ความคิดเห็นที่ 1 ในกรณีนี้ เราจะพูดถึงเฉพาะในส่วนของหนี้ที่เกิดจากการกู้ยืม เช่าซื้อ กับสถาบันการเงินต่างๆ ก่อนนะคะ ไม่รวมถึงหนี้ที่เกิดจากการซื้อของเค้าแล้วไม่มีตังค์จ่าย  ยืมเงินเพื่อนไม่มีตังค์คืน กู้เงินชาวบ้านแล้วไม่ยอมจ่ายเค้า ไอ้พวกนี้หนทางแก้ไขก็ต้องแล้วแต่เจ้าหนี้แต่ละเจ้านั่นแหละ  แต่จำไว้ว่า กฏหมายอนุญาตให้เจ้าหนี้คิดดอกเบี้ยเงินกู้ในปัจจุบันอยู่ที่ 15% เท่านั้น !!!!! เอาละเข้าเรื่องกันเลยดีกว่า.... ว่าด้วยเรื่อง สารพัดบัตรสาเหตุของหนี้ก่อน เมื่อคุณเป็นหนี้ มีบัตรเครดิครูดปืด หนทางป้องกันปัญหาได้ดีที่สุดก็คือ รูดเท่าไหร่ ถึงกำหนดจ่ายคืนเท่านั้น อันเนี่ยถ้าทำได้ถือว่าคุณใช้บัตรเครดิตอย่างมีกำไร เพราะจะได้ส่วนลด ได้แ้ต้ม ได้น่นนี่นั่น ตามโปรโมชั่นแต่ละบัตร แถมไม่เสียดอกเบี้ยด้วย เพราะแต่ละบัตรก็จะมีกำหนดระยะเวลาปลอดดอกเบี้ยไว้ ถ้าใช้บัตรอย่างมีสติ บัตรพวกนี้ก็มีประโยชน์ทีเดียว แต่...ถ้าเมื่อไหร่คุณจ่ายขั้นต่ำละก็โปรดจงพึงระวัง  อย่าได้คิดเชียวว่าขั้นต่ำ 10% จ่ายขั้นต่ำ 10 เดือนก็คงหมด  เพราะถ้าคุณจ่ายขั้นต่ำแล้วเอาบัตรไปใช้ต่อ หนี้บัตรก็จะเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ จนแทบไม่มีทางหมดได้เลย ถ้าคิดจะจ่ายขั้นต่ำไปเรื่อยๆ คุณต้องหักบัตรทิ้งแล้วไม่ใช้อีกเลย ถ้าทำได้ก็จะสามารถหมดหนี้ได้  แต่ถ้าทำไม่ได้ก็ขอให้จ่ายมากกว่าขั้นต่ำมากๆๆ และใช้ให้น้อยกว่าเงินที่ได้จ่ายเข้าไปเพื่อให้ยอดหนี้มันลดลง มาต่อด้วยบัตรผ่อนสินค้า อันนี้มีหนทางหมดหนี้ได้ดีกว่าบัตรเครดิต เพราะโดยมากยอดผ่อนจะตายตัว จำนวนเดือนแน่นอน และระยะมักไม่ยาวนัก ถ้าบริหารดีๆ จัดสรรเงินดีๆ ก็น่าจะไม่มีปัญหา แต่ถ้าเกิดมีปัญหาขึ้นมาจริงๆละก็ โปรดทำความเข้าใจไว้ก่อนเลยว่า การผ่อนสินค้ากับไอ้สารพัดบัตรนั้น " ไม่ใช่การเช่าซื้อ "  นั่นหมายความว่าสถาบันการเงินเจ้าของบัตรไม่ได้เป็นเจ้าของสินค้าแต่เค้าเป็นเจ้าของเงินที่คุณนำมาซื้อสินค้า ดังนั้นเมื่อคุณไม่มีเงินจ่ายหนี้คืนเค้า สิ่งที่เค้าจะทำได้คือ ทวงเงินคืนจากคุณไม่ใช่ทวงสินค้าคืน ดังนั้นไม่ต้องกังวลเรื่องยึดสินค้า สินเชื่อส่วนบุคคล อันนี้ชื่อก็บอกแล้วว่าสินเชื่อส่วนบุคคล ดังนั้นมันคือเงินกู้ที่ผูกพันเฉพาะกับคนที่เป็นลูกหนี้เท่านั้น