 |
ความคิดเห็นที่ 22 |
|
สวัสดีครับทุกๆท่าน.....ผมเป็นอีกคนหนึ่งที่ได้รับโทรศัพท์มหาภัยเช่นที่ว่านี้ โดยอ้างว่าโทรมาจากกรมสรรพากร เหตุเกิดเมื่อวันที่ 20 สค. 52 ที่ผ่านมา และโชคร้ายที่ต้องสูญเสียเงินเก็บตลอดชีวิตกว่า 150,000 บาท ให้กับแก็งค์คนร้ายที่ไม่มีคุณธรรมภายในใจ แม้ว่าเขาเหล่านั้นจะถือกำเนิดบนแผ่นดินพุทธภูมิก็ตามที ( คนไทยด้วยกันเองแท้ๆ ...ไม่อยากเชื่อเลยว่าเขาจะทำร้าย-ทำลายคนอีกมากมาย ที่ได้ชื่อว่าเป็นคนไทย,เชื้อชาติไทย,สัญชาติไทย และ อยู่ภายใต้ร่มบารมีของพ่อหลวงไทยได้ลงคอ )
นี่ก็ล่วงเลยมาเป็นเวลาเดือนกว่าแล้วโทรไปสอบถามกับตำรวจท้องที่ที่ได้ทำการแจ้งความไว้ก็ว่าไม่มีความคืบหน้าใดๆ เราซึ่งเป็นผู้เสียหายได้ยินดังนั้นก็ไม่รู้จะพูดอย่างไรได้ ไม่ทราบว่าเขาติดตามเรื่องให้เรามากน้อยเพียงใด ก็อยากรู้จริงๆว่าถ้าเกิดว่าคนที่ได้รับเคราะห์กรรรมนี้เป็นลูก เมีย ญาติพี่น้อง หรือใครก็ตามที่มีความใกล้ชิด สนิทสนมกับตำรวจเหล่านั้นที่เป็นผู้รับคดีความ เขาจะพยายามติดตามจับผู้ร้ายมากกว่านี้หรือไม่
ผมเพิ่งได้มีโอกาสลองเช็คหัวข้อ " แกงค์มิจฉาชีพ-กรมสรรพากร " ใน Googleวันนี้เอง หลังจากที่คุยกับท่านรองผู้กำกับดังกล่าวแล้วคิดว่าคงไม่ไปไหนมาไหนซักที ก็เราไม่ใช่ลูกหลานเขานี่ครับ ก็ดูทุกหัวข้อไปเรื่อยๆจนได้เจอเรื่องของผู้ที่เผชิญชะตากรรมเดียวกัน ดังที่ผมจะได้โพสเรื่องราวนั้นไว้ให้ท่านได้อ่านกัน ดังนี้ครับ.......
พล.ต.ต.สุพิศาล ภักดีนฤนาถ รอง ผบก.ป.กล่าวถึงกรณีที่มีผู้เสียหายถูกกลุ่มมิจฉาชีพโทรศัพท์อ้างตัวว่าเป็นเจ้าหน้าที่กรมสรรพากร หลอกเหยื่อว่าจะมีการคืนเงินภาษีประจำปีผ่านเอทีเอ็มจนมีผู้หลงเชื่อไปทำธุรกรรมผ่านระบบดังกล่าวและสูญเงินไปหลายแสนบาทนั้น โดยรายล่าสุดเป็นถึงศัลยแพทย์หญิง โรงพยาบาลชื่อดังว่า ที่ผ่านมา ตนก็ได้รับการร้องเรียนจากข้าราชการระดับสูงหลายรายที่ถูกแก๊งดังกล่าวโทร.มาตุ๋นด้วยวิธีการเดียวกันนี้ ซึ่งมีทั้งผู้ที่หลงเชื่อและไม่หลงเชื่อ โดยให้กองปราบช่วยติดตามสืบสวนหาตัวกลุ่มมิจฉาชีพรายนี้ พล.ต.ต.