Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com  


 
ชีวิตชาวเรือตังเก (1)  

ประสบการณ์ชีวิต  ครั้งหนึ่งเมื่อล่องไปกับเรือตังเก (1)


 เป็นชีวิตที่ผมเคยผ่านมาสมัยเด็กๆราวอายุ 17 ย่าง 18 ปีตอนนั้นเรียนอยู่ ปวช. 2 จะขึ้นปวช. 3 ในช่วงนั้นเป็นเวลาปิดเทอมใหญ่
เพื่อนๆก็กลับบ้านกันไปบ้างบางคนก็ไปเที่ยวที่ต่างๆกันไปบ้าง ส่วนผมนั้นยังไม่มีแผนในหัวว่าจะไปไหน แถมตังค์ก็น้อยไปเที่ยวก็คงไม่สนุกเหมือนเขา (ครอบครัวผมขัดสน) จึงคิดอยากหารายได้ช่วงปิดเทอม อ้อ ลืมบอกไปผมเรียนที่วิทยาลัยเทคนิคในภาคใต้ตอนล่าง และเช่าบ้านอยู่กับเพื่อนร่วมชั้นเรียนเลยช่วยเฉลี่ยค่าเช่ากันไป.
    เลยมานั่งคิดว่าจะทำอะไรดีช่วงปิดเทอม, ด้วยความที่เด็กจึงคิดเอาว่าน่าจะไปหางานทำที่ภูเก็ตโดยที่ผมไม่รู้จักใครที่นั่นเลย
แต่คิดว่าคงเอาตัวรอด, ในสมัยนั้นการสื่อสารกับทางบ้านค่อนข้างลำบากผมจึงไม่ได้บอกกล่าวทางบ้านคิดเพียงว่าเดี๋ยวเปิดเทอมก็จะกลับมาเรียนต่อ, อ้อ และก็ไม่ได้บอกเพื่อนที่อยู่ด้วยกันด้วย แฮะๆ
   คิดแผนการณ์เสร็จเก็บเสื้อผ้ายัดใส่กระเป๋า มีเงินอยู่ ห้าสิบบาทขณะนั้น คำนวณแล้วว่าพอกับค่ารถ,ที่เหลือไปหาเอาข้างหน้า.
สายๆของวันต่อมาผมไปที่ท่ารถระหว่างจังหวัด จับรถบัสแดงไป ปลายทางที่ภูเก็ต ขึ้นนั่งรอรถออก แม่ค้าพ่อค้าเริ่มขึ้นมาขายของบนรถ
หิวก็หิวเลยซื้อของกินประมาณ 10 กว่าบาทจำได้ว่าเป็นถั่วต้ม 3บาท น้ำหวาน 2บาท ที่เหลือจำไม่ได้ว่าซื้ออะไรไปบ้าง.
     รถออกเดินทางผมจ่ายค่าโดยสารไป 20 บาท ผมเหลือเงินในชีวิตขณะนั้นประมาณ 10 กว่าบาท คิดว่าจะใช้เงินที่เหลือให้เกิดประโยชน์สูงสุด ผมกอดกระเป๋าคู่กายใบเดียวที่นำมาด้วย ถึงมันจะดูโทรม, และไม่มีราคาแต่ก็มีคุณค่ากับผมขึ้นมาทันที เพราะผมคงไม่มีปัญญาไปซื้ออะไรที่ขาดแคลนได้มากไปกว่าเงินที่มีอยู่อีกแน่แท้, สบู่ ยาสีฟัน ยาสระผม ในกระเป๋า ผมจะต้องรักษายิ่งชีวิต.