โดยมากสินเชื่อตัวนี้มักมีระยะเวลานาน 4-5 ปี ยอดผ่อนต่อเดือนไม่สูงมาก แต่ผ่อนไปต้นแทบไม่ขยับ ถ้ามีน้อยๆ แค่รายเดียวก็น่าจะโอเคไม่น่ามีปัญหา แต่ถ้ามีทั้งสินเชื่อ บัตร หลายๆอย่างรวมกันก็อาจจะเยอะจนไม่สามารถผ่อนต่อไหวได้เหมือนกัน สัญญาเช่าซื้อ ไอ้พวกนี้เนี่ยมักเป็นพวก รถยนต์ มอเตอร์ไซค์ต่างๆ  อันนี้แหละที่สามารถยึดได้ถ้าผิดสัญญา ถ้าคุณไม่จ่ายมันติดต่อกัน 3 เดือน มันก็จะมายึดรถคุณไป เพราะสัญญาของมันคือ เช่าซื้อ ไม่ใช่เงินกู้  เช่าซื้อก็คือว่า ในตอนนี้ที่คุณยังผ่อนไม่หมด ก็เหมือนคุณเช่าเค้าใช้ได้แค่ใช้ แต่ไม่มีกรรมสิทธิ์ จะไปเที่ยวเอารถไปจำนำ ไปขายต่อ ไปให้คนอื่นโดยพละการไม่ได้ เพราะมันเป็นของไฟแนนซ์ไม่ใช่ของคุณคุณแค่เช่าเค้าใช้ แต่ถ้าผ่อนหมดเมื่อไหร่ก็คือคุณซื้อเค้าขาดนั่นเองกรรมสิทธิ์ก็จะตกเป็นของคุณอย่างเต็มที่ กู้บ้าน อันนี้เป็นอีกตัวที่ระยะยาวแหละค่อนข้างเป็นภาระหนัก  บางคนมีสารพัดบัตรก็ยังหมุนไปได้เรื่อยๆ จนคิดว่าตัวเองมีตังค์ พอซื้อบ้านเท่านั้นแหละชอตไปหมดก็มี  แต่อย่างไรก็ตาม บ้านคือหนึ่งในปัจจัย 4 ดังนั้นทางที่ดี อย่าบิดพริ้วเลยเชียว เพราะถ้าบิดพริ้วเมื่อไหร่ ธนาคารก็มีบ้านเป็นประกัน แถมดอกเบี้ยบ้านปกติก็ไม่ได้สูงนักโดยเฉลี่ยไม่ถึง 10%  แต่ถ้าเมื่อไหร่คุณจ่ายผิดนัด ดอกเบี้ยจะปรับเป็นเรทผิดนัดชำระทันที ซึ่งเมื่อคูณกับเงินต้นของบ้านที่มักราคาสูงจึงทำให้ดอกเบี้ยผิดนัดชำระยอดสูงปรี๊ดจนอาจเป็นลมได้ เอาหลักๆ ที่มาของหนี้ในสถาบันทั้งหลายก็แค่นี้ก่อน แล้วกัน จากคุณ : *แชมพู* เขียนเมื่อ : 1 พ.ย. 52 01:17:17

ความคิดเห็นที่ 2 ทีนี้คนเราพอเป็นหนี้ ไม่ว่าจะหนี้อะไรก็ตามแต่ เป็นหนี้ก็ต้องจ่ายใช่มะ  มันคือสิ่งที่ถูกต้อง เป็นสามัญสำนึก เป็นสิ่งที่คนดีๆ ควรจะทำกัน เอาเงินเค้ามาใช้ก็ต้องคืนเค้า ทุกๆคนก็คงคิดแบบนี้ ซึ่งเป็นสิ่งที่ดีแล้ว แต่....