่อว่าเดี๋ยวคงมีอะไรดีๆเกิดขึ้นหลังเรื่องของคุณออกสื่อไปแล้ว"
"ผมก็หวังแบบนั้น...มันเป็นความหวังเดียวที่ยังทำให้ผมมีลมหายใจ..."
"อย่าลืมให้กำลังใจตัวเองด้วยนะย้ง....คำพูดของคนอื่นอาจช่วยเราได้ระดับหนึ่งก็จริง...แต่สิ่งสำคัญที่สุดคือใจของคุณเอง..เข้มแข็งและหนักแน่นเข้าไว้นะครับ"
"ผมลืมบอกคุณไปอีกเรื่องหนึ่ง...."น้ำเสียงเขาดูมีกังวาลของความหวังขึ้นมาเล็กน้อย"อาทิตย์หน้าผมจะไปออกรายการเรื่องเด่นเย็นนี้"
"อ่า...ดีเลยครับย้งรายการดังขนาดนี้ผมเชื่อว่าจะช่วยคุณได้อีกเยอะ..ไปวันไหนโทรบอกผมด้วย"
@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@
ผ่านไปสักอาทิตย์กว่าๆเห็นจะได้..ผมยังคงดำเนินชีวิตในแบบที่ผมเองเป็นอยู่ทุกๆวัน..เรื่องของเพื่อนผมดูจะเลือนหายไปจากความสนใจเนื่องด้วยภาระหน้าที่ที่มีมากพอสมควร..ความไม่มีเวลาหรือความมีเวลาน้อย..ทำให้คนเราหลงลืมเรื่องที่เราสนใจไปเสมอ
กลางดึกของคืนนั้นขณะนี้ผมกำลังล้มตัวลงนอน..เสียงโทรศัพย์จากเพื่อนก็ดังขึ้น...ผมมองเบอร์แล้วก็ให้นึกละอายใจที่ไม่ได้ติดตามผลเรื่องเพื่อนเท่าที่ควร...
"สวัสดีครับ"ผมเอ่นทักปลายสาย
".........."เงียบ
"สวัสดีครับ...ได้ยินผมไหม?"
"คุณช่วยมาหาผมหน่อยได้ไหม...."น้ำเสียงเบาหวิวเหมือนคนหมดแรง
"เกิดอะไรขึ้น?คุณเป็นอะไรหรือเปล่า?"ผมถามด้วยใจหายวาบ
"ได้ไหมครับ?"เขาย้ำถามเสียงแผ่วเบา
ผมเหลือบมองดูนาฬิกาบอกเวลาเกือบเที่ยงคืนเห็นจะได้....
ดึกพอสมควรแล้วนะนี่...ผมครางในใจแต่ความร้อนใจและความเป็นห่วงมีมากกว่าตวามอ่อนเพลียผมจึงบอกเขากลับไปว่า
"ไม่เกินยี่สิบนาทีครับย้ง"
ในขณะที่ผมนั่งอยู่บนรถแท็คซึ่จิตใจกระวนกนะวายอย่างบอกไม่ถุก...ตลอดจนคาดเดาไม่ได้ว่าจุดประสงค์ของเพื่อนผมในการอยากเจอผมในครั้งนี้คืออะไรกันแน่....
รถคันเก่าวิ่งฝ่าความมีดของซอยเปลี่ยวเข้าไปจนเกือบสุดซอย...ความเลือนลางของความทรงจำที่ไม่ได้ไปมาหาสู่นานแล้วทำให้ผมทำได้แค่คลับคล้ายคลับคราว่าอยู่ตรงไหนของหมู่บ้าน...กันแน่.....รถวิ่งวนอยู่หลายรอบในความมืดที่บ้านเดี๋ยวหน้าจาคล้ายๆกันหมด..ทำให้ผมยิ่งไม่แน่ใจเรื่องที่ตั้งเข้าไปอีก
ผมตัดสินใจ...โทรกลับไปถามทางเข้าและที่ตั้งของบ้านเพื่อนผม..แต่ปลายสายไม่มีเสียงตอบรับ....
ในใจกระวนกระวายเป็นอย่างยิ่ง..เกิดอะไรขึ้นกันแน่....
ผมตัดสินใจบอกคนขับให้จอดแล้วลเดินฝ่าความมืดคลำทางดู...เดินลัดเลาะอยู่ชั่วอึดใจก็พอจำได้ลางๆว่าน่าจะเป้นบ้านหลังนี้..จึงตัดสินใจกดกริ่ง..
