ความคิดเห็นที่ 1 เห็นมีตั้งกระทู้แล้ว เงินสดของคุณมันอยู่ที่ไหนครับ อยู่ในบัญชีบริษัทหรือเปล่า หรืออยู่ในบัญชีส่วนตัวของคุณ จากคุณ : หมูทอง (Goldenpig) เขียนเมื่อ : 7 ก.ย. 52 21:31:25

ความคิดเห็นที่ 2 ยอดเงินสดของคุณมันคือ ฐานภาษีอย่างหนึ่ง คุณไม่ได้เสียภาษีมูลค่าเพิ่มมั้งครับ  เขาเลยประเมินจากยอดเงินสด จากคุณ : นอนดูดาว (นอนดูดาว) เขียนเมื่อ : 8 ก.ย. 52 00:11:19

ความคิดเห็นที่ 3 ตอบในฐานะเจ้าของกิจการนะคะ ปกติยอดเงินสดบริษัทมันต้องเป็นจำนวนที่สมเหตุสมผลค่ะ ของตัวเองมียอดเงินสูงสุดก็ไม่เกินสองแสน แต่ยอด 4 ล้านนี่มันเกินไปนะคะ ปกติถ้ายอดเงินสดเยอะๆแบบนี้สรรพากรจะดูว่าเงินอยู่ที่ไหนเหมือนความเห็นที่ 1 บอก ถ้าเป็นลักษณะกรรมการเอาไปใช้ส่วนตัว มันจะเป็นการกู้ยืมเงินบริษัทขึ้นมาซึ่งมันจะมีเรื่องภาษีธุรกิจเฉพาะขึ้นมาค่ะ จากคุณ : Alone with out lonely เขียนเมื่อ : 8 ก.ย. 52 01:57:28

ความคิดเห็นที่ 4 ยอดเงินสด ตัวนี้ บ.บัญชีเค้าตั้งขึ้นมา ในงบค่ะ ในความเป็นจริงแล้ว ยอดเงินมันก็ขึ้น ๆ ลง ๆ ค่ะ เป็นบริษัทรับเหมาก่อสร้างสำหรับ ชาวต่างชาติ โดยเฉพาะ เวลาจ่ายเงินค่าของ จะจ่ายเป็นเงินสดค่ะ ไม่จ่ายเป็นเช็ค ภาษีมูลค่าเพิ่ม เสียทุกเดือนค่ะ ไม่ต่ำกว่าเดือนละ 4-5 หมื่น บางเดือนก็เป็น แสนค่ะ และภาษีนิติบุคคลเสียปีละ ประมาณ 2 แสน ทุกปีไม่เห็นเค้าจะคิดยอดเงินสดตัวนี้เลย แต่ปีนี้ ทำไมโดนตรวจสอบเยอะก้อไม่รู้ ครั้งก่อน จนท.สรรพากร คีย์เลขประจำตัวผู้เสียภาษีผิด ให้เราจ่ายภาษีเพิ่ม ทั้งๆ ที่ยอดเป็นของบริษัทอื่น แต่ สรรพากรไม่ยอมรับผิด จะให้เราจ่าย ก็หาหลักฐานมาให้ ตอนนี้ก็เงียบไปละ  นี่ก็มาเจอแบบนี้อีก งง ตายเลยค่ะ จากคุณ : แก้ไขด่วน เขียนเมื่อ : 8 ก.ย. 52 08:57:40

ความคิดเห็นที่ 5 เขาไม่มีสิทธิ์มาประเมินภาษีจากยอดเงินสดหรอกครับ ไม่เกี่ยวกัน แต่มีเงินสดมากๆ แบบนี้มันไม่สมเหตุสมผล แสดงให้เห็นว่างบการเงินที่ส่งมามันเป็นงบหลบภาษี เขาก็หาเรื่องเรียกค่าปรับ ถ้าคุณยืนยันไม่จ่ายก็ได้ เขาก็จะตรวจไปเรื่อยๆ ถ้าเขาตรวจสอบละเอียดจริงๆ ก็เจอแหงๆ เพราะงบมันส่อให้เห็น แต่เขาไม่อยากตรวจเพราะเสียเวลา สรรพากรเขาก็เลยใช้วิธีแบบนี้แหละครับ ประเมินเอาตามที่เขาอยากได้ ประหยัดเวลาทำงาน จะได้ทำเป้าได้มากๆ ถ้าแน่จริงว่าตัวเองไม่ได้หลบภาษีก็ไม่ต้องจ่าย ปล่อยให้เขาตรวจไปจนกว่าจะพอใจ แต่ถ้าหลบ แล้วเขาตรวจเจอเมื่อไหร่ ก็บานล่ะครับ จากคุณ : TingTing เขียนเมื่อ : 8 ก.ย. 52 10:47:42