สุพิศาลกล่าวต่อว่า ขณะนี้ได้เริ่มทยอยพบผู้เสียหายจากกรณีดังกล่าวเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ โดยที่มีการมาแจ้งไว้ที่กองปราบปรามก็พบว่า ขณะนี้มีแล้ว 2 ราย โดยรายแรกผู้เสียหายเป็นพนักงานบริษัทแห่งหนึ่งในจ.ฉะเชิงเทรา ถูกแก๊งมิจฉาชีพรายนี้หลอกว่าจะมีการคืนเงินภาษีผ่านระบบเอทีเอ็ม เป็นจำนวน 5,000 บาท ก่อนผู้เสียหายจะหลงเชื่อไปกดตัวเลขตามที่มิจฉาชีพบอกสูญเงินไปกว่า 1.5 แสนบาท เหตุเกิดเมื่อวันที่ 14 ก.พ. ในพื้นที่สภ.สนามชัยเขต จ.ฉะเชิงเทรา อีกรายที่มาร้องกองปราบปราม เป็นนักธุรกิจด้านอสังหาริมทรัพย์ที่โดนหลอกด้วยวิธีการเดียวกันจนสูญเงินไปกว่า 4 แสนบาท เหตุเกิดในพื้นที่สน.ลุมพินี เมื่อวันที่ 23 ก.พ.ตนจึงได้มอบหมายให้ ผกก.ทุกกองกำกับการรวบรวมข้อมูลดูว่ามีผู้เสียหายจากแก๊งดังกล่าวทั้งหมดกี่ราย รอง ผบก.ป.กล่าวว่า กลุ่มมิจฉาชีพรายนี้มีการทำงานคล้ายกับแก๊งคอลเซนเตอร์ที่เคยถูกทางการของจีนและทางกองปราบปรามร่วมกันจับกุมตัวมาก่อนหน้านี้ แต่มีการพัฒนาขั้นตอนขึ้นเรื่อย ๆ โดยอาจจะอาศัยกระแสของช่วงเวลา เช่น ช่วงที่มีการจ่ายคืนเงินภาษีอย่างในขณะนี้ ทำให้มีเหยื่อที่ขาดความรู้ความเข้าใจในเรื่องดังกล่าว หลงเชื่อตกเป็นเหยื่อไม่เว้นแม้แต่ผู้มีความรู้ทางวิชาชีพสูงอย่างหมอก็ยังตกเป็นเหยื่อของกลุ่มมิจฉาชีพรายนี้ ส่วนกลุ่มเป้าหมายของแก๊งนี้จะเป็นข้าราชการระดับชั้นผู้ใหญ่ หรือพนักงานบริษัทเอกชนที่มีรายได้สูง มีการเสียภาษีจำนวนมาก เมื่อกลุ่มมิจฉาชีพได้เบอร์โทรศัพท์เหล่านี้มาก็จะทำการโทร.ไปล่อหลอกเหยื่อให้หลงเชื่อได้ง่าย เพราะกลุ่มคนร้ายมีการอ้างอิงหน่วยงานที่น่าเชื่อถือว่าจะมีการคืนเงินให้ได้อย่างกรมสรรพากร ซึ่งแก๊งดังกล่าวน่าจะเป็นแก๊งชาวต่างชาติที่มีคนไทยเข้าร่วมด้วย
คมชัดลึก :มิจฉาชีพโทรศัพท์อ้างเป็นเจ้าหน้าที่กรมสรรพากร หลอกเหยื่อว่าจะมีการคืนเงินภาษีประจำปีผ่านเอทีเอ็ม มีผู้หลงเชื่อทำธุรกรรมผ่านระบบดังกล่าวสูญเงินไปหลายแสนบาท รายล่าสุดเป็นถึงศัลยแพทย์หญิง โรงพยาบาลชื่อดัง พล.ต.ต.สุพิศาล ภักดีนฤนาถ รองผบก.ป.