ครู่ใหญ่พอดูที่ผมยืนอยู่หน้ารั้วโดยไร้วี่แววของเพื่อนผม...ๆฟทั้งบ้านเปิดสว่างแต่บรรยากาศวังเวงชอบกล....
ผมตัดสินใจเปิดประตูบานเล็กของตัวรั้วเข้าไปข้างในเดินผ่านพื้นปูนที่มีรอยลากวัตถุบางอย่างเป็นรอยยาวนั้นเข้าไปยังประตูหน้า...ตัดสินใจเปิดประตูบานนั้นออก
"คุณพระช่วย"ผมร้องออกมาอย่างตกใจในภาพที่เห็น....
หลังประตูบานั้นที่ผมเห็นคือเพื่อนนั่งพิงกำแพงสีหน้าซีดเผือด...เลือดไหลนองพื้นเปราะเปื้อนเสื้อผ้าอยู่ตรงนั้น...
"เกิดอะไรขึ้นย้ง"ผมเรียกอย่างตกใจก่อนเข้าไปดูบาดแผลที่แขนของเพื่อน...เนื้อตัวของเขาสั่น...มือข้างหนึ่งกำกระจกใสไว้ในมือแน่น...
ผมยอมรับว่าผมทำอะไรไม่ถุกเนื่องจากเป็นคนกลัวเลือดแค่เห็นก็แทบทรุดมือไม้อ่อนแล้ว...แต่ด้วยความเป็นห่วงบวกตกใจมีมากกว่าจึงพยามตั้งสติ
"ย้ง..ย้ง"ผมเรียกชื่อเพื่อนเบาๆพลางใช้มือตบที่ใบหน้าเบาๆแบบเรียกสติ
เขาปรือตามองผมด้วยแววตาว่างเปล่าเนื้อตัวยังคงสั่นอยู่เหมือนเดิม....
"โชค..วันนี้ผมไปออกรายการมา..."น้ำเสียงแผ่วๆฟังแทบไม่ไดศัพย์
"อย่าเพิ่งพูดเรื่องนี้....."ผมดุพลางพยามเอื้อมมือไปปลดเศษกระจกบานนั้นออกจามือของเพื่อน"ปล่อยย้ง...ปล่อย"ผมสั่งสำทับอีกรอบ....
"เขาพูดจาไม่ดีเลยโชค...เขาพุดเหมือนไม่เชื่อที่ผมพูด.....ไม่เชื่อว่าผมหมดตัวโชค"คำพูดเหมือนเพ้อ...
"ย้งตั้งสติ..ตั้งสติ.."ผมย้ำด้วยน้ำเสียงหนักๆ"ทำแบบนี้ทำไม"
"ผมจะทำยังไงต่อโชค...ผมควรทำยังไง"
ผมรู้สึกวิงเสียนมือไม้เย็นทุกครั้งที่สูดกลิ่นคราวเลือดนั้นเข้าไป..แต่ผมบอกตัวเองซ้ำๆว่าผมต้องมีสติ....ผมต้องผ่านมันไปให้ได้
"ย้ง..ย้ง"ผมเรียกซ้ำๆพยายามเรียกสติของเขา"ย้งได้ยินผมไหม..ปล่อยกระจก...ปล่อยก่อน"ผมพูดพลางพยามยื้อกระจกที่เกราะกรังด้วยเลือดสดๆบานนั้นออกจากมือของเขา...
ผมสัมผัสถึงแรงสั่นของข้อมือของเขาได้..แต่สิ่งที่ผมไม่แน่ใจคือมันสั่นเพราะล้า..หรือเพราะยังดื่มเลือดไม่พอกันแน่...สิ่งเดียวที่ผมพยายามทำตอนนั้คือเอามันออกไปให้ห่างเพื่อนผมที่สุดเท่าที่ทำได้
"ผมขอร้อง..อย่าทำแบบนี้"น้ำเสียงผมออกจะกระด้างมากกว่าปลอบโยน...มันเหมือนสั่ง..เหมือนบังคับให้เขาฟังผม
ใจก็กลัวของมีคมนั้นจะบาดเอา..แต่ยังคงจับมันไว้มั่นและพยายามแกะมันออกจากมือข้างนั้น...