บางทีในโลกความจริง  อะไรก็เกิดขึ้นได้ บางครั้งไอ้สารพัดปัญหาที่รุมเร้า ญาติตาย ยายป่วย ลูกเข้าโรงเรียน ค้าขายเจ๊ง ถูกไล่ออกจากงาน ฯลฯ  ไอ้รายได้ที่เคยมี และที่พึงจะมีก็ลดน้อยถอยลงไป บางทีรายได้ไม่ได้น้อยลงแต่ดันมีรายจ่ายไม่คาดฝันเพิ่มขึ้น พรุ่งนี้จ่ายค่าหมอรักษาแม่ แต่พรุ่งนี้ก็ถึงดิวชำระบัตร เงินมีเ่ท่าเดิมแต่รายจ่ายดันมากกว่าเดิม 2 เท่า ทำไงดี ??? อย่ากระนั้นเลย บัตรอีกใบเพิ่งจ่ายไปยังมีวงเงินเหลือ กดมาจ่ายค่าหมอดีกว่า แล้วเอาเงินที่มีอยู่ไปจ่ายค่าบัตรอีกใบ เห็นไหมจ่ายได้ทั้งสองทาง ไม่เสียเครดิต เป็นลูกหนี้ชั้นดี ประวัติดีเลิศประเสิรฐศรี พอหมุนไปหมุนมา ใบนี้ก็เต็มวงเงินแล้ว ใบนั้นก็เต็มวงเงินแล้ว ถึงกำหนดชำระ เอาไงดี ไม่มีจ่าย ???  เครียด  เศร้า ร้องไห้  อยากตาย  สารพัดความคิดชั่ววูบที่จะเกิด ส่วนใหญ่วัฏจักรหนี้ก็ไม่พ้นประมาณนี้หรอก ที่ทำให้หนี้เพิ่มพูนจนต้องร้องแรกแหกกระเชิง เข้ามาตั้งกระทู้   " ทำไงดีคะ ไม่มีเงินจ่ายค่าบัตร " " เครียดมากๆ จะไปกู้เงินเพิ่มที่ไหนดี ไม่มีจ่ายแล้ว " " ทำประนอมหนี้กับธนาคารดีไหมคะ " " ทำไมธนาคารไม่อนุมัติ ไม่ประนอมหนี้ " ฯลฯ เอาละ เมื่อปัญหามันเกิดแล้ว สิ่งแรกที่ต้องทำเลยคือ  ตั้งสติ  ค่ะ แล้วทีนี้เรามาดูวิํธีแก้ปัญหากัน ทุกปัญหามันมีทางออกเสมอ เชื่อเหอะน่า จากคุณ : *แชมพู* เขียนเมื่อ : 1 พ.ย. 52 01:29:14

ความคิดเห็นที่ 3 ก่อนอื่นคุณต้องประเมินตัวเองก่อนว่า คุณมีรายได้เท่าไหร่ และ หนี้คุณมีเท่าไหร่ ถ้าจ่ายขั้นต่ำทุกใบพอไหม  มีเงินเหลือสำหรับใช้จ่ายในชีวิตประจำวันหรือเปล่า มีเงินกินข้าวไหม   ถ้าทุกคำตอบคือไหว สามารถประคองชีิวิตตัวเองไปได้ โอเคคุณสามารถใช้วิธีนี้ในการแก้หนี้ได้ แม้จะใช้เวลาในการหมดหนี้นานหน่อย แต่ข้อดีคือคุณจะไม่เสียเครดิต ไม่ติดแบล็คลิส สามารถทำธุรกรรมต่างๆ กู้ยืมเงินกับแบงค์ได้เป็นปกติ ( แต่หนี้เดิมก็เพียบแล้วจะกู้อีกทำไม 555 )  แต่ถ้าคิดจะใช้วิธีนี้ในกรณีที่เงินตึงตัวจริงๆละก็ ขอให้หักบัตรเครดิตที่มีทิ้งให้หมด เพื่อป้องกันไม่ให้สร้างหนี้เพิ่ม แรกๆ ที่ต้องจ่ายขั้นต่ำแต่ไม่มีบัตรให้กดออกมาหมุนใหม่ได้ คุณอาจจะอึดอัดสักนิด แต่ยอดมันก็จะลดไปเรื่อยๆ ค่อยๆปรับสภาพ ทำบัญชีรายรับรายจ่ายให้ดีๆ สักพักคุณจะชินแล้วมันจะดีเอง ถ้าคุณทำวิธีนี้ได้ตลอดรอดฝั่งเรายินดีด้วย   แต่ถ้ายอดจ่ายขั้นต่ำของทุกใบรวมกันเฉียดๆจะเท่ารายได้คุณเลย หรือบางทีมากกว่าเงินเดือนคุณทั้งเดือนของคุณอีก จ่ายไปก็ไม่เหลือเงินกินข้าว ต้องไปเที่ยวหยิบยืมคนอื่น หรือไปกู้เพิ่มเรื่อยๆ  