กล่าวถึงกรณีที่มีผู้เสียหายถูกกลุ่มมิจฉาชีพโทรศัพท์อ้างตัวว่าเป็นเจ้าหน้าที่กรมสรรพากร หลอกเหยื่อว่าจะมีการคืนเงินภาษีประจำปีผ่านเอทีเอ็มจนมีผู้หลงเชื่อไปทำธุรกรรมผ่านระบบดังกล่าวและสูญเงินไปหลายแสนบาทนั้น โดยรายล่าสุดนั้นเป็นถึงศัลยแพทย์หญิง โรงพยาบาลชื่อดัง ซึ่งที่ผ่านมาทางตนเองได้รับการร้องเรียนจากข้าราชการระดับสูงหลายรายที่ถูกแก๊งดังกล่าวโทรมาตุ๋นด้วยวิธีการเดียวกันนี้ ซึ่งมีทั้งผู้ที่หลงเชื่อและไม่หลงเชื่อ โดยให้ทางกองปราบช่วยติดตามสืบสวนหาตัวกลุ่มมิจฉาชีพรายนี้ พล.ต.ต.สุพิศาลฯกล่าวต่อว่าโดยขณะนี้เริ่มทยอยพบผู้เสียหายจากกรณีดังกล่าวเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ อย่างที่มีการมาแจ้งที่กองปราบปรามเองพบว่าในขณะนี้มีแล้ว2ราย โดยรายแรกผู้เสียหายเป็นพนักงานบริษัทแห่งหนึ่งในจ.ฉะเชิงเทรา ถูกแก๊งค์มิจฉาชีพรายนี้หลอกว่าจะมีการคืนเงินภาษีผ่านระบบเอทีเอ็ม เป็นจำนวน5000บาท ก่อนผู้เสียหายจะหลงเชื่อไปกดตัวเลขตามที่มิจฉาชีพบอกสูญเงินไปกว่า1.5แสนบาท เหตุเกิดเมื่อวันที่ 14 ก.พ. ในพื้นที่สภ.สนามชัยเขต จ.ฉะเชิงเทรา ส่วนอีกรายที่มาร้องกองปราบปรามเป็นนักธุรกิจด้านอสังหาริมทรัพย์ที่โดนหลอกด้วยวิธีการเดียวกันจนสูญเงินไปกว่า4แสนบาท เหตุเกิดในพื้นที่สน.ลุมพินี เมื่อวันที่ 23 ก.พ. ตนจึงได้มอบหมายให้ทางผกก.ทุกกองกำกับการรวมรวมข้อมูลดูว่ามีผู้เสียหายจากแก๊งดังกล่าวทั้งหมดกี่ราย รองผบก.ป.กล่าวว่ากลุ่มมิจฉาชีพรายนี้มีการทำงานคล้ายกับแก๊งคอลเซนเตอร์ที่เคยถูกทางการของจีนและทางกองปราบปรามร่วมกันจับกุมตัวมาก่อนหน้านี้ แต่มีการพัฒนาขั้นตอนขึ้นเรื่อยๆ โดยอาจจะอาศัยกระแสของช่วงเวลา อย่างเช่น ช่วงที่มีการจ่ายคืนเงินภาษีอย่างในขณะนี้ ทำให้มีเหยื่อที่ขาดความรู้ความเข้าใจในเรื่องดังกล่าว หลงเชื่อตกเป็นเหยื่อไม่เว้นแม้แต่ผู้มีความรู้ทางวิชาชีพสูงอย่างหมอก็ยังตกเป็นเหยื่อของกลุ่มมิจฉาชีพรายรี้ ส่วนกลุ่มเป้าหมายของแก๊งนี้จะเป็นข้าราชการระดับชั้นผู้ใหญ่ หรือพนักงานบริษัทเอกชนที่มีรายได้สูง มีการเสียภาษีจำนวนมาก เมื่อกลุ่มมิจฉาชีพได้เบอร์โทรศัพท์เหล่านี้มาก็จะทำการโทรไปล่อหลอกเหยื่อให้หลงเชื่อได้ง่าย เพราะกลุ่มคนร้ายมีการอ้างอิงหน่วยงานที่น่าเชื่อถือว่าจะมีการคืนเงินให้ได้อย่างกรมสรรพากร