เป็นครู่กว่าผมจะจัดการวัตถุมีคมในมือของเพื่อนได้...ก่อนหาผ้าสะอาดมาเช็ดตามมือตามแขนที่ขณะนี้จากของเหลวใสเริ่มแข็งตัวเป็นเหนียวข้นจับติดทั้งเสื้อผ้าของเพื่อนและของผม....
ผมทำความสะอาดและพยามหาที่มาของเลือดก็พบว่ามันไหลออกจากต้นแขนข้างหนึ่งจึงพยายามห้ามเลือด..
บาดแผลเล็กกว่าที่ผมคิด...แต่เข้าใจว่าระยะเสลาในการปล่อยให้เลือดไหลออกมาคงกินเวลานานพอสมควร.งถึงได้มีเลือดนองพื้นได้เยอะขนาดนี้....
หลังจากพยามห้ามเลือดได้แล้วผมจึงบังคับแกมขอร้องให้เพื่อนไปหาหมอ....
แต่เขาปฎิเสท....
สิ่งที่ผมทำได้ตอนนั้นคือได้แค่บังคับให้เขาไปอาบน้ำ...และตั้งสติก่อนที่จะคุยกัน...
ผมเดินเข้าไปล้างหน้าล้างตาในห้องน้ำด้านล่าง..สมองก็พยามคิดต่อยอดว่าจะใช้คำพูดประมาณไหนยังไงกับคนที่กำลังตกอยู่สภาพแบบนี้
เขาว่ากันว่าคนเราทุกคนรักตัวเองมากที่สุด...ตราบใดที่เขาหรือเธอยังรักตัวกลัวตาย..นั้นหมายความว่าเขาหรือเธอยังมีสติสัมปชัญญะครบถ้วนสมบูรณ์ดี..แต่ตราบใดที่เขาหรือเธอลงมือแล่เนื้อเถือหนังด้วยมือของตัวเอง...โดยไม่หวาดกลัวต่อความเจ็บปวดใดๆ....คนคนนั้นย่อมอยู่ในอารมณ์ที่ทำอะไรก็ได้....
ผมเดินออกมาก็พบว่าเพื่อนเดินลงมานั่งรอผมอยู่ที่เก้าอี้ตัวนั้นอยู่แล้ว...ดวงตาแดงกล่ำเลื่อนลอย...แต่เนื้อตัวดูสะอาดสอานขึ้นกว่าเมื่อสักครู่มาก...
"มียาใส่แผลไหม"ผมเอ่ยถามเพราะไม่มักคุ้นบ้านหลังนี้นัก
"ผมไม่เจ็บหรอกโชคมันแค่ชาๆ"...เขาเอ่ยเหนื่อยๆ
"ไม่เจ็บก็ต้องใส่ครับ..."ผมตัดบท"จะปล่อยไว้แบบนี้ไม่ได้หรอกนะ"
ผมลงมือทำแผลแบบหยาบๆให้เพื่อนแบบคนไม่ค่อยถนัดเรื่องแบบนี้นัก...เขายังนั่งนิ่งไม่แสดงความเจ็บปวดให้เห็นแม้แต่น้อย...คงจะชาจริงแบบที่เขาบอก
"ไหน..บอกผมสิเกิดอะไรขึ้น"ผมพุดพลางโอนตัวลงพนักเก้าอี้อย่างเหนื่อยอ่อน...เวลาเดินไปเชื่องช้า..แต่ผมโหยหาที่นอนเหลือเกินยามนี้
"แมวมันชนกระจกแตกน่ะครับ"เขาเล่าเหนื่อยๆ
"แล้ว...ก็เลยลองเอากระจกมาลองควาเหนียวดูงั้นสิ?"ผมพุดติดตลกเชิงประชดนึกเหนื่อยใจแทนความคิดของเพื่อนจริงๆ
"ผมเครียด...."เขาว่า"วันนี้ผมเจอแต่เรื่องหนักๆ"
"อะไรบางล่ะ...ที่คุณบอกว่ามันหนัก"เขาถามพลางใช้มือปิดเปลือกตาครู่ใหญ่...เรียกกำลังกาย..กำลังใจ"คุณมีเบียร์ไหม..ผมอยากได้สักกระป๋อง..อ้อ....ลืมไปคุณไม่กินเหล้า"ผมว่าอย่างเพิ่งนึกได้
"เอาไหมครับเดี๋ยวผมขับรถไปซื้อให้"เขาเอ่ยปากอย่างมีน้ำใจ
"ไม่เป็นไรครับ...ผมแค่เพลียๆ...อยากได้อะไรแรงๆดื่ม....แต่รังเกีจไหมถ้าผมจะขอ..สูบบุหรี่ไปด้วย"ผมว่าอย่างเกรงใจด้วยเพื่อนผมมีปัญหาสุขภาพ...ผมเลยไม่แน่ใจว่าจะมีผลอะไรกับเขาไหม
"เชิญครับ"
เริ่มเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นกับเขาตลอดวันให้ผมฟังช้า....