    ผมไม่เคยมาภูเก็ตเลยในชีวิต รถเทียบท่าที่ตัวจังหวัดแล้ว บางคนมีเพื่อนฝูง ญาติ พี่น้องมารับ หรือบางคนก็ เดินทางต่อไปด้วยความคุ้นเคยในสถานที่, ส่วนผมนั้นขอตั้งหลักอยู่ที่สถานีขนส่งก่อน เรียกว่าเหมือนหมาหลงแยกแล้วตอนนี้ ไปไหนไม่เป็น.
เอาไงกับชีวิตต่อล่ะทีนี้จะกลับก็ไม่ได้เงินไม่พอ, คนรู้จักก็ไม่มี โทรศัพท์มือถือสมัยนั้นก็ยังไม่เกิด ที่บ้านก็ไม่มีโทรศัพท์บ้านด้วย.
อ้อผมถึงภูเก็ตประมาณบ่ายกว่าๆ หลังจากตั้งหลักที่ท่ารถได้พักใหญ่ ผมคิดว่าต้องหางานทำให้ได้ภายในวันนี้ ไม่งั้นเราอดตาย.
    ผมเลยใช้วิธีการมองหาตึกที่สูงที่สุดแล้วเดินไปทางนั้น เผื่อว่าตึกนั้นต้องการคนทำงาน (คิดไปได้หนอเรา แฮะๆ) ผมออกเดินเท้า
แน่นอนไม่มีตังค์ขึ้นรถตุ๊กๆ ที่วิ่งรอบเมืองแน่นอน, ระยะทางไม่ใกล้ ไม่ไกล อาศัยเดินเร็วเข้าว่า ร้อนก็ร้อน เหนื่อยก็เหนื่อย หิวน้ำก็หิว สมัยนั้นยังไม่มีน้ำเปล่าใส่ขวดขาย ผมต้องอาศัยกินน้ำก็อก แถวๆร้านค้าข้างทาง ปวดฉี่ก็จัดการแถวๆซอกตึกร้างที่เดินผ่าน.
ถึงเสียทีตึกสูงใหญ่ที่ผมมองเห็นมาแต่ไกลเมื่อเข้ามาใกล้ๆจึงรู้ว่าเป็น โรงแรมเพริล์ ผมก็ใจกล้าเข้าไปหาที่รีเซฟชั่นเพื่อของานทำทั้งๆที่สภาพตัวเองนั้นโทรมจากการเดินเท้า พนักงานโรงแรมบอกว่าไม่มีงานให้ทำหรอก, ความหวังผมเริ่มสลาย แต่เขาก็ใจดี แนะนำให้ไปที่โรงแรมมนตรี ซึ่งอยู่ห่างไปอีกพอสมควร ลองไปถามดูว่ามีงานทำหรือป่าว ผมก็เดินเท้าต่อไปอีก ก็ได้คำตอบเดียวกันกลับมา.
สิ้นหวังเสียแล้วสิชีวิตผม ตอนนี้ตันจริงๆคิดอะไรไม่ออก ด้วยความเหนื่อยกับการเดินเท้าและความสิ้นหวังจากงานที่หา จึงเดินกลับมานั่งที่ระหว่างซอกตึก แถวๆหลังโรงแรมเพริล์ ผมก็นั่งกับพื้นกอดกระเป๋าคู่กายผมไว้ จิตใจสับสนไปหมด เวลาก็ผ่านไปเรื่อยๆ
