แก็งค์โจรในชุดเครื่องแบบที่สุวรรณภูมิ
|
|
ขออนุญาตเล่ารายละเอียดปลีกย่อยทั้งหมดเลยนะค่ะ หวังว่าเพื่อนๆ คงไม่ว่ากันนะค่ะ และอยากมาเตือนภัยเรื่องการกระเป๋าโหลดโปรดอย่าได้ลืมเก็บทรัพย์สินอันมีค่าออกจากกระเป๋าโหลดก่อนเช็คอินอยู่เสมอ ไม่งั้นอาจจะเป็นเหยื่อพวกขี้ขโมยได้ค่ะ ถ้าวันนั้นดิฉันไม่ลืมก็คงไม่ซวยและสูญเสียกล้องถ่ายรูปแคนอลซื้อมาจากอเมริกาและโนเกียรุ่นแพงที่ซื้อมาจากฟินแลนด์และที่สำคัญเมคอินฟินแลนด์ด้วยค่ะ
วันที่ 22 สิงหาที่ผ่านมาดิฉันและแฟนได้เดินทางไปเที่ยวสิงคโปร์และแบกเป้ไปคนละใบค่ะ และด้วยความชินแฟนของดิฉันได้เอามือถือและกล้องถ่ายรูปใส่ไว้ในเป้ใบที่โหลดลงท้องเครื่องเพราะว่ามีโลชั่นทาผิว 500 มล.และเครื่องสำอางค์ต่างๆ ด้วยค่ะ เลยเอาขึ้นเครื่องไม่ได้ แต่ก่อนเช็คอินดิฉันก็ไม่ได้เตือนแฟนว่าให้เอาออกจากกระเป๋าโหลด พูดง่ายๆ ค่ะแบบว่าต่างคนต่างลืมค่ะ ตอนนั่งรถมาสนามบินสุวรรณภูมิยังเอากล้องมาถ่ายรูปเล่นกันอยู่เลยค่ะ กว่าจะรู้ตัวว่ากล้องถ่ายรูปและมือถือดิฉันได้หายไปก็ตอนไปถึงสิงคโปร์แล้วค่ะ เพราะว่าดิฉันจะถ่ายรูปบนรถไฟที่สนามบินสิงคโปร์ ปรากฎว่าหากล้องถ่ายรูปและมือถือไม่เจอค้นแล้วค้นอีกแบบว่าเทกระเป๋าค้นดูกันทั้ง 2 ใบรวมกระเป๋าที่ไม่ได้โหลดด้วยค่ะ ตอนนั้นโกรธแฟนมากๆ เลยค่ะแบบว่ากลายร่างเป็นนังผีเสื้อสมุทรก็ว่าได้โวยใส่แฟนว่าทำไมเอาของมีค่าไปโหลดล่ะ ทำไมๆ และด่าๆ แฟนก็บอกว่าทางสายการบินแอร์เอเชียต้องรับผิดชอบค่าเสียหายให้อยู่แล้ว ทีนี้ดิฉันบอกให้แฟนว่าไม่มีทางฉันรู้ดีว่าที่นี้ประเทศไทย ไม่มีทางแน่นอน และแล้วมันก็เป็นจริงค่ะ แต่ขอขั้นนิดนึงค่ะ ไปเที่ยวทั้งทีจะไม่ให้มีรูปภาพความประทับใจเป็นของที่ระลึกก็ไม่ได้ใช่ไหมค่ะ ทีนี้ก็เลยแบกหน้าไปล่าหาซื้อกล้องถ่ายรูปกันใหม่ ทีนี้มาดิฉันก็เล่าให้คนขายกล้องว่ากล้องถ่ายรูปและมือถือเพิ่งหายไป แล้วคนขายก็พูดแสดงความเสียใจที่เหตุการณ์นี้มันเกิดขึ้นกะครอบครัวดิฉัน ทีนี้มาคนขายถามว่าทำหายที่ไหนค่ะ? คำถามนี้ต้องมีคำตอบค่ะ แต่ด้วยความอายว่าของหายระหว่างเช็คอินที่สุวรรณภูมิแล้วพนักงานขนสัมภาระของแอร์เอเชียก็ปล้นเอาไป เลยตอบแค่ว่าหายที่สนามบินค่ะ