เริ่มด้วยเจ้าหนี้มาหาเขาถึงบ้านในตอนเช้าพร้อมยื่นคำขาดจะเอาฮอนด้าแอคคอร์ทของเขาให้ได้เพื่อเป็นการปลดหนี้...แต่ตีราคาให้7แสนบาท...
เขาเล่าต่อว่า..ทองที่เขาใช้มัดจำเหมือนที่เขาทำมาตลอดในการทำการค้า....เจ้หนี้ยึดและนำไปขายทอดตลาดได้เงินเป็นเงินจำนวนล้านกว่าบาท...เขาขอยึดเป็นเงินค้ำประกันที่เพื่อนผิดนัดการชำระ..
ภาษาชาวบ้านคือ..โกงกันหน้าด้านๆโดยไม่หักหนี้ก้อนนั้นแม้แต่บาทเดียว...
ฟังแล้วน่าใจหาย...คนเคยรู้จักกัน...ทำมาหากินร่วมกันมา...จะทำกันขนาดนี้เลยหรือ?
เรื่องมันยังไม่จบเพียงเท่านั้น...วันนี้เจ้าหนี้หัวใจหินยังคงเดินหน้าทวงของคืนในรูปแบบที่คนรู้จักกลายเป็นคนแปลกหน้าต้องจดจำไปอีกนานแสนนาน...
"ผมขอละครับ...ถ้าพี่เอารถผมไปก็เท่ากับตัดมือตัดเท้า...ตัดทางทำมาหากินผมเลยนะครับ...แล้วผมจะหาจากไหนใช้พี่?
"พี่ก็ไม่อยากทำแบบนี้นะ....แต่น้องก็ยังมีกะบะอีกคันนี่....เอาไว้ติดต่องานแทนสิ"
"พี่ครับ...ผมเอาไปติดต่อขายเครื่องประดับ...ผมขับกะบะไป..จะมีใครเขาเชื่อถือผมล่ะครับพี่"เขาว่าอย่างอ่อนใจ"ผมขอล่ะครับอย่าซ้ำผมด้วยวิธีนี้เลย...ขอทางผมทำมาหากินบ้างเถอะ...ตอนนี้ผมยังคิดอะไรไม่ออก....แต่ผมสัญญาว่าผมจะดิ้นรนทุกวิถีทางหาเงินมาคืนพี่ให้ได้"
"แต่พี่ก็อยากได้หลักประกันเหมือนกันนะ....พี่เอารถน้องไป....พี่ก็ไม่ได้ว่าจะเอาไปเฉยๆ...จะเขียนสัญญาให้7แสน....ถ้าน้องมีเงินเอาคืนพี่ในระยะเวลาที่พี่กำหนด..น้องก็เอารถของน้องคืนไป"
ผมฟังแล้วอึ้ง...เอากันขนาดนี้เลยหรือ?...
ในส่วนตัวผมก็เข้าใจว่าธรรมชาติของคนที่เป็นเจ้าของเงินก็ต้องการหลักประกันสักอย่างไว้เป็นเครื่องป้องกันการสูญของทรัพย์...แต่ต้องทำกันขนาดนี้เชียวหรือ?
"พี่เอารถผมไปก็ได้ครับ....แต่ทวงหนี้กับคนเป็นดูจะมีประโยชน์กว่าทวงหนี้กับคนตายนะครับ"เขาพูดจริงจัง"เดี๋ยวผมจะเอากุญแจมาให้"
"....."
ด้วยสีหน้าและคำพูดที่จริงจังของเพื่อนแสดงถึงความสิ้นหวังสิ้นขีดแบบเจ้าหนี้ไม่เคยเห็นมาก่อน...เป็นผมให้เขาล่าถอยไปพร้อมทั้งสัมทับเรื่องหนี้สินให้เสร็จสิ้นในเร็ววันด้วย...
