Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com  


 
ลัทธิ MLM กับพุทธศาสนา  

เชื่อว่าในที่นี้หลายคนคงรู้จักกับธุรกิจขายตรง หรือธุรกิจการตลาดแบบเครือข่าย (MLM) ซึ่งในประเทศไทยก็มีหลายแบรนด์ เช่น แอมเวย์ กิฟฟารีน เอเจล  เป็นต้น

MLM หรือ Multi-Level Marketing มีชื่อเสียงไปทั่วโลกมาระยะหนึ่ง ประมาณว่าเป็นแผนธุรกิจหารายได้ที่ดีที่สุด ไม่ซับซ้อน ประสบความสำเร็จง่าย ถูกต้องตามกฎหมาย ทำแล้วร่ำรวยแบบแตกกิ่งก้านสาขา แถมมีกินมีใช้ไม่จบสิ้นแบบรวยแล้วรวยเลย

แนวคิดแบบ MLM ไม่ใช่แค่ธุรกิจขายตรง (Direct Sale) อย่างที่มองๆกัน เพราะ MLM จริงๆหมายถึงงานวางแผนการตลาดหลายชั้น การขายตรงเป็นเพียงส่วนหนึ่งในแผน ไม่ใช่ทั้งหมดของแผน

การสร้างเครือข่ายงานขายตรงต่างหากที่เป็นจุดเด่นสำคัญ กล่าวคือการเพิ่มลูกค้ามิใช่เป้าหมายเดียว แต่ยังรวมถึงการเพิ่มจำนวน ‘พ่อค้า’ อีกด้วย แนวคิดสำคัญคือยิ่งจำนวนพ่อค้าเพิ่มมากขึ้นเท่าไร ความสามารถเข้าถึงตัวลูกค้าก็ยิ่งเพิ่มมากขึ้นเท่านั้น

วิธีง่ายๆที่จะเพิ่มจำนวนพ่อค้าให้ได้มากๆก็คือตั้งรางวัลล่อใจ

ใครชักชวนเพื่อนสนิทมิตรสหายมาเป็นพ่อค้าได้มากขึ้นเพียงใด ก็จะยิ่งได้เปอร์เซ็นต์จากพ่อค้าที่ตนสร้างมากับมือเพียงนั้น แถมระยะยาวมีสิทธิ์ได้เป็นเสือนอนกินไปตลอดชาติอีกด้วย

อีกประการหนึ่ง ระบบ MLM ทำทั้งการตลาดเชิงรับ เช่นลูกค้ามีความต้องการสบู่ยาสีฟันก็จัดสบู่ยาสีฟันให้ และยังทำทั้งการตลาดเชิงรุก เช่นเกิดมาลูกค้าไม่เคยคิดจะใช้อุปกรณ์เพิ่มรสชาติทางเพศ แต่พอมีพวกขายตรงเอาแคตตาล็อกมาให้ดูถึงบ้าน คุยโม้ให้เห็นว่าของส่วนเกินนั้นๆ ดูดีมีความจำเป็นต้องซื้อใช้ โน้มน้าวให้เชื่อขนาดไม่ซื้อเดี๋ยวระวังเมียมีชู้หรือผัวมีบ้านเล็ก อย่างนี้ลูกค้าก็ต้องจ่ายแบบไม่อั้นเท่านั้น

เดี๋ยวนี้มีการตลาดแบบโคมลอยเพิ่มขึ้นมาอีก อย่างที่เกิดขึ้นแล้วและมีลูกค้าบ้าจี้ตามก็เช่นการจับจองที่ดินบนดวงจันทร์ ยังไม่ทันมีนิคมอวกาศเป็นรูปเป็นร่าง ก็มีคนทำตัวเป็นพ่อค้าเสียแล้ว นี่แสดงให้เห็นว่าใครจะคิดขายอะไรก็ได้ จับเสือมือเปล่าก็ได้ ขอเพียงทำให้เกิดสัญญาอนาคตที่ดูน่าเชื่อถือเป็นจริงเป็นจังเท่านั้นพอ

ปัจจุบันคนยุคเรามีความรู้ในทางการตลาดมากขึ้น เพราะทั้งสอนกันอย่างเปิดเผยในมหาวิทยาลัย และทั้งมีมรดกทางประสบการณ์ตรงจากอาเสี่ยระดับโลกถ่ายทอดไว้ให้หาอ่านง่ายๆจากร้านหนังสือ

ประเด็นคือเมื่อศาสตร์แห่งการตลาดตบแต่งความคิดของคนๆหนึ่งให้เป็น ‘นักขาย’ ขึ้นมาแล้ว คนๆนั้นอาจมองทุกสิ่งในโลกเป็น ‘ของขายได้’ ไปหมด และบางครั้งการสร้างจุดขายให้โดดเด่นน่าสนใจ ก็อาจหมายถึงการทำลายมุมมองเดิมๆของสินค้าชิ้นหนึ่งๆเสียให้สิ้น