ความคิดเห็นที่ 6 เขามีสิทธิประเมินภาษีตามมาตรา 65 ทวิ(4) ครับ โดยถือว่าเงินสดคงเหลือ 4 ล้านที่อยู่ในมือกรรมการผู้จัดการ เป็นเงินที่บริษัทให้กรรมการผู้จัดการกู้ยืมไปใช้ส่วนตัวโดยไม่ได้คิดดอกเบี้ย   ดังนั้น เจ้าพนักงานมีอำนาจประเมินดอกเบี้ยตามอัตราดอกเบี้ยเงินฝากประจำของธนาคารพาณิชย์ในขณะนั้น  แต่ถ้าในขณะนั้น บริษัทมีภาระดอกเบี้ยจ่ายด้วย  ก็ต้องประเมินตามอัตราดอกเบี้ยที่บริษัทต้องจ่ายให้แก่เจ้าหนี้   เมื่อประเิมินดอกเบี้ยขึ้นมาเท่าไหร่  บริษัทก็ต้องเสียภาษีนิติบุคคล+ภาษีธุรกิจเฉพาะจากดอกเบี้ยที่ถูกประเมินเพิ่มขึ้นมา จากคุณ : รัษฎา เขียนเมื่อ : 8 ก.ย. 52 12:52:11

ความคิดเห็นที่ 7 กิจการบางประเภทอาจจะมีเงินสดคงเหลือไว้ในบริษัทได้มาก เช่น คาร์ฟู โลตัส บิ๊กซี ฯลฯ   แต่บางกิจการอย่างเช่น กิจการรับเหมาก่อสร้าง   ก็คงไม่จำเป็นที่จะต้องมีเงินสดคงเหลือไว้ในบริษัทมากมายหลายล้าน   ฉะนั้น จะเอาเหตุผลนี้ไปอ้างกับสรรพากรก็คงฟังได้ยาก แต่ถ้าเป็นกรณีที่บริษัทไม่ีมีเงินสดคงเหลือจริง  แต่ผู้ทำบัญชีตั้งตัวเลขขึ้นมาลอยๆ  แล้วผู้สอบบัญชีก็ดันรับรองงบไปตามนั้นโดยไม่ได้ทำการตรวจสอบจริง  อย่างนี้บริษัทก็อ้างกับสรรพากรได้ครับ  แต่จะเดือดร้อนไปถึงผู้ทำบัญชีกับผู้สอบบัญชี จากคุณ : รัษฎา เขียนเมื่อ : 8 ก.ย. 52 13:05:13

ความคิดเห็นที่ 8 หนังสือตอบข้อหารือกรมสรรพากร เลขที่ กค 0802(ก)/4598 ลว.10 ส.ค. 39 "กรณีห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลประกอบกิจการรับเหมาก่อสร้างปรากฏว่ามียอดเงินคงเหลือยกมาประมาณ 3 ล้านบาท  แต่ละเดือนมีการรับ-จ่าย  มีเงินสดคงเหลือประมาณเดือนละ 2-3 ล้านบาท   ผู้รับมอบอำนาจให้การว่า ห้างฯ ได้นำไปใช้หมุนเวียนในกิจการเป็นค่ามัดจำสินค้าประมาณเดือนละ 1-2 แสนบาท  ส่วนเงินสดที่เหลืออยู่ในความรับผิดชอบของห้างหุ้นส่วนผู้จัดการโดยมิได้นำไปฝากธนาคารเพื่อหาประโยชน์อื่นใด   ถือได้ว่าห้างฯ ได้ให้หุ้นส่วนผู้จัดการกู้ยืมโดยไม่คิดดอกเบี้ยโดยไม่มีเหตุอันสมควร  เจ้าพนักงานประเมินมีอำนาจประเมินดอกเบี้ยเท่ากับอัตราดอกเบี้ยเงินฝากประจำของธนาคารพาณิชย์ในขณะนั้นได้ ตามมาตรา 65 ทวิ(4) แห่งประมวลรัษฎากร" จากคุณ : รัษฎา เขียนเมื่อ : 8 ก.ย. 52 13:10:26

ความคิดเห็นที่ 9 แต่เคสของเจ้าของกระทู้   น่าจะมีการเข้าใจผิดในยอดภาษีที่บอกว่าจะให้เสียเพิ่ม  คือคงไม่ใช่ให้เสียภาษี 3% จากยอดเงินสด 4 ล้านบาท      แต่ 3% นี้น่าจะเป็นอัตราดอกเบี้ยที่สรรพากรจะประเมินขึ้นมาเป็นจำนวนดอกเบี้ยก่อน  แล้วถึงค่อยให้เสียภาษีนิติบุคคลเพิ่มเติม + ภาษีธุรกิจเฉพาะจากตัวดอกเบี้ย จากคุณ : รัษฎา เขียนเมื่อ : 8 ก.ย. 52 13:15:17

ความคิดเห็นที่ 10 ขอบคุณค่ะ ทุก คห. เลย ขอหลังไมค์กับคุณ รัษฏาหน่อยนะคะ จากคุณ : แก้ไขด่วน เขียนเมื่อ : 8 ก.ย. 52 13:33:40

ความคิดเห็นที่ 11 ... เข้ามาดู จากคุณ : Mr. Fusion เขียนเมื่อ : 8 ก.ย. 52 16:27:57

ความคิดเห็นที่ 12 เคสนี้  ผมว่าสรรพากรเค้าปราณีแล้วนะครับ  เพราะหากมีเรื่องให้ตรวจแล้วไม่มีผลงานใดๆ  เจ้าพนักงานผู้ตรวจจะงานเข้าครับ  เพราะของ จขกท.ก็สามารถชี้แจงเรื่องภาษีหัก ณ ที่จ่าย ได้แล้ว  ทางสรรพากรเค้าก็ต้องหาประเด็นอื่นๆ ส่วนใหญ่เค้าจะดูจากตัวเลขในงบแหละครับ ว่าตัวไหนมียอดสูงๆ ระวังไว้ให้ดีเชียวครับ  เช่น ค่าเสื่อราคา , น้ำมัน  หรือ ที่ จขกท. โดนอยู่  เพราะอย่างที่คนอื่นๆว่าแหละครับ  ไม่มีใครถือเงินสดอยู่กับบ้านในช่วงวันปีใหม่ 4 ล้านกันหรอกครับ  ผมว่าสรรพากรเค้าก็ไม่โหดร้ายอะไรหรอกครับ  ก็ปรับปรุงเงินสดที่ถืออยู่ให้เป็นเงินกรรมกู้ยืมสักหน่อย  คิดดอกเบี้ยกันไม่ให้น่าเกลียด  แล้วก็ยื่น ภงด. 50 เพิ่มเติม จากรายได้ดอกเบี้ยจากเเงินให้กู้ยืม  แล้วก็นำส่ง ภาษีธุรกิจเฉพาะ พร้อมค่าปรับ  ก็จบแล้วครับ  ไม่ถึง 120,000 หรอกครับ  ภาษีเิงินได้  30% ของดอกเบี้ย 3 % (4,000,000) = 36,000 แต่จะถูกเบี้ยปรับเยอะหน่อย เพราะยื่นเพิ่มเพราะถูกตรวจ  ไม่ได้ยื่นเอง  แล้วก็ค่าเงินเพิ่มอีก 1.5% ต่อเดือน  แล้วก็ไปยื่นภาษีธุรกิจเฉพาะอีก  รวมๆประมาณ 5-6 หมื่นครับ จากคุณ : ็HyperNormal (Hyper Normal) เขียนเมื่อ : 8 ก.ย. 52 18:30:25

ความคิดเห็นที่ 13 เพิ่มเติมความเห็นของคุณรัษฎา ความเห็นที่ 9 ครับ ปกติในงบดุล สินทรัพย์ จะแบ่งเป็น สินทรัพย์หมุนเวียน กับ สินทรัพย์ไม่หมุนเวียน โดย เงินสด เป็นสินทรัพย์หมุนเวียน  เงินให้กู้ยืมระยะยาวเป็น สินทรัพย์ไม่หมุนเวียน เวลาทำงบดุลเมื่อปีก่อน  คงจะมีตัวเลขหมายเหตุ  ข้างหลังเงินให้กู้ยืมระยะยาวว่า "เป็นเงินกู้ยืมที่ไม่มีหลักทรัพย์ค้ำประกัน มีการคิดดอกเบี้ยเพื่อการคำนวณภาษีเงินได้นิติบุคคลในอัตราร้อยละ 3 ต่อปีและโดยยังมิได้กำหนดเวลาการใช้คืนแน่นอน" แต่พอคุณมาทำงบกำไรขาดทุนในปีนี้ ในช่องรายได้อื่นๆ ในงบกำไรขาดทุน คุณไม่ได้บวกดอกเบี้ยร้อยละ 3 ของยอดเงินให้กู้ยืมระยะยาวเมื่อปีที่แล้วเข้าไปทำให้รายได้คุณหายไป สรรพากรเลยบอกให้คุณบวกรายได้ส่วนนี้เข้าไปและคำนวณกำไรสุทธิเพื่อเสียภาษีใหม่ แก้ไขเมื่อ 08 ก.ย. 52 23:36:13 แก้ไขเมื่อ 08 ก.ย. 52 23:18:58 จากคุณ : นอนดูดาว (นอนดูดาว) เขียนเมื่อ : 8 ก.ย. 52 22:49:23

ความคิดเห็นที่ 14 ลองเช็คดูน่ะครับว่า  สรรพากรหมายถึงรายได้ที่เป็นดอกเบี้ย 3% จากเงินให้กู้ยืมระยะยาวในงบดุลปีที่แล้วหรือเปล่า จากคุณ : นอนดูดาว (นอนดูดาว) เขียนเมื่อ : 8 ก.ย. 52 23:43:14

ความคิดเห็นที่ 15 สรุปว่า ตอนนี้คือดอกเบี้ย ที่คิดจากยอดเงินสดค่ะ แล้วก็ต้องนำดอกเบี้ยมา คำณวนภาษีอีกที  ------- จริงๆ แล้ว เราจ้าง สนง.บัญชีดูแลเรื่องนี้อยู่ แต่เวลามีปัญหา เค้าจะให้เราเสียเงินอย่างเดียว ไม่อธิบายว่า อะไร คืออะไร อย่างยอดที่บอก เค้าบอกเราว่า จะต้องเสียภาษี ยอด3% เราก็เลย งง ค่ะ จากคุณ : แก้ไขด่วน เขียนเมื่อ : 9 ก.ย. 52 08:34:17

ความคิดเห็นที่ 16 สวัดดีครับ สำหรับเรื่องนี้ ถ้าบริษัทเรามีเงินสดในมือมากเกินไป เช่นกรณีนี้มีถึง 4ล้าน ปกติแล้วเราคงไม่เก็บเงินสดไว้กับบริษัทตลอดเวลา เราต้องนำไปฝากธนาคาร การฝากธนาคารก็ทำให้เราได้รับดอกเบี้ยเงินฝาก ดอกเบี้ยเงินฝากถือเป็นรายได้อย่างหนึ่งครับ คุณต้องถูกปรับภงด 50 และต้องยื่นภาษีภธ40 ส่วนเรื่องการคิดดอกเบี้ยนั้น ตามกฎหมายเขาให้คิดที่เรทอัตราดอกเบี้ยเงินฝากประจำ12 เดือนณ ปีนั้นหรือตามจริงก็ได้ ครับ ส่วนค่าปรับก็ตามที่เพื่อนๆข้างบนคิดนะครับ แต่ปัญหามันอยู่ที่ว่าบัญชีของคุณไม่ค่อยเรียบร้อย คุณควรหากฎหมายภาษีอากรมาศึกษาเพิ่มเติม หรือไม่ก็จ้างสำนักงานบัญชีที่มี่ความรู้ความสามารถมาจัดทำบัญชีนะครับ จะได้ไม่เกิดปัญหาเช่นนี้อีก ยินดีให้คำปรึกษาฟรีครับหลังไมค์ได้เลย จากคุณ : กระจั๊วแมน เขียนเมื่อ : 9 ก.ย. 52 13:21:50