"ผมคิดแบบนั้นจริงๆนะโชค...ถ้าเขาไม่เห็นใจผม..ผมคงตายให้เขาดู"น้ำเสียงดูน่ากลัวยังไงชอบกล...
"....."
"ผมไม่ได้แกล้งทำ...ผมไม่ได้คิดจะโกง...ผมแค่ขอเวลา..ทำไมต้องบีบคั้นผมถึงขนาดนี้ด้วย"
"เขาคงกลัวหนี้สูญมั้งครับ...เป็นผม..ผมก็กลัว"ผมพูดแบบกลางๆ
"ใรความคิดผม...เขากำลังพยามเอาเปรียบกับความโชคร้ายของผม...ทอง150บาทมันก้ไม่น้อย..ถือว่าเขาก็ได้ดอกไปในราคาะสมควรแล้ว...เขาจะหักคอผมโดยบังคับให้ผมขายรถให้เขาในราคาได้เปล่าแบบนี้..เพื่ออะไร"
"ใจเย็นๆครับ...คุณผ่านมันไปได้แล้วไม่ใช่หรือ..อย่างน้อยเขาก็ยอมที่จะรอคุณฟื้นตัว"
"โดยเอาชีวิตเข้าแลกน่ะหรือ?"
"เห่อ..."ผมถอนหายใจ"แต่คุณก็ผ่านมันมาได้นี่นะ...ทุกปัญหามันมีเข้ามาเพื่อให้เราแก้...แต่คุณควรตั้งสติเพื่อมองปัญหาให้ออก...ไม่ใช่ทำอะไรที่ขาดสติแบบนี้"ผมเตือนตรงๆ
"ชีวิตผมพัง..เพราะมันคนเดียว...ขอให้ผมได้เจอมันเถอะ...ผมจะฆ่ามันให้ตายคามือเชียว"น้ำเสียงขึงขังดูน่ากลัวมาก
"แล้วคุณก็ติดคุก?"ผมเอ่ยแย้ง"มันคุ้มกันแล้วเหรอสำหรับเอาชีวิตตัวเองไปแลกกับคนไร้ค่าแบบนั้น
"ผมไม่ต้องแลกอะไรเลย...ผมมีวิธีทำให้มันหายตัวไปโดยที่ใครก็หามันไม่เจอ"
ผมไม่แน่ใจว่าเพื่อนผมทำได้แบบที่พูดจริงไหน..แต่สิ่งหนึ่งที่ผมคิดเมื่อฟังคำเหล่านั้นจบคือ..กลัวท่าทางแบบนี้ของเขาจริงๆ
"ใจร้ายจัง.."ผมพูดและรู้สึกแบบนั้นจริงๆ"แล้วเกิดอะไรขึ้นอีกหรือวันนี้..คุณถึงได้เครียดขนาดนี้"
เพื่อนเงียบไปเป็นครู่แบบพยายามเรียบเรียงเรื่องราวก่อนลงมือเล่าให้ผมฟังต่อว่าลูกค้าคนหนึ่งสั่งเครื่องประดับไป...แล้วต้องการคืนของชุดนั้น
"โดยปกติเขาจะรับซื้อคืนเครื่องประดับที่เขาขายในทุกกรณี...โดนจะหักราคารับซื้อ30%ของราคาขายเป็นค่าสีกหรอ"
แต่ในขณะนี้เขามีเงินไม่มากพอที่จะรับซื้อของชุดนั้นคืนมา...
"ผมเสียเครดิตเรื่องคำสัญญากับลูกค้ารายนี้ไปเลย..เขาซื้อขายกับผมมานานมาก...แต่ผมไม่มีเงินมากขนาดรับซื้อเครื่องเพชรชุดนั้นคืน"
"เขาก็ต้องเขาใจสิว่า..คุณเจอเรื่องแบบนี้จะเอาเงินที่ไหนมารักษาคำมั่น"
"แต่ผมรู้สึกแย่...ผมสูญเสียความน่าเชื่อถือไป..แล้วผมจะทำยังไงต่อ"
เวรกรรมแท้ๆ....ผมคิดในใจ...ผมก็ไม่ค่อยเข้าใจระบบการทำงานของเขานัก...แต่ถ้ามันเคยดำเนินไปแบบนั้นโดยปกติสุข....ในวันนี้ก็คงเป็นเรื่องสามันที่เพ่อนผมคงไม่ต้องมานั่งคิดมากกับมัน...