ยกตัวอย่างเช่นเดิมทีคนทั่วไปมองว่าสบู่คืออุปกรณ์ชำระล้างคราบไคลสกปรกที่ทำให้เนื้อตัวเหนียวหนับน่ารำคาญ

การตลาดจะหาคุณสมบัติบางอย่างที่เพิ่มค่าให้สบู่มากขึ้นกว่าเคย เช่นกลุ่มลูกค้าที่ชอบกลิ่นหอม ก็สร้างสบู่ที่มีจุดเด่นคือใช้แล้วตัวหอมกรุ่นราวกับใส่น้ำหอม กลุ่มลูกค้าที่ชอบอนามัยและความสะอาดสดชื่นนาน ก็สร้างสบู่ที่มีจุดเด่นเกี่ยวกับสารกำจัดแบคทีเรียขึ้นมาเป็นพิเศษ ใช้แล้วตัวไม่เหม็นหรือเหม็นน้อยลงตลอดวัน

เมื่อลูกค้าถูกบังคับให้มองเฉพาะกลิ่นหอมหรือความสะอาดคงทน ภาพเดิมเกี่ยวกับสบู่ที่ใช้ทำความสะอาดธรรมดาก็กลายเป็นเรื่องกระจอก ถ้าใช้แล้วตัวไม่หอม หรือใช้แล้วตัวไม่หายเหม็นในระหว่างวัน ก็ถือว่าไม่น่าสนใจซื้อหามาประจำห้องน้ำอีกต่อไป

กล่าวโดยรวบรัดคือการตลาดเชิงรุกนั้น ถ้าเทรนด์ยังไม่มี ก็สร้างเทรนด์ขึ้นมา และอาจหมายถึงการใช้เทรนด์ใหม่ฆ่าเทรนด์เก่าถ้าจำเป็น

หากเป็นสบู่ก็คงไม่กระไรนัก เพราะจุดมุ่งหมายแรกของเจ้าของโรงงานสบู่คือทำกำไรลูกเดียว โลกหมุนไป สินค้ามีใช้ ก็เพราะมีนักลงทุนอยากได้กำไรเหล่านี้ ฉะนั้นการแข่งกันสร้างภาพ แข่งกันเพิ่มค่าให้สินค้าจึงไม่ใช่เรื่องผิด พ่อค้าสบู่ทุกคนอยู่ในเกมธุรกิจ และหลักการเล่นเกมธุรกิจก็คือใครมือยาวสาวได้สาวเอา

ความอยากได้ ความอยากมี ความอยากเป็น ของมนุษย์นั้นไม่มีที่สิ้นสุดหากไม่รู้จักควบคุม

มีคนหลายคนบอกว่า MLM คล้ายกับเป็นลัทธิอย่างหนึ่ง

มาดูความหมายของคำว่า ลัทธิ
ลัทธิ คือ คำสั่งสอน ที่มีผู้เชื่อถือ และมีอิทธิพลต่อการดำเนินชีวิตของมนุษย์

หากพิจารณาจากนิยามนี้ MLM อาจจะนับได้ว่าเป็นลัทธิอย่างหนึ่ง
เพราะหากคุณลองเข้าไปร่วมงานสัมมนา หรืองานประชุมของหมู่นักธุรกิจ MLM  คุณจะพบว่า...เค้าเหล่านั้น ล้วนแล้วแต่มีความคิด และความเชื่อไปในแนวทางเดียวกันทั้งสิ้น

บุคคลที่เรียกตนเองว่า ผู้นำ  จะพยายามพูดจาโน้มน้าวให้เรามีจิตวิญญาณของ MLM คือ
เชื่อว่าหากคนอื่นทำได้ เราก็ต้องทำได้
เชื่อว่า MLM เป็นทางรอดของชีวิต
เชื่อว่าการประสบความสำเร็จใน MLM เป็นเป้าหมายของชีวิต
เชื่อว่าเงินทอง ชื่อเสียงเกียรติยศ การท่องเที่ยว ที่ได้จาก MLM จะดลบันดาลความสุขได้ตลอดชีวิต
เชื่อว่าความสุข อยู่ที่สิ่งของภายนอก ซึ่งเงินเท่านั้นที่สามารถหาซื้อได้
เชื่อในสัญญาอนาคต ที่ฟังดูน่าเชื่อถือ น่าจะเป็นไปได้

ผมเคยรู้จักพี่คนหนึ่งที่อยู่ใน MLM แบรนด์แอมเวย์  เค้าเคยพูดไว้ว่า
พี่ขอฝากชีวิตไว้กับแอมเวย์