แล้วคืนนี้เราจะนอนที่ไหนล่ะ คงต้องนอนตรงซอกตึกนี่แหละ ใจก็คิดไปเรื่อย นึกถึงพ่อแม่ญาติพี่น้อง นึกถึงเพื่อนฝูง.
  แต่ผมคงมีบุญอยู่บ้าง ลืมเล่าไปว่าถึงแม้จะเป็นซอกตึกแต่ก็มีคนเดินผ่านไปมาพอสมควร,แต่ก็ไม่ถึงกับพลุกพล่าน
ขณะนั้นเองก็มีชายคนหนึ่งอายุประมาณ 20 กว่าๆ, ดูจากหน้าตาเป็นคนอีสานผิวออกขาว เดินมาใกล้ๆที่ผมนั่งอยู่สภาพดีกว่าผมนิดหน่อย หิ้วกระเป๋ามาใบเดียวเช่นกัน พี่คนนี้นั่งไปสักพักก็ถามผมว่า
พี่ :  จะไปไหนเหรอ
ผม : จะมาหางานทำครับ (ไม่ค่อยมีอารมณ์จะคุยกับใครกำลังเครียด)
พี่  :    เออ พี่ก็จะมาหางานทำเหมือนกัน ปีที่แล้วพี่ก็มาทำงานที่ภูเก็ตนี่แหละ นี่ก็เพิ่งมาจากบ้านจะมาหางานอีกรอบแหละ
ผม :   อ้าวพี่เคยมาแล้วเหรอครับ แล้วปีที่แล้วพี่มาทำงานอะไรล่ะครับ
พี่   :   อ๋อ ปีที่แล้วพี่ไปลงเรืออวนลากมาน่ะเงินดีน่ะ แต่ปีนี้ว่าจะเปลี่ยนไปหางานก่อสร้างทำน่ะ
ผม  :   หา พี่เรืออวนลากเป็นไงอ่ะ (อารมณ์ตอนนี้งานอะไรก็เอา)
พี่    :    เอ็ง อยากทำไหมล่ะ ออกเรือสนุกน่ะ เงินดี กินแต่ของทะเล กลับขึ้นฝั่งก็มีเงินใช้และ ไปป่าวพี่พาไปแนะนำ
ผม  :    ขอบคุณครับพี่ ไปก็ไป แต่ผมยังไม่ได้กินข้าว (ผมรอดพ้นจากการนอนซอกตึก และกำลังจะมีข้าวกิน)
พี่    :   เออ น่าเดี๋ยวไปกินที่เรือเลยล่ะกัน เพื่อนพี่ทั้งนั้นแหละในเรือน่ะ
       ผมเดินตามพี่รงค์ (พี่เขาชื่อ รงค์) เดินไปก็คุยกันไปถามที่มาที่ไปของแต่ละคนกัน พี่เขาบอกขึ้นรถไปเถิดเพราะแพปลา (ท่าเรือ) กับตรงนี้มันไกลกันถ้าเดินจะถึงมืด ประกอบกับการเข้าออกในท่าเรือตอนมืดจะเข้มงวดเพราะมีปัญหาเรื่องโขมยของในเรือกันอยู่บ่อยๆ
   