แต่นี้..มันไม่ใช่แค่สูญเสียทรัพย์สิน..มันเหมือนการสูญเสียชีวิต...การงาน...และการใช้ชีวิตในแบบที่มันควรจะเป็น...
"ลูกค้าเขาจะไม่เข้าใจเลยหรือว่าตอนนี้คุณกำลังลำบาก...ได้บอกเขาไหม?"ผมคิดแบบนั้นจริงๆ
"ผมบอกแล้ว...แต่"เขานิ่ง"แต่เขาเหมือนไม่เข้าใจ..ผมคงต้องหาเงินให้เขาก่อน....ได้ของมาค่อยหาที่ปล่อยต่อ"
"?....."อย่างที่ผมบอก..ผมไม่เข้าใจระบบการทำงานของเขานัก...แต่ถ้าเขาคิดแบบนั้น..มันก็ควรจะดีที่สุดสำหรับเขาในตอนนี้
"ครับ...แล้วมีอะไรเกิดขึ้นกับคุณอีกในวันนี้"
"ตอนเย็นผมไปออกรายการมา....มันแย่มาก"เขาพูด
ก่อนอัดรายการ...มีเจ้าหน้าประสานงานมาคุยกับเขาคร่าวๆ..ถึงเรื่องที่จะคุยบวกถาม-ตอบพอเป็นข้อมูลพื้นฐานที่จะต้องทราบ...
เพื่อนผมตื่นเต้น..และไม่แน่ใจว่าตัวเองจะทำได้ดีแค่ไหน.นั่งตั้งสติอยู่เกือบชั่วโมงจนรายการออนแอร์
ผู้ดำเนินรายการกล่าวเปิดรายการคร่าวๆให้ผู้ชมได้รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับขายที่นั่งอยู่ตรงหน้าก่อนเปิดประเด็นสนทนา...
"ทรัพย์สินที่โดนยกเค้าไปประมาณเท่าไหร่ครับ?"ผู้ดำเนินรายการเปิดประเด็น
"ประมาณสิบล้านครับ"เพื่อนตอบ
"แต่ในใบแจ้งความระบุไว้ที่ประมาณ8ล้าน?"น้ำเสียงดูราวไม่เชื่อ
"ครับ...ทรัพย์สินส่วนใหญ่ในบัญชีทรัพย์สินที่แจ้งทางเจ้าหน้าที่..มีบางรายการที่ผมภายหลัง"
"แล้วทำไม..ถึงไม่แจ้งทั้งหมดตั้งแต่ตอนเกิดเหตุ"เขารุกไล่"10กว่าล้านกับ8ล้านนี่ต่างกันเยอนะครับ?"
"คุณครับ...ผมจำทรัพย์สินทั้งหมดที่ผมมีไม่ได้หรอกนะ...ผมต้องใช้เวลาคิด..อีกอย่างเจ้าหน้าให้ผมแจ้งภายใน24ชั่วโมง..ผมพยามนึกเท่าที่ผมนึกออกได้เท่านี้"น้ำเสียงเขาเริ่มไม่พอใจ...
"ที่บ้านทำอะไรครับ?"เขาถามในตอนหนึ่งของรายการ
"หมายถึงผม..หรือครอบครัว"เขาตอบ
"ตัวคุณหน่ะครับ..ประกอบอาชีพอะไร"ผู้ดำเนินรายการอธิบายคำถาม
"ผมทำธุรกิจเกี่ยวกับจิวเวอรืรี่แบบขายตรง..."
"มันคืออะไร..แบบไดเร็กเซลอะไรทำนองนี้น่ะเหรอ?"
"ประมาณนั้น"
"ในนี้ไม่มีแจ้งมาว่าคุณจดทะเบียนในนามบริษัท..?"