ซึ่งแก๊งดังกล่าวน่าจะเป็นแก๊งชาวต่างชาติที่มีคนไทยเข้าร่วมด้วย สำหรับผู้เสียหายที่มีการแจ้งความในแต่ละท้องที่ก็เป็นหน้าที่ของพื้นที่เป็นผู้ดำเนินคดีเป็นรายๆไป แต่ในส่วนของทางกองปราบปรามเองจะเร่งติดตามสืบสวนระบบการทำงานของเครือข่ายดังกล่าวเพื่อให้ถึงต้นตอขอแก๊งมิจฉาชีพรายนี้ ทั้งนี้ก็อยากให้ผู้ที่เคยถูกกลุ่มมิจฉาชีพติดต่อไปหา หรือผู้เสียหายรายอื่นที่ยังไม่ได้เข้าแจ้งความเข้ามาให้ข้อมูลกับทางกองปราบปราม เพื่อใช้เป็นช่องทางในการติดตามจับกุมแก๊งมิจฉาชีพรายนี้มาดำเนินคดีต่อไป พร้อมทั้งอยากขอให้ประชาชนอย่าหลงเชื่อวิธีการดังกล่าวไม่เช่นนั้นอาจจะตกเป็นเหยื่อของกลุ่มมิจฉาชีพรายนี้ พล.ต.ต.สุพิศาลกล่าว
เรื่องนี้อาจไม่ใช่เรื่องใหม่สำหรับสังคมไทย แต่อยากย้ำเตือนอีกครั้ง เพราะไม่อยากให้มีคนต้องตกเป็นเหยื่อของแก๊งค์มิจฉาชีพนี้อีก อยากให้มันหมดทางหากิน และหมดไปจากโลกนี้ เรื่องมีอยู่ว่า เมื่อวันที่ 31 สิงหาคม 2552 คุณแม่ได้รับโทรศัพท์จากผู้ชายคนหนึ่ง ซึ่งอ้างตัวว่าเป็นเจ้าหน้าที่จากกรมสรรพากร โทร.มาแจ้งข้อมูลว่า ระหว่างปี25XX25XX คุณแม่ได้ชำระภาษีเกินไปเป็นจำนวน 1 หมื่นกว่าบาททางกรมฯ ได้ดำเนินการโอนเงินเข้าบัญชีธนาคารให้ และให้คุณแม่ไปเช็คยอดที่ตู้ ATM โดยอ้างว่าเป็นเรื่องเร่งด่วน ให้รีบดำเนินการ เนื่องจากเป็นวันตัดยอด วันสุดท้าย (ข้อสังเกต มิจฉาชีพจะโทร.มาตอนสิ้นเดือนเพื่ออ้างข้ออ้างนี้ เพื่อนอีกคนก็ได้รับโทรศัพท์ทำนองนี้ในวันสิ้นเดือน แต่ไม่ได้หลงกล เพราะเป็นคนที่ค่อนข้างระวังตัว (จนถึงระแวง) อยู่แล้ว KEYWORD: ***เป็นเรื่องเร่งด่วน ให้รีบไปดำเนินเรื่อง (มักโทร.มาวันสิ้นเดือน เพื่ออ้างว่าเป็นวันตัดยอด วันสุดท้าย ฯลฯ) คุณแม่จึงไป Update book ที่ธนาคาร ชายที่อ้างว่าเป็นเจ้าหน้าที่ก็โทรศัพท์กลับมาสอบถามว่า เงินเข้าบัญชีหรือยัง พอบอกว่า ยังไม่เห็นมีเงินเข้าบัญชี มิจฉาชีพก็บอกให้แม่ลองกด ATM ถอนเงินออกมาสัก 100 บาท เพื่อเช็คดูว่า เครื่อง ATM มีปัญหาอะไรหรือเปล่า พอเงินออกมา มันก็บอกว่า เครื่องไม่มีปัญหา แต่จะต้องให้แม่ทำการลงทะเบียน กดรหัส Code ลงไปก่อน (ทำนองว่าเป็นเลขประจำตัวอะไรซักอย่าง) แล้วกดปุ่มคำสั่ง Transfer ระหว่างนั้น ชายคนนั้นก็จะชวนคุย แสดงท่าทางเห็นใจขอโทษขอโพยที่ทำให้ต้องเสียเวลา ใช้จิตวิทยาต่าง ๆ เพื่อไม่ให้แม่ได้มีเวลาคิดอะไร พร้อมกับสั่งให้กดข้อมูลไปเรื่อย ๆ โดยตัวเลขที่มัน อ้างว่าเป็นรหัส เช่น 98736 จริง ๆ แล้วก็คือจำนวนเงินที่โอนไปนั่นเอง (โดยมันจะบอกให้กดไปเรื่อย ๆ หลาย ๆ ครั้ง จนกว่าเงินจะหมดนั่นแหละ) ระหว่างนั้น ก็จะชวนคุย และมีเสียงคุยเป็น background คุยกันว่า เงินโอนไปหรือยัง เรียบร้อยมั้ย เพื่อความสมจริง พอได้เงินไปหมดแล้ว ก็บอกแม่ว่า รายการเรียบร้อยแล้ว ให้แม่ไป Update book ดูได้ ถ้ามีปัญหาอะไรให้ติดต่อ คนนี้
. เบอร์โทร.นี้
ต่อ
. เป็นหัวหน้า หรือคุยกับเจ้าหน้าที่คนอื่นก็ได้ รับเรื่องได้ทุกคน หลังจากนั้น แม่ก็ไป Update book แม่ถึงกับช็อคไปเลย เหลือเงินอยู่ร้อยกว่าบาทโชคดีที่ไม่เป็นลมไป พอโทร.กลับไปเบอร์นั้นก็ไม่มีคนรับสาย (ตามคาด) คุณแม่ไปแจ้งตำรวจ เค้าก็บอกว่ามี Case แบบนี้เยอะมาก แต่สงสัยจัง ทำไมประชาสัมพันธ์น้อยจังเลย เคยได้ยินเหมือนกัน ก็พูดแค่ว่า ทางกรมไม่มีนโยบายให้เจ้าหน้าที่โทรศัพท์ไป หรือให้คืนเงินทางตู้ ATM แต่ไม่เห็นมีการอธิบายรายละเอียดอะไรเลย เลยอยากจะเล่าเรื่องนี้ให้ทุกคนฟังให้เยอะที่สุด เพราะรู้แล้วว่า สิ่งที่เราคิดว่าไกลตัว มันไม่ได้ไกลตัวเราอย่างที่คิด และโจรพวกนี้มัน พร้อม มาก มีอุปกรณ์ เครื่องมือ และจิตวิทยาดีมาก ต่อไปนี้ไม่อยากจะรับโทรศัพท์เบอร์แปลกๆ และ Telemarketing อีกเลย (ลืมบอกไปอีกอย่าง โจรมันใช้เบอร์โทร 12 หลัก หลังจากเช็คไปยังบัญชีปลายทาง โจรมันถอนเงินออกไปแล้ว เหลืออยู่หลักร้อย) ***ตนเป็นที่พึ่งแห่งตน แต่ถ้าคนดีร่วมมือกัน คนชั่วจะหมดทางทำมาหากิน***
อาจจะยาวซักหน่อยแต่ผมก็ขอภาวนาว่า ขออย่าให้ใครได้เจอเรื่องเลวร้ายเช่นนี้ในชีวิตเลยครับ ตอนนี้ก็รู้สึกท้อใจ และเหนื่อยหน่ายกับสิ่งเลวร้ายในสังคมเมืองพุทธเช่นนี้จริงๆครับ
จากคุณ |
:
หมอเศร้า
|
เขียนเมื่อ |
:
2 ต.ค. 52 19:21:56
A:119.31.33.194 X:
|
|
|
|
 |