|
ความคิดเห็นที่ 25 |
อื่ม....สำหรับเรื่องที่ว่าทำไมหมอส่วนใหญ่เมื่อแต่งงานกันแล้วไม่นิยมจดทะเบียนนั้น.......ส่วนใหญ่มันเป็นเรื่องของการกระจายรายได้เพื่อลดฐานภาษี....เพราะหมอเป็นวิชาชีพอีสระที่มีรายได้สูง....และมีรายได้จากหลายทาง....เช่น
หากหมอรับราชการทำงานโรงพยาบาลเค้าจะมีเงินได้ประเภทเงินเดือนตามมาตรา 40(1)
หากหมอรับตรวจรักษาดรคในคลีนิกพิเศษนอกเวลาตามโรงพยาบาลของรัฐเค้าจะมีเงินได้ตามมาตรา 40(2)
หากหมอเปิดคลินิกส่วนตัวเค้าจะมีเงินได้ตามมาตรา 40(6)
และหากหมอมีธุรกิจส่วนตัวอื่นๆ ซึ่งส่วนมากจะเป็นธุรกิจให้เช่า เช่น อพาร์เม้นต์ คอนโด บ้านให้เช่า เค้าก็จะมีเงินได้ตามมาตรา 40 (5)
ซึ่งเงินได้ประเภทต่างๆ ดังที่กล่าวมานั้นต้องนำมารวมเป็นเงินได้พึ่งประเมินและยื่นเสียภาษี....โดยภาษีเงินได้บุคคลธรรมดานั้นใช้อัตราก้าวหน้า...คือมีรายได้มากต้องเสียในอัตราที่สูงขึ้น....โดยขั้นสูงสุดถึง 37%
ฉะนั้น....เมื่อหมอคนเดียวมีรายได้สูงแล้วและมาแต่งงานกับหมอด้วยกันเองรายได้ก็ยิ่งทวีคูณ...เพราะการยื่นเสียภาษีของหญิงที่มีคู่สมรสตามป.รัษฏากร ม.57 ตรีนั้นกำหนดให้หญิงที่มีสามีต้องเอาเงินได้ของตนเองมารวมเป็นเงินได้ของสามีและให้สามีมีหน้าที่ในการยื่นรายการและเสียภาษี.....เว้นแต่จะเป็นรายได้พึ่งประเมินตามป.รัษฏากร ม.40(1) ที่ให้สิทธิหญิงมีสามียื่นเสียภาษีเองได้โดยมิต้องนำไปรวมเป็นเงินได้ของสามีตาม ตามป.รัษฏากร ม.57 เบญจ
ดังนั้น...หมอกับหมอจึงไม่นิยมจดทะเบียนสมรสกันเพราะหมอหญิงต้องนำรายได้ทั้งหมดยกเว้นเงินเดือนประจำมาร่วมเป็นเงินได้ของหมอชาย(สามี)และยื่นเสียภาษี....ทำให้ฐานเงินได้สูงมาก
และการกระจายฐานภาษีนั้น....ในส่วนรายได้จากการเปิดคลินิกส่วนตัวซึ่งเป็นรายได้กองใหญ่นั้น.....เค้ายังสามารถจดทะเบียนตั้งเป็นคณะบุคคลเพื่อให้เป็นหน่วยทางภาษีต่างหากแยกจากผู้มีเงินได้....ซึ้งหากเป็นสามีภริยากันจะไม่สามารถจดทะเบียนตั้งเป็นคณะบุคคลร่วมกันได้....รายได้ในส่วนนี้ของหมอชายและหมอหญิงจึงไม่ต้องนำมารวมเป็นเงินได้พึ่งประเมินของตนเอง....แต่ให้คณะบุคคลเป็นผู้ยื่นเสียแทนทำให้ฐานรายได้ลดลงไปมากและยังสามารถหักค่าลดหย่อนได้เพิ่มอีก 60,000 บาท
ในส่วนรายได้อื่นๆ มันก็จะมีวิธีการกระจายฐานหรือหักค่าลดหย่อนกันไปตามแต่พฤติการณ์...แต่ไม่ขออธิบายเพิ่มเพราะจะกลายเป็นเรื่อง Tax Planning ไป
ในส่วนของการจัดการทรัพย์สินนั้น....ถึงเค้าจะไม่จดทะเบียนสมรสกันแต่ทรัพย์สินที่ทำมาหาได้รวมกันก็จะเป็นกรรมสิทธิ์รวมกัน.....ไม่ว่าทรัพย์สินนั้นจะเป็นอสังหาริมทรัพย์ เช่นที่ดิน บ้าน หรือสังหาริมทรัพย์ เช่น เงิน ทอง รถยนต์ และไม่ว่าทรัพย์นั้นจะจดทะเบียนในชื่อใคร หรือฝ่ายใดจะเป็นผู้ถือครองก็ถือว่าเป็นการถือครองแทนอีกฝ่ายด้วยเช่นกัน....มิได้ถือว่าเป็นของฝ่ายหญิง หรือฝ่ายชาย ทั้งหมดแต่เพียงผู้เดียว....แม้ไม่แบ่งกันในฐานสินสมรสก็ต้องแบ่งกันในฐานกรรมสิทธิ์รวมอยู่ดี