"ครับ..ผมทำในนามส่วนตัว"
"มันเป็นยังไง..อะครับทำในนามส่วนตัว...ของเยอะแยะขนาดนี้"ว่าพลางหยิบดูบัญชีทรัพย์ขึ้นมาดุแล้วกวาดตามอง"ถ้ามันมีอยู่จริง..คุณเอามาขายยังไง"
เพื่อนเริ่มอึดอัดที่จะต้องบอกวิธีการทำงาน..และวิธียิงคำถามที่ดุเหมือนไม่ให้เกีรยติ(ในความรู้สึกของเขา)แบบนี้
"ผมมีกลุ่มลูกค้าของผม...เราคิดต่อกันหลายปีก่อนที่ผมจะมาทำงานตรงนี้..ผมใช้ระบบปากต่อปากครับ"
"หมายถึง..ปากต่อปากแบบนั้นเหรอ"
"ใช่ครับ"
"อ้าวแล้วของพวกนี้คุณเอามาจากไหน?"
"บางชิ้นซื้อ..บางชิ้นทำครับ"
"คือ..ขายแบบตัวต่อตัวแบบนั้น?"
"ครับ"
"อ้าวแบบนี้คุณก็เลี่ยงภาษีสิครับ..ผิดกฎหมายนะ"
เพื่อนผมหยุดนิ่งแบบพยามตั้งสิตและควรคุมอารมณ์..จริงอยู่สิ่งที่เขาได้ยิน..เขาเข้าใจและยอมรับในคำถามนั้น....แต่ประเด็นของเขาคือด..โดนโจรกรรม...ของ..ไป..ไม่ใช่หรือ?
"จะว่าอย่างนั้นก็ได้"น้ำเสียงเริ่มกระด้าง
การดำเนินรายการยังคงเดินไปด้วยบรรยากาศที่อึดอัด...
ผู้ดำเนินรายการฃ่วยให้เล่าเหตุการณืและสิ่งเกิดขึ้นหลังจากนั้น...วิธีการแจ้งความ...และการติดตามผล...
"ครอบครัวคุรประกอบอาชีพอะไรกันครับ"
"พ่อแม่ผมเป้นชาวสวน"
"?...."ดุเหมือนผู้ดำเนินรายการจะฉงนในคำตอบ...."แล้วเอาทุนรอนมาจากไนมาทำธุรกิจประเภทนี้..."
คำถามและสีหน้าผู้ดำเนินรายการเหมือนจะบอกกลายๆว่าคุณมีปัญญาทำจนมีเกิน10กว่าล้านจากชาวสวนเนี๊ยนะ?(นั้นคือความคิดของเพื่อนผม)
ผมรับฟังคำบอกเล่านั้นของเพื่อนด้วยใจเป็นกลาง....
ในมุมของผู้ดำเนินรายการเขามีหน้าที่นำเสนอ..เหตุและผล..และต้องถามคำถามยางคำถามที่ต้องถามแทนคนดู....คำถามอาจดูแล้งน้ำใจ...แสดงความไม่เชื่อถือ...แต่ด้วยแขกรับเชิญเป็นแค่ใครก้ไม่รู้ที่คนดูไม่มีปูมหลังเลยสักนิด...สิ่งที่เขาถามและพุดก้เป็นสิ่งที่สมควร
ในขณะที่มุมของเพื่อนผม...เขาอยู่ไม่อยู่ในอารมณ์ที่จะต้องพูดเรื่องส่วนตัวมากกๆแบบนี้...ความไม่พร้อมที่จะเข้าใจสิ่งที่คนอื่นถามและเขาไม่อยากตอบ....มันจึงเป็นเรื่องไม่แปลกที่เขาจะรู้สึกเหมือนโดนทับทม...เหมือนไม่น่าเชื่อถือ..หรือแปลคำพูดและการแสดงออกไปในเชิงถากถาง...
"คุณก็ต้องเข้าใจ..ว่าเขาไม่รู้จักกับคุณมาก่อนเขาก็ต้องถามแบบที่คนดุอยากรู้"
ผมพยามมองต่างมุมให้เขาให้คิด"อย่างผม..บอกตรงๆว่าแว๊บแรกที่คุณบอกเรื่องของคุณให้ผมฟัง...ผมยังไม่คิดว่าคุณจะมีทรัพย์สินมากขนาดนี้"
"แต่ผมอึดอัด...คำพุดที่เหมือนผมโกหก...ตำพุดที่แสดงเหมือนไม่เชื่อในสิ่งที่ผมบอก..มันทำให้ผมรู้สึกแย่"
"ผมทราบ..."