ถ้าอย่างนี้เราถือว่าการจ่ายหนี้ของคุณไม่ได้ทำให้หนี้ลด แต่มันทำให้หนี้เพิ่มต่างหาก ดังนั้นจะสร้างหนี้เพิ่มทำไมกัน หาทางแก้หนี้ดีกว่า   วิํธีแรกๆ ที่คนเป็นหนี้คิดถึงคือ  หาแหล่งเงินกู้สักที่เพื่อรวมหนี้เป็นก้อนเดียว แล้วผ่อนนานขึ้น เพื่อให้ยอดผ่อนต่อเดือนน้อยลง วิธีนี้ก็ทำได้ค่ะ ถ้าคุณสามารถหาแหล่งเงินกู้ในระบบที่สามารถปล่อยวงเงินให้คุณได้เพียงพอกับยอดหนี้ทั้งหมดที่คุณมี ยอดผ่อนน้อยลงจนคุณสามารถผ่อนไหว และมั่นใจว่าจะผ่อนไปได้ตลอดรอดฝั่ง โดยคุณต้องไม่ทำการสร้างหนี้ใหม่อีกในระหว่างที่ยังเคลียร์หนี้เดิมไม่หมด ( ไม่แนะนำนอกระบบโดยเด็ดขาด ยกเว้น ยืมญาติพี่น้อง ที่ไม่ต้องเสียดอกก็อีกเรื่องนึง )  แต่ถ้าคุณกู้ได้ไม่พอหนี้ละก็ อย่าทำเด็ดขาด เพราะนอกจากหนี้จะไม่ลดแล้วยังเพิ่มอีกด้วย  และวิธีนี้จริงๆแล้วมันก็คือการกู้หนี้มาปิดหนี้ ซึ่งความเป็นจริงหนี้ไม่ได้หายไปไหนแค่ย้ายที่เท่านั้นเอง ดอกเบี้ยไม่ได้ลดลงเพราะผ่อนนานขึ้นดอกเบี้ยก็เพิ่มขึ้นด้วย และจะว่าไปไอ้การกู้หนี้มาปิดหนี้เนี่ย  ยากมากๆ ที่ธนาคารจะอนุมัติเงินกู้ใหม่นี้ได้วงเงินที่สูงพอ เพราะธนาคารก็จะตรวจประวัติแล้วพบว่าเราหนี้สินพะรุงพะรัง มีหนี้เกินความสามารถจ่าย ไม่ให้ดีกว่า หรือถ้าให้ก็น้อยๆหน่อยแล้วกัน กันพลาด เราเคยมาแล้วคิดกู้หนี้มาปิดหนี้เนี่ย ผลสุดท้ายกู้ไม่ผ่านค่ะ เพราะภาระหนี้เดิมเยอะเกินไป วงเงินที่สามารถอนุมัติได้ก็ไม่พอที่จะปิด วิธีนี้สำหรับเราเลย  ตกไป ข้อดีของวิธีนี้ถ้าคุณสามารถทำได้คือ ไม่เสียเครดิต ไม่เสียประวัติ  แต่ถึงไม่เสียเครดิตก็ทำธุรกรรมยากอยู่ดี เพราะมีภาระหนี้สูง ต่อ.... จากคุณ : *แชมพู* เขียนเมื่อ : 1 พ.ย. 52 01:55:23

ความคิดเห็นที่ 4 ถาม.... ถ้างั้นเอาไงดีละ เงินก็ไม่มีจ่าย กู้ที่ใหม่ก็ไม่ไ้ด้ ตอบ.... ก็ไม่ต้องทำไง สิ่งที่ต้องทำคือ รับสภาพไงคะ ไม่มีจ่ายจะให้ไปปล้นเค้ามาจ่ายเหรอ ??  ไม่มีจ่ายก็ยังไม่ต้องจ่าย ถามต่อ ....อ้าว!!! แล้วอย่างนี้ก็เสียเครดิตแย่ดิ แล้วเค้าก็ต้องทวง ต้องโดนค่าทวงถาม ไหนจะดอกเบี้ยขึ้นทุกวันอีก  แล้วถ้ามันฟ้องละ ค่าศาล ค่าปรับอีกสารพัด ตอบ....ถ้ากลัวมากนักก็ต้องไปหามาจ่าย แล้วมีไหมละ จะไปหาจากไหน จะไปยืมใครอีก ก็ในเมื่อมันไม่มีจะให้ทำยังไง ไอ้เรื่องโดนทวงอ่ะ โดนอยู่แล้ว คุณให้เืพื่อนยืมเงิน แล้วเค้าไม่คืนคุณจะทวงไหมละ เพราะฉะนั้นจงทำใจยอมรับซะ มันไม่ใช่เรื่องแปลก และไม่ใช่เรื่องใหญ่ที่เกินความคาดหมาย ส่วนไอ้สารพัดค่าใช้จ่ายต่างๆอ่ะ มันก็เรียกไปตามระเบียบขององค์กรมันเอง แต่แค่ค่างวดขั้นต่ำยังไม่มีปัญญาจะจ่ายเลย แล้วจะไปจ่ายไอ้สารพัดค่าธรรมเนียมของมันได้ไง อยากเรียกเท่าไหร่ก็ปล่อยมันเรียกไปเหอะ  ไม่ได้หนีนะ อยากจ่ายมากๆ แต่ไม่มีทำไงได้   แต่จำไว้อย่างว่าค่าธรรมเนียมต่างๆ ที่เจ้าหนี้สามารถเรียกเก็บได้ก็คือ ไม่เกิน 5% ต่อปี อันนี้เป็นประกาศของแบงค์ชาติ  ค่าทวงถามแม้แบงค์ชาติจะยินยอม แต่ไม่มีกฏหมายข้อไหนยอมรับนะคะ  ประกาศแบงค์ชาติไม่ใช่กฏหมาย และหลายๆข้อแย้งกันเองกับกฏหมาย เช่น ดอกเบี้ยสินเชื่อส่วนบุคคล แบงค์ชาติประกาศรวมกันที่ไม่เกิน 28 % ต่อปี แต่กฏหมายอนุญาตให้คิดดอกเบี้ยเงินกู้ที่ 15% ต่อปีเท่านั้น  เห็นไหมคะว่ามันขัดกันอยู่ ดังนั้นเวลาขึ้นศาลก็ต้องลุ้นเอาแหละว่าศาลแต่ละคนจะยึดตามอะไรเป็นหลัก ถ้ายึดตามกฏหมายก็ดีไป เพราะแบงค์คิดดอกเบี้ยเิกินกฏหมาย มีผลให้ดอกเบี้ยทั้งหมดเป็นโมฆะ ลูกหนี้จ่ายคืนเฉพาะเงินต้นเท่านั้น ซึ่งนับรวมถึงยอดหนี้ที่ชำระไปแล้วด้วย ต้องคืนดอกเบี้ยที่ลูกหนี้จ่ายไปแล้วคืนมา ถาม....ถ้าไม่จ่าย สักเดือนสองเดือนมันจะทำไงต่อ ตอบ....มันก็จะโทรตาม โทรเรื่อยๆ โทรจิกๆ ทุกวันๆ แล้วข้อเสนอแรกที่สถาบันการเงินมักเสนอมาคือ  ในฐานะที่คุณเป็นลูกค้าชั้นดีเลิศประเสริฐศรีมาก่อน เรามีทางช่วยคุณเป็นกรณีพิเศษมากๆ ลดยอดผ่อนลง มันคือการ " ประนอมหนี้ " ว่าแล้วมารู้จักไอ้คำว่าประนอมหนี้กันหน่อยไหม แก้ไขเมื่อ 01 พ.ย. 52 03:28:05 จากคุณ : *แชมพู* เขียนเมื่อ : 1 พ.ย. 52 02:12:14

ความคิดเห็นที่ 5 เรื่องประนอมหนี้ เนี่ย ปกติแบงค์มันไม่ยอมให้ทำง่ายๆหรอก ถ้าคุณยัชำระอย่างตรงเวลา เป็นลูกค้าชั้นดี จ่ายได้ไม่มีปัญหา ไม่มีใครมาเสนอประนอมหนี้ให้คุณหรอก แม้คุณจะโทรไปร้องขอให้มันประนอมก็เหอะมันก็ไม่ให้ ก็แหมปกติมันได้ดอกคุณปีละ 20-28% ( สังเกตุดีๆ เกินกฏหมายนะเนี่ย แต่พวกนี้มันยึดกฏแบงค์ชาติ กฏหมายคนละฉบับกัน )  ถ้าต้องประนอมหนี้ มันจะต้องลดดอกเบี้ยลงเหลือไม่เกิน 15%  ( เพื่อให้ได้เปรียบเวลาฟ้อง ไม่ให้มีข้อโต้แย้งในเรื่องดอกเบี้ย )  แต่ยังไงก็ตามโดยรวมแล้วการประนอมหนี้ธนาคารก็ยังจะได้กำไร เพราะแม้ดอกจะลดลง แต่ระยะเวลาผ่อนนานขึ้น ซึ่งหมายถึงถ้าลูกหนี้ผ่อนได้จนหมดธนาคารก็จะได้ดอกเพิ่มขึ้นด้วย   แต่ ก็อย่างที่บอก ถ้าคุณยังเป็นลูกหนี้ชั้นดี ยากที่ธนาคารจะยอมลดยอดผ่อน หรือ ประนอมหนี้ให้คุณ แหมก็ถ้ามันยอมง่ายๆ ใครๆก็มาขอประนอมลดยอดกันหมด ธนาคารก็แย่สิ  เพราะฉะนั้นการที่ธนาคารจะยอมประนอมจึงต้องเกิดกับลูกหนี้ที่มีปัญหาเท่า นั้น คือไม่สามารถจ่ายได้แล้ว หยุดจ่ายไปแล้วประมาณ เดือน 2 เดือน  ธนาคารเริ่มเห็นว่าปล่อยไว้หนี้ตูสูญแน่ๆ อันตราย อย่ากระนั้นเลยประนอมดีกว่า  เวลามันประนอมหนี้ มันจะเอายอดหนี้เดิมของคุณที่บวกดอกเบี้ยเดิมแล้ว บวกค่าทวงถามเดือนละ 250 ที่มันคิดไปแล้ว ยอดสุดท้ายที่มัน บวก บวก บวก ไว้แล้วมาตั้งเป็นต้นก้อนใหม่ แล้วทำสัญญาคิดดอกเบี้ยจากยอดนั้น  ซึ่งการประนอมหนี้พวกนี้อ่ะ พอถึงเวลาแทบไม่ต้องขอ มันเสนอเข้ามาเองเลยแหละ และอย่าได้คิดว่าการที่คุณประนอมหนี้แล้วเครดิตบูโรของคุณจะโชว์ประวัติสวยหรูเหมือนเดิม ซึ่งการประนอมหนี้ก็จะมีข้อมูลโชว์ที่เครดิตบูโรเหมือนกัน  พูดง่ายๆ ก็เสียเครดิตเหมือนๆกันนั่นแหละ เพราะมันบอกถึงว่าลูกหนี้ไม่มีปัญญาจ่ายจนต้องประนอมหนี้มาแล้ว  ก็ลองคิดดูถ้าคุณเป็นธนาคารจะปล่อยเงินกู้เพิ่มให้กับคนที่กู้หนี้ไปแล้วไม่มีปัญญาจ่ายจนต้องประนอมหนี้ไหม ??? ข้อดีของการประนอมหนี้ -ยอดผ่อนต่อเดือนลดลง -ลดการถูกทวงถามจากสถาบันการเงิน ถ้าคุณยังจ่ายตรงตามเวลาอีก มันก็จะไม่โทรทวงคุณ อย่างมากถ้ามันหวังดีหน่อย ก็อาจจะโทรเตือนในช่วงใกล้ๆ กำหนดชำระเท่านั้น แต่ถ้าคุณเลยกำหนดแค่วันเดียวมันก็จะจิกยิกๆ เหมือนเดิม ข้อเสีย -ยอดหนี้ไม่ได้ลดลง หนี้ยาวขึ้น  กว่าจะหมดจ่ายกันเหงือกบาน -สถาบันการเงินถือโอกาสปรับดอกเบี้ยให้ตรงตามกฏหมายเปะ เพื่อเตรียมตัวในกรณีลูกหนี้ผิดสัญญา เวลาส่งฟ้องจะได้โต้แย้งยากหน่อย ( หันมาถือกฏหมายเดียวกันเลย ) -หากคุณเกิดไม่สามารถจ่ายได้อีก จะฟ้องเร็วกว่าปกติมาก และคุณมักเสียเปรียบในการเจรจาต่อรองต่างๆ เพราะถือว่าแบงค์ได้ให้โอกาสคุณแล้ว ดังนั้นข้อควรระวังสำหรับคนที่คิดจะประนอมหนี้คือ คุณต้องมั่นใจมากๆว่