ผมนึกในใจขึ้นมาว่าผมช่างโชคดีอะไรปานนี้มีคนมาต่อชีวิตผมไว้จากสภาพที่จนตรอกจนมุมของผม แม้ที่จะนอน ข้าวจะกินก็หมดหวังไปแล้ว
ตุ๊กๆ แล่นมาจอดหน้าประตูกั้นท่าเรือพี่รงค์จ่ายตังค์เสร็จสรรพ พร้อมกับพาผมเข้าไปภายในท่าเรือแพปลา, ผมเห็นเรือประมงจอดเทียบท่าอยู่มากมายทั้งลำเล็กลำใหญ่ บางลำก็กำลังออกจากท่า บางลำก็กำลังกลับเข้าเทียบท่า บางลำก็ขนปลาขึ้นสู่ห้องเก็บเพื่อแช่เย็น บางลำก็จอดอยู่เฉยๆ
     พี่รงค์เดินด้อมๆมองๆไปมาพักใหญ่จึงเห็นเรือลำเป้าหมายจึงพาผมเดินเข้าไปหา ” ถวิลวัฒนา” เป็นเรืออวนลากขนาดกลาง จอดเทียบท่า
อยู่ติดกับสะพานเทียบ, บนเรือมีคนอยู่คนเดียว
เฮ้ย ไอ้รงค์มาไงว่ะ เสียงทักจากลุงบนเรือ
พี่ :  ว่าจะมาหางานทำน่ะลุง
ลุง :  อ้าวก็มาขึ้นเรือสิ ปีที่แล้วยังขึ้นเรือเลย
พี่  :  ไม่ล่ะลุงว่าจะไปหางานก่อสร้างในเมืองทำน่ะ
ลุง :  เออๆ  อ้าวแล้วนั่นใครมากับเอ็งว่ะ
พี่   :  พอดี ไอ้เล็กมันกำลังหางานเลยจะมาถามว่าลุงจะรับคนลงเรือหรือป่าว
ลุง  : เออๆ มาสิรับๆคนบนเรือขาดอยู่พอดี
ผม :  ยกมือไหว้ลุง พร้อมกล่าวขอบคุณ (นึกในใจ ทำไมรับง่ายนักว่ะ แล้วทำไมพี่รงค์ไม่ทำบนเรือว่ะปีนี้)
พี่   :    ลุงมีไรกินมั่งล่ะ ไอ้เล็ก มันยังไม่ได้กินข้าวเลย
ลุง  :   เออ นี่เพิ่งหุงข้าวสุก ปูนึ่งก็มี  ปลาหมึกต้ม ก็มี แล้วเอากระเป๋ามาเก็บบนเรือเลยมา อาบน้ำที่โน่น (ชี้ไปห้องน้ำรวมบนท่า)
    ผมจัดแจงเก็บของแล้วกินข้าวเป็นมื้อที่ไม่เคยลืมในชีวิตนี้, ส่วนพี่รงค์ก็อาศัยนอนบนเรือไปก่อนพอเรือออกพี่แกก็จะไปหางานทำในวันต่อไป
ส่วนลุงแกเป็นชาวอีสาน มีหน้าที่เป็น ชมพู่ อยู่บนเรือลำนี้, ลุงเป็นคนนิสัยตลกแบบหน้าตาขึงขัง ชอบอ่านหนังสือ บางกอก  มีความรู้จากการอ่านหนังสือพอสมควร ชอบคุยกับผม เพราะรู้ว่าผมปิดเทอมมาหางานทำ แกเลยชวนว่า ไม่ต้องกลับไปเรียนแล้วมาเป็นช่างซ่อมเครื่องเรือดีกว่าเงินดี (อ้าว เวรกรรม) ผมก็หัวเราะไปตามเรื่อง ผมถามลุงว่า แล้วลูกเรือไปไหนหมด แกบอกพวกนี้พอเรือขึ้นท่าก็ไปหาความสำราญกัน ดึกๆก็กลับมานอนบนเรือกัน เพราะเป็นคนต่างถิ่นทั้งนั้น ไม่มีบ้านหรอก ยกเว้น ไต๊ก๋ง กับ อินเนีย เป็นคนที่นี่ ส่วนลุงชอบอ่านหนังสืออยู่บนเรือและคอยเฝ้าเรือไม่ไปไหนหรอก และได้ทำกับข้าวไปด้วย ( ลุงออกลูกประหยัดตังค์ )

คำที่ชาวเรือใช้เรียกกันเป็นดังนี้ครับ:
ไต๊ก๋ง =   กัปตันเรือ
อิวชิ้ว  =  หัวหน้าคนงานในเรือ
ชมพู่   =   พ่อครัวในเรือ
อินเนีย =   ช่างเครื่องในเรือ

  ส่วนผมนั้นได้ทำหน้าที่เป็นลูกเรือคือ มีหน้าที่คัดปลาที่ได้จากการลากอวนขึ้นมาในแต่ละเที่ยว ซ่อมแซมอวนที่ขาด หรือสึกหรอจากการลากในแต่ละครั้ง เดี๋ยวในตอนที่ 2 ผมจะเข้าสู่เรื่อง น้ำกับฟ้า และใจที่สู้กับชีวิตเรืออวนลากครับ

ขอบคุณครับ

จากคุณ : นกวัด
เขียนเมื่อ : 19 ก.ย. 52 12:42:52




ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป



Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com