"พอผมกลับมา...เปิดประตูบ้านทิ้งไว้แล้วขึ้นไปอาบน้ำ...ลงมาเจอแมวที่ผมเลี้ยงวิ่งชนกระจกแตก..ผมเครียด..ทำไมมันต้องมาแตกตอนนี้...ทำไมมันเหมือนผมยังเจอเรื่องแย่ๆมาไม่พออีกหรือในวันนี้...อยากให้ผมตายไปเลยใช่ไหม"
เขาเริ่มระบายอารมณืรุนแรงออกมา...มเริ่มเข้าใจแล้วว่าเขาทำแบบที่ผมพบทำไม..
"คุณเชื่อไหม...ตอนที่ผมหยิบกระจกขึ้นมาเชื่อดๆข้อมือตัวเอง..ผมไม่รู้สึกกลัว...ไม่รู้สึกเจ็บ...เลยแม้แต่น้อย..."
"......."
"ผมแต่รู้สึกว่ายังต้องการอะไรจากผมอีก..ผมยังทุกขืไม่พออีกหรือ..."เขาพ้อเหมือนจะต่อว่าใครสักคน...
"ผมเข้าใจ"
"คุณไม่เข้าใจหรอกโชค"เขาแย้ง"คุรจะเข้าใจคนที่เป็นแบบผมได้ยังไงในเมื่อคุณยังปกติสุขดี....ขนาดคนที่อยู่กับผมมาทั้งชีวิตยังไม่มีใครเข้าใจความรู้สึกผมเลย"
"......"
ผมฟังนิ่งๆให้เขาได้ระบาย...ถ้าในอารมณ์ปกติของผมถ้าเจอคำพุดประมาณนี้ผมคงลุกหนีและเดินจากไปโดยไม่กลับเข้ามายุ่งเกี่ยวอีก...แต่ด้วความสงสาร..ผมยังนั่งนิ่งฟัง..คำพุดที่เหมือนแย่ของเขาต่อไป...จนเขาเริ่มสงบลง...
"พักผ่อนนะ...เกือบตีสามแล้ว"
"ผมไม่รุ้จะนอนยังไง..ผมนอนไม่หลับ..หรือหลับก้หลับไม่เต็มตื่นมาตลอดสามเดือนนี้"
"แต่คุณก็ต้องพัก...ถ้าคุณไม่พัก...คุรจะเอาสติปัญญาที่ไหนไปต่อสู้เรื่องนี้ต่อ...ผมช่วยคุณได้แค่รับฟัง..และอยู่เป็นเพื่อนคุณ..แต่สิ่งที่คุณต้องทำคือช่วยตัวเองด้วย..."
ผมคิดแบบนั้นจริงๆ...
อย่างน้อยคนที่ควรเข้าใจตัวเองมากที่สุดควรเป็นตัวของเขาเอง...การทำร้ายตัวเองโดยการหมกมุ่นอยู่กับความคิด...ไม่ทำให้อะไรดีขึ้น
"เชื่อผมนะ..ถือว่าผมมขอร้อง"
"ครับ"เขายอมในที่สุด
"งันผมกลับแล้วนะ..อยุ่ได้ใช่ไหม"
"คุณจะกลับยัง...ไง"เขาเอ่ยถามอย่างมีน้ำใจ"
"ผมกลับได้....คุณพักเถอะ...แลเวอย่าทำร้ายตัวเองแบบนี้อีก..ยังมีเรื่องที่คุณต้องทำอีกมา"
(ขอจบเรื่องตอนนี้เท่านี้ก่อนนะครับ)
โจรกรรมภาพที่2
แก้ไขเมื่อ 08 มิ.ย. 52 13:39:51
แก้ไขเมื่อ 08 มิ.ย. 52 13:24:26
แก้ไขเมื่อ 08 มิ.ย. 52 13:05:50
แก้ไขเมื่อ 08 มิ.ย. 52 12:49:50
แก้ไขเมื่อ 08 มิ.ย. 52 11:42:13
แก้ไขเมื่อ 08 มิ.ย. 52 11:27:39
แก้ไขเมื่อ 07 มิ.ย. 52 22:55:10
แก้ไขเมื่อ 07 มิ.ย. 52 18:49:15
แก้ไขเมื่อ 07 มิ.ย. 52 17:39:57
แก้ไขเมื่อ 07 มิ.ย. 52 17:24:35
แก้ไขเมื่อ 07 มิ.ย. 52 11:08:43
แก้ไขเมื่อ 07 มิ.ย. 52 11:00:06
แก้ไขเมื่อ 07 มิ.ย. 52 10:25:30