มาต่อกันนะค่ะแล้วคืนวันที่ 25 ดิฉันได้กลับมาไทยและได้กระเสือกกระสนไปหาที่แจ้งความร้องทุกข์แผนกของหายกะพนักงานแอร์เอเชีย แล้วพนักงานก็รับเรื่องและลงบันทึกเอาไว้ นี่ขนาดดิฉันรีบไปแจ้งความหลังจากกลับมาจากสิงคโปร์แบบว่าเข้าด่าน ตม ปุ๊ปก็รีบไปรับกระเป๋าและไปแจ้งความร้องทุกข์กะแอร์เอเชียนะค่ะเนี้ย แล้ว พนง. แอร์เอเชียสอบถามไรเสร็จเค้าก็บอกว่าพี่ของมันหายหลายวันแล้วอ่ะพี่ เปอร์เซ็นต์ที่จะได้คงไม่มีพี่ แล้วดิฉันก็ตอกกลับไปว่าดิฉันเพิ่งกลับมาจากสิงคโปร์ก็รีบมาแจ้งเลยนะค่ะ แล้วพนักงานก็บอกว่าผมจะดำเนินการสอบสวนพนักงานขนกระเป๋าให้นะครับ ดิฉันก็ถาม พนง แอร์เอเชียว่าแล้วมีแค่วิธีเดียวเหรอค่ะ พนง ก็บอกว่าให้เปิดเว็บของสายการบินแอร์เอเชียและติดต่อร้องเรียนผ่านเว็บไซต์ได้ ดิฉันก็ได้พยายามทำเหมือน พนง บอกแต่ปรากฎว่าร้องเรียนไปแล้วแต่เวลาส่งนี่ไม่ได้ค่ะ แบบว่าหน้านี้รันช้ามากๆ แต่พอไอ้ตอนซื้อๆ ง่ายแค่คลิ๊กปุ๊ปก็มาปั๊ป ดิฉันได้ลองไป 3 ครั้งไม่ใช่ในวันเดียวกันนะค่ะ และดิฉันได้พยายามโทรถามอยู่ฝ่ายเดียว ปรากฎว่าโทรไปพอบอกชื่อนามสกุลไปแล้วพนักงานก็ยังมีหน้ามาถามอีกว่ามีอะไรครับ วันแรกที่ดิฉันโทรไปยังใจเย็นอยู่ค่ะเลยบอกพนักงานไปว่ามีอะไรหายบ้าง พอ 2 วันต่อมาดิฉันก็โทรไปอีกบอกชื่อนามสกุลไป พนง ก็ถามเหมือนเดิมว่ามีอะไรเหรอครับ ดิฉันจะบ้าตายดิฉันก็โวยไปค่ะว่าคุณไม่รู้เลยเหรอไงแค่ฉันบอกชื่อนามสกุลไปมันไม่มีข้อมูลบันทึกไว้เหรอไง และบลาๆ ทั้งๆ ที่อยากจะพูดให้เจ็บๆ แต่พลังเสียงไม่มีพาวเวอร์ค่ะคือว่าปกติแล้วถ้าโมโหหรือโกรธเสียงจะสั่นคล้ายๆ คนจะร้องไห้อ่ะค่ะ แต่ก็เหน็บไปหลายฉากเหมือนกันค่ะ แล้วเรื่องตอนนี้เป็นไง พนง ก็บอกเหมือนเดิมกำลังอยู่ในขั้นตอนสืบสวนสอบสวน โอ๊ยอยากจะกรี๊ดดดด และ พนง บอกว่าจะติดต่อกลับมา แต่ก็ไม่มีการติดต่อกลับของสายการบินแอร์เอเชียแต่ประการใด ดิฉันก็ให้โอกาสพวกเค้า 1 อาทิตย์ผ่านไปค่ะ
ดิฉันทนไม่ไหวแล้ว ดิฉันรู้อยู่แล้วว่าไม่ได้ของคืนหรอกถ้าหายแล้วก็หายลับ แต่ขอประกาศให้คนอื่นรู้ว่าสายการบินแอร์เอเชียนี่ฮ่วยแค่ไหนแค่นี้อ่ะค่ะ ไม่มีความรับผิดชอบใดๆ เลยค่ะ แต่พูดรวมๆ เลยแล้วกันค่ะว่าทุกสายการบินเลยก็แล้วกันค่ะที่ได้ย่างก้าวเข้ามาสุวรรณภูมิ ไม่ใช่เป็นที่สายการบินแต่เป็นเพราะ พนง นี่แหละค่ะ อาจจะทำคนเดียวหรือร่วมมือกันหลายคนอาจจะรวมไปถึงคนบางคนที่เป็นที่พึ่งของประชาชนก็เป็นไปได้ค่ะ