และในเรื่องความสัมพันธ์ในครอบครัวนั้นมันก็ไม่ได้ขึ้นอยู่ที่ทะเบียนสมรส.....เพราะการจดทะเบียนสมรสมันไม่ได้ทำให้รักกันมากขึ้น....หรือไม่ได้ทำให้ทิ้งกันไม่ลง....แต่มันทำให้เกิดสิทธิหน้าที่ระหว่างกันตามกฎหมายเท่านั้นเอง....ซึ่งการจดทะเบียนอาจจะทำให้เลิกกันยากหน่อยเพราะมันจะต้องมีเหตุหย่า....มีเรื่องการแบ่งทรัพย์สิน...มีการจ่ายค่าอุปการระเลี้ยงดูเข้ามาเกี่ยวข้อง....แต่เรื่องนี้มันเป็นเรื่องสามัญสำนึกของคน....ถึงไม่จดทะเบียนถ้าเค้ามีสามัญสำนึกเค้าก็จ่าย....แต่ถ้าเค้าไม่มีสามัญสำนึกต่อให้จดทะเบียนก็บ่ายเบี่ยงไม่มีจะให้ ไม่ยอมจาย ไม่รับผิดชอบ
และที่สำคัญการจดทะเบียนสมรสมันไม่ได้เป็นเครื่องป้องกันการประพฤตินอกใจ....เพราะเวลาคนมันจะทำชู้กันก็ไม่เคยเห็นมันถามถึงทะเบียนสมรสกันเลย....
แต่ในเรื่องการจดทะเบียนสมรสอาจจะเข้ามาเกี่ยวข้องตามประเด็นปัญหาของเจ้าของกระทู้คือ.....หากสามีพลาดไปมีบุตรกับหญิงอื่น....อาจถูกหญิงนั้นบังคับให้จดทะเบียนสมรสให้....นั้นคือจุดแตกหักของปัญหาทั้งหมดในเรื่องนี้.....เพราะมันจะทำให้ฐานะทางกฎหมายของเจ้าของกระทู้กลายเป็นภริยานอกกฎหมายโดยทันที....ซึ่งเป็นเรื่องที่ต้องระวังให้ดีอย่าให้พัฒนาการของปัญหามันไปไกลถึงเพียงนั้น....
ดังนั้น....เจ้าของกระทู้จึงเป็นผู้ที่น่าเห็นใจมาก....เพราะต้องแบกภาระหลายอย่าง....ใครมีสามีเจ้าชู้จะทราบดีถึงความทุกข์ที่เกิดขึ้น....เจ้าของกระทู้จึงเป็นหญิงที่หน้าชื่นอกตรม....ต่อหน้าผู้คนต้องคอยรักษาภาพพจน์และชื่อเสียงของสามี....แต่ในขณะเดียวกันในใจกลับชิงชังในพฤติกรรมที่เค้าทำยิ่งนัก.....ซึ่งสิ่งที่ผมแนะนำไปในกระทู้นี้ไม่ได้หมายความว่ามันจะทำให้สามีเค้าหายเจ้าชู้ได้.....แต่อย่างน้อยมันก็เป็นการแก้ไขไม่ให้ทุกอย่างมันเลวร้ายลงไปมากกว่านี้....โดยเป็นการแก้ไขในปัจจัยภายในของเราเองซึ่งอยู่ในวิสัยที่เราทำได้.....ส่วนปัจจัยภายนอกในส่วนของสามีและหญิงอื่นนั้น....แก้ยากครับ.....ต้องค่อยๆ แก้จากภายในก่อนแล้วดูพัฒนาการความเปลี่ยนแปลงของเค้าและระวังเหตุแทรกซ้อนจากภายนอกอื่นๆ ที่จะมีมาในอนาคต แล้วค่อยๆ ปรับแก้ไปเรื่อยๆ ตามอาการ ผ่อนสั้นผ่อนยาวกันไป.....เหมือนการรักษาโรคนั้นแหละครับ
เห็นใจ จขกท. นะครับ....แต่ต้องอดทนและปลงให้ได้ครับ
(แก้คำผิด)
แก้ไขเมื่อ 27 ก.ค. 52 10:42:51
จากคุณ |
:
อินทร์นิล
|
เขียนเมื่อ |
:
27 ก.ค. 52 10:30:34
|
|
|
|
|