ทั้งที่เค้าทำมาเป็นสิบปี ยังไม่ประสบความสำเร็จ  
แต่เค้าก็ยังคงเชื่อ  เชื่อว่าสักวัน เค้าจะประสบความสำเร็จ
เพราะฉะนั้น MLM จึงนับได้ว่าเป็นลัทธิอย่างหนึ่ง

แต่คงเป็นลัทธิที่มีอุดมการณ์ตรงกันข้ามกับพระพุทธศาสนาอย่างสิ้นเชิง
จริงอยู่ ที่พระพุทธองค์ ไม่ได้ห้าม ว่าไม่ให้รวย

แต่พระพุทธศาสนาสอนให้ละโลภะ โมหะ และโทสะ

การที่คุณอยู่ในระบบธุรกิจแบบ MLM ซึ่งเป็นรูปแบบของเศรษฐกิจทุนนิยมอย่างหนึ่ง

ยากครับ  ที่จะทำ MLM ได้อย่างมีสติ หรือสามารถควบคุมสติได้ว่า อย่าโลภ

เพราะอะไรถึงกล่าวเช่นนั้น

เพราะการอยู่ในบรรยากาศของ MLM คุณไม่ต้องวิ่งไปหาความโลภ หรือความอยากได้ อยากมี อยากเป็น

แต่สิ่งเหล่านั้นจะวิ่งมาหาคุณถึงข้างหู

เพราะในบรรยากาศที่ประชุมของ MLM เค้านำเสนอกันในเรื่องของรายได้จำนวนมหาศาล บ้านราคาหลายล้าน รถเบนซ์  

ล้วนแล้วแต่เป็นของล่อกิเลส  ที่อยู่ภายในใจของทุกคนทั้งสิ้น

มีบางคนที่ไปฟัง MLM แล้วไม่สนใจเรื่องเงินทองมากนัก

ผู้นำ MLM บางกลุ่ม ก็หันมาเน้นในเรื่องของความกตัญญู
เค้ามักจะบอกว่า ถ้าทำ MLM ประสบความสำเร็จ  จะทำให้พ่อแม่ หรือคนที่เรารักหมดห่วงได้เร็วกว่าทำงานอย่างอื่น  ซึ่งนั่นก็ทำให้คนใหม่ที่เข้าไปฟัง หลายคนต้องน้ำตาตก และตัดสินใจทำ MLM

หลายคนที่พ่อแม่ไม่เห็นด้วย ไม่ต้องการให้บุตรของตนทำ MLM

ผู้นำก็มักจะบอกว่า ให้อดทนทำ เมื่อเราสำเร็จ พ่อแม่ก็จะชื่นชมเราเอง
ผู้นำบางคน ถึงขนาดบอกให้ลูกโกหกพ่อแม่ เพื่อมาทำ MLM
การโกหก และการทำให้พ่อแม่เสียใจ เสียน้ำตา นี่จะเรียกว่าเป็นความกตัญญุได้อีกหรือ

ผลตอบแทนของ MLM ถือเป็นสัญญาอนาคต ที่ยังจับต้องไม่ได้

พวกผู้นำรับรองได้หรือ ว่าจะประสบความสำเร็จแน่นอน
แล้วจะรับผิดชอบได้หรือ หากมีพ่อแม่ของดาวน์ไลน์ ตรอมใจตายไปก่อนที่ลูกตนเองจะประสบความสำเร็จ

ในพระพุทธศาสนา สอนว่าปัจจุบันสำคัญที่สุด

แต่ใน MLM คือการฝากชีวิตไว้กับอนาคต ที่ไม่มีความแน่นอน

การบริโภคอาหารเสริม  ในความเป็นจริงแล้ว ถือเป็นการสิ้นเปลือง
เพราะไม่ว่าเราจะบริโภคมากเท่าไร  หรือหมดเงินเป็นหมื่นต่อเดือนไปกับอาหารเสริม

อาหารเสริมก็ไม่ช่วยให้เราหนีพ้นความตายไปได้
ทุกคนล้วนแล้วแต่ต้องเกิด แก่ เจ็บ ตาย

แต่ความกลัวของมนุษย์  ทำให้นักธุรกิจหลายต่อหลายคนร่ำรวยจากความกลัวเจ็บ ความกลัวตายของเพื่อนมนุษย์

กลัวไปกันทำไมครับ ถ้าเราไม่กลัว เราก็ไม่จำเป็นต้องบริโภคให้สิ้นเปลือง
ระลึกถึงความตายไว้เถอะครับ ขณะนี้เราหายใจเข้า ถ้าไม่หายใจออก เราก็ตาย  เราหายใจออก ถ้าไม่หายใจเข้า เราก็ตาย

เอาเงินนั้นไปให้ แก่คนที่ ไม่มี จะดีกว่าหรือไม่

เช่นเดียวกันกับเครื่องสำอาง
ต่อให้คุณเสียเงินไปกับเครื่องสำอางมากเพียงใด

คุณก็ไม่มีวันหนีความจริงข้อหนึ่งพ้น

ผิวหนังของคุณต้องเหี่ยวย่นไปตามกาลเวลา
คุณทำได้เพียงแค่ยืดเวลาออกไป หลอกตัวเองไปวันวันเท่านั้นล่ะครับ

ถ้าคุณไม่ได้มีอาชีพที่ต้องพบปะผู้คนจำนวนมาก
คุณเอาเงินที่จะใช้ซื้อเครื่องสำอางราคาแพงแพง ไปบริจาคให้แก่คนยากคนจน  จิตของคุณจะเปี่ยมสุขมากกว่าการสร้างภาพหลอกตัวคุณเองไปวันวันแน่นอนครับ

เช่นเดียวกับสิ่งของอุปโภคบริโภคต่างๆ
ถามตัวเองก่อนจะซื้อใช้เถิดครับ ว่าเรากำลังจะบริโภคคุณค่าแท้หรือคุณค่าเทียม

คุณค่าแท้คือ คุณต้องการรถยนต์ เพื่อขับไปทำงาน หรือไปไหนมาไหน
สมมติว่าคุณมีเงินสัก 5 ล้านบาท  คุณจะบริโภครถยนต์โดยคุณค่าแท้ คุณก็จะหาซื้อรถแค่ให้มันขับไปไหนมาไหนได้  ซึ่งนั่นก็จะทำให้คุณไม่ต้องใช้เงินถึง 5 ล้านบาทในการซื้อรถเบนซ์  คุณยังมีเงินเหลือที่จะทำประโยชน์ให้สังคมได้อีก

แต่ถ้าคุณบริโภคด้วยคุณค่าเทียม คุณจะใช้เงินนั้นซื้อรถเบนซ์  
เพื่ออะไรครับ  เพื่อหน้าตา  เพื่อชื่อเสียง เพื่อเกียรติยศ

คิดดูให้ดีนะครับ  มนุษย์ทุกคนไม่ว่าจะยากดีมีจน ล้วนแล้วแต่เสมอภาคกันที่ความตาย

ตายไปก็เอาไปไม่ได้ครับ สมบัตินอกกาย
คนเราเวลาตาย เราก็แบมือออก เป็นเครื่องหมายว่าเอาอะไรไปไม่ได้อยู่แล้ว

MLM เป็นธุรกิจที่ดีธุรกิจหนึ่ง สำหรับคนที่รู้สึกว่าตนเองยังไม่พอ
เพราะ MLM จะเติมเต็มความไม่พอให้กับคุณได้

แต่ลัทธิ MLM น่ากลัวอย่างหนึ่งครับ
เพราะหากทำ MLM โดยไม่เจริญสติ  คุณจะพบว่าแม้คุณจะประสบความสำเร็จในระดับหนึ่งแล้ว  คุณก็จะยังไม่สามารถหยุดได้
เพราะความสำเร็จในลำดับขั้นถัดไป ยังมีรางวัลล่อใจอีกมากมาย

หลายคนที่ทำ MLM พยายามพูดว่า
MLM เป็นการช่วยเหลือคนอื่น  เพราะเราต้องช่วยให้คนอื่นสำเร็จก่อน แล้วตนเองจึงจะสำเร็จ

เป็นไปได้ยากนะครับ
ที่จะมีคนคิดถึงคนอื่น หรืออยากช่วยคนอื่นก่อน ทั้งที่ตนเองยังไปไม่ถึงไหน

ในทางพระพุทธศาสนา มนุษย์ทุกคนมีพื้นฐาน คือเอาดีเข้าตัว
จึงอาจจะสรุปได้ว่า  การช่วยเหลือผู้อื่นให้สำเร็จก่อนตนเองในระบบ MLM เป็นวาทกรรมอย่างหนึ่ง

วาทกรรมที่จะทำให้ผู้พูด และคนฟังรู้สึกดีกับตัวธุรกิจ

แต่ไม่ใช่ว่าคนทุกคนที่ทำ MLM จะไม่รู้จักพอไปซะทุกคนนะครับ

มีบางคนทำ MLM ประสบความสำเร็จ เพื่อให้เมียกับลูกมีกินมีใช้สบายๆ แล้วก็เข้าสู่ร่มกาสาวพัตร์แบบไม่สึก

นั่นจึงเป็นสิ่งที่น่ายกย่องชื่นชม

ขอให้ทุกท่านเจริญในธรรม

แก้ไขเมื่อ 28 ก.ย. 52 05:45:09

จากคุณ : megamix100
เขียนเมื่อ : 27 ก.ย. 52 21:09:21




ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป



Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com