พอมาถึงตรงนี้ค่ะ ดิฉันรอไม่ไหวแล้วเพราะว่าดิฉันต้องบินกลับต่างประเทศแล้วค่ะ วันที่ 1 กันยาดิฉันก็ไปปรึกษาสอบถามกับเจ้าหน้าที่ตำรวจ สน แห่งนึงแล้วตำรวจก็บอกว่าแจ้งความได้แต่ต้องไปแจ้งที่ สน ราชาเทวะใกล้สุวรรณภูมิค่ะ ดิฉันก็เดินทางไป สน ราชาเทวะแล้วบอกตำรวจว่ามาแจ้งความ ตำรวจ สน ราชาเทวะก็บอกให้ไปแจ้งที่สนามบินสุวรรณภูมิประตู 3 ชั้น 2 ที่สุวรรณภูมิเพราะ สน ราชาเทวะย่อยที่รับแจ้งโดยตรงเลยค่ะ แล้วดิฉันก็เดินไปสุวรรณภูมิตามตำรวจบอกพอไปถึงไม่เห็นค่ะ แต่เห็นประชาสัมพันธ์เลยตรงเข้าไปถามประชาสัมพันธ์ว่ามาแจ้งความของหายค่ะ ประชาสัมพันธ์แนะนำไปโน้นค่ะ สน ราชาเทวะค่ะ ดิฉันก็เลยบอกไปว่าไปมาแล้วค่ะ แล้วตำรวจบอกให้มาแจ้งที่นี้ประตู 3 ชั้น 2 นี่อ่ะค่ะ แล้วประชาสัมพันธ์ก็ชี้มาตรงตำรวจท่องเที่ยวฝั่งข้ามนี่เอง แล้วดิฉันก็เข้าไปและบอกว่ามาแจ้งความของหายค่ะ แล้วพนักงานก็บอกว่าให้เข้าไปห้องนี้โดยไม่บอกสักกะคำว่าให้เข้าไปแล้วเลี้ยวซ้ายอีกห้องนึง แล้วดิฉันก็นั่งรอค่ะ รอนานแล้วก็ยังไม่มีตำรวจสักนายนึงเห็นแต่ผู้ชายคนนึงนั่งอ่านหนังสือพิมพ์อยู่ตรงประตูทางเข้าห้องแจ้งความตรงนั้น ดิฉันรอนานแล้วเริ่มโมโหอ่ะค่ะ เพราะห้องที่นั่งรอก็มีสมุดบันทึกประจำวันอยู่ ดิฉันก็เลยประชดขยับมานั่งตรงประตูที่ผู้ชายคนนั้นนั่งอ่านหนังสือพิมพ์อยู่ค่ะ ดิฉันคิดว่าเค้าเป็นตำรวจนอกเครื่องแบบไงค่ะ เพราะว่าดิฉันไม่รู้ว่าต้องเข้าไปในห้องนั้นและที่สำคัญตำรวจนั่งข้างในโน่นคือดิฉันไม่เห็นตำรวจในเครื่องแบบตัวจริงมาก่อนว่าท่านนั่งอยู่ด้านในโน้นค่ะ แล้วผู้ชายคนนั้นก็ไม่บอกตำรวจสักกะคำว่ามีคนมานั่งรอหน้าห้อง ทีนี้มาดิฉันจำได้ว่าตอนนั่งแท็กซี่มาจาก สน ราชาเทวะไปสุวรรณภูมิแล้วดิฉันได้บ่นๆ ว่าของหายแล้วพี่แท็กซี่ได้แนะนำให้โทรไป 1644 เอาล่ะค่ะตอนนี้ทนไม่ไหวแล้วเสียงทีวีก็ดังด้วยค่ะตรงห้องที่ดิฉันนั่ง ดิฉันก็โผล่หัวเข้าไปถามว่าขออนุญาตปิดทีวีนะค่ะ อ้าวทีนี้มาตำรวจก็ถามว่าน้องมาทำอะไรครับ ดิฉันก็บอกว่ามาแจ้งความของหายค่ะ แล้วดิฉันก็บ่นๆ ว่าทำไมคุณตำรวจคนนี้ไม่บอกล่ะค่ะว่ามีคนมานั่งรอที่หน้าห้องผู้ชายคนนั้นก็บอกว่าผมไม่ใช่ตำรวจมานั่งอ่านหนังสือพิมพ์เฉยๆ และดิฉันก็บ่นๆ ว่าทำไมไม่กระซิบบอกตำรวจสักกะคำเลย ขนาดดิฉันเปลี่ยนมุมมานั่งหน้าห้องเลยคุณยังลุกย้ายไปหลบมุมเลย ดิฉันก็บ่นๆ ไป แล้วทีนี้มาตำรวจสารวัติท่านนั้นก็ถามคำถามเบสิคๆ ก่อนค่ะ แล้วดิฉันก็เล่าให้ฟังว่าดิฉันได้โหลดมือถือกะกล้องถ่ายรูปลงเครื่องบินวันนั้นมันลืมจริงๆ ค่ะด้วยควาชินว่ามันเป็นเป้ก็เลยลืม (แล้วท่านพี่ผู้ชายคนนั้นก็เข้ามาเจือกอ่ะค่ะ แล้วเอาไปโหลดทำไมอ่ะ ดิฉันก็สวนทันควันว่าก็มันลืมไงค่ะ ถึงได้ซวยอย่างงี้ ถ้าไม่ซวยของก็ไม่หายหรอกค่ะ โจรในเครื่องแบบมาค้นเอาของดิฉันไป แล้วดิฉันก็ไม่ได้ทำหายเองด้วยค่ะ) แล้วสารวัติก็ถามต่อ แต่พอดิฉันตอบไปก็มีเพื่อนตำรวจเข้ามาถามสารวัติคนที่สอบถามดิฉันอยู่ค่ะ เข้ามาขั้นระหว่างคำตอบ 3-4 ครั้งทีนี้มาดิฉันเลยวีนแบบน้ำตาคลอเบ้าอ่ะค่ะว่า ดิฉันก็พูดขึ้นมาว่าประชาชนหวังจะมาพึ่งตำรวจเพื่อให้ความช่วยเหลือ แต่แล้วกลับได้รับความไม่สนใจกระตือรือร้นอะไรเลย นี่นะประเทศถึงไม่เจริญสักทีนึง เป็นแบบกันนี้เอง ทีนี้มาค่ะตำรวจสารวัตินายนั้นก็เริ่มทำงานเป็นจริงๆ ค่ะ ก็รีบสอบสวนและพิมพ์ไปสอบสวนไป และมาถึงคำถามที่ว่าสงสัยใคร? แล้วดิฉันก็ระบุว่าก็พนักงานขนกระเป๋าของแอร์เอเชียไงค่ะ วันนั้นดิฉันมาเช็คอินก่อนเวลาตั้งนานแล้วค่ะ และสิงคโปร์พอผ่าน ตม ไปเอากระเป๋าก็ได้ปุ๊ปไม่ต้องรอค่ะ แล้วทีนี้ตำรวจค้นนั้นถามจริงเหรอ? เร็วขนาดนั้นเชียวดิฉันก็ตอบไปว่าสนามบินเค้านิดเดียวเดินออกไปก็ได้กระเป๋าแล้วค๊า แล้วกฎหมายเค้าก็เข้มด้วย คนสิงคโปร์ไม่ทำหรอกค่ะกระเป๋าออกมาเร็วซะขนาดนั้น แล้วตำรวจก็พิมพ์ๆ ไปเหมือนกับไม่เชื่อ พอสอบสวนเสร็จตำรวจก็ปริ้นส์สำนวนสอบสวนค่ะ มันมีหลายหน้า
ระหว่างที่รอค่ะ ดิฉันก็นั่งข้างๆ ตำรวจสารวัตินายนั่นและได้โทรไปหาแผนกของหายแอร์เอเชีย ปรากฎว่าโทรไปบอกชื่อนามสกุลเรียบร้อย มุกเดิมๆ อ่ะค่ะ ถามว่ามีอะไรเหรอครับ ดิฉันวันนี้หลังจากเสียน้ำตาและความรู้สึกกะตำรวจและผู้ชายที่มานั่งอ่านหนังสือพิมพ์ไปแล้ว ไม่รู้เป็นไงนี่เป็นครั้งแรกในชีวิตก็ว่าได้ค่ะ พูดตอกกลับพนักงานแอร์เอเชียได้อย่างเด็ดขาดและฉะฉานที่สุดในชีวิต รวมประชดทุกๆ คนที่เกี่ยวข้องไป ดิฉันก็เริ่มโวยว่าคุณทำงานกันประสาอะไรไม่มีโคประสานงานกันเลยหรือไง แค่พิมพ์ชื่อนามสกุลของฉันข้อมูลมันก็ขึ้นแล้ว เครื่องไม่ได้เรคคอร์ดไว้หรือไง แล้วเรื่องไปถึงไหนแล้ว
แอร์เอเชีย: ยังสืบสวนอยู่ครับ ดิฉัน: อะไรนะค่ะ นี่ฉันโทรไปกี่ครั้งๆ ก็เหมือนเดิม พนง ของขนกระเป๋าของพวกคุณนะแหละที่เอาของฉันไป ฉันไม่ได้ทำหายเองซะหน่อย ทำงานให้มันคุ้มกะเงินเดือนหน่อย มีมือมีหูรึป่าว ไอ้คนที่ขโมยของๆ ฉันมันหน้าด้านที่สุดเลย โจรชัดน่าจะออกไปขอทานซะ อาจจะทำคนเดียวหรือหลายคนก็เป็นไปได้ นี่แหละฉันไม่แปลกใจเลยนะที่พวกคุณทำงานกันเฉื่อยๆ มิน่าละขนาด...เค้ายังไม่เฉื่อยเลย แล้วนับภาษาอะไรกะพนักงานทั่วไป แอร์เอเชีย ปกติแล้วเค้าจะมีบอกอยู่แล้วนะครับ ว่าห้ามเอาของโหลดไปกะเครื่อง ดิฉัน: อ้าวก็ฉันบอกแล้วไงว่ามันลืมถึงได้ซวยไง ถึงจะมีบอกก็ช่างเหอะแล้วทำไมไม่ป้องกันล่ะทำไมไม่ติดป้ายไว้หน้าเคาว์เตอร์ก่อนเช็คอินล่ะ
ที่จริงมันเยอะกว่านี้ค่ะ แต่ดิฉันก็จำไม่ได้มากมายอะไร แต่ที่เจ็บใจสุดๆ ก็เจ้าหน้าที่ทุกคนที่ดิฉันได้ไปพบได้คุยมา และสายการบินแอร์เอเชียไม่มีการชดใช้ค่าเสียหายใดๆ เลย แล้วดูเหมือนเจ้าหน้าที่ก็รำคาญดิฉันมากๆ ด้วย ประมาณว่าตูรับเรื่องแล้ว ยังจะมาตามตื้อตูอยู่ได้ คือเจ้าหน้าที่ตำรวจเค้าได้สอบถามดิฉันเสร็จไปแล้ว แต่ดิฉันยังติดใจเรื่องนายคนนั้น ที่ตำรวจเค้าบอกว่าเป็นพ่อค้าอยู่แบลคแคนย่อนชั้น 3 ดิฉันไปหาเค้าไม่เจอแล้วย้อนกลับมานั่งรอสารวัติคนที่สอบถามดิฉันค่ะ ได้ยินสารวัติคนที่สอบสวนได้โทรมาถามตำรวจอีกคนนึงค่ะ แล้วตำรวจคนนั้นก็ตอบว่ายังอยู่
ปล. ขอโทษด้วยนะค่ะที่โพสเล่าเรื่องอาจจะอ่านแล้วเข้าใจยากอ่ะค่ะ ตอนเล่าปากป่าวมันก็ไม่ค่อยยากเหมือนกะการเล่าแบบกระทู้อ่ะค่ะ มันยากจริงๆ ที่จะสื่อให้คนเข้าใจ ถ้าผิดพลาดประการใด ก็ขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วยนะค่ะ
สุดท้ายนี้ของมีค่าที่ลืมที่สุวรรณภูมิไม่มีวันได้กลับคืน ฉะนั้นต้องไม่ลืมเท่านั้นอ่ะค่ะ ไม่งั้นจะเป็นเหมือนดิฉัน ที่ลืมครั้งแรกแล้วหายเลยค่ะ
ขอบคุณที่เข้ามาอ่านหรือเม้นท์กันนะค่ะ
และขอบคุณมากสำหรับวิทยุรายการร่วมด้วยช่วยกันค่ะ ที่รับฟังดิฉันและให้บริการอย่างเต็มใจค่ะ
จากคุณ |
:
หางแดง
|
เขียนเมื่อ |
:
3 ก.ย. 52 21:49:23
A:88.115.72.18 X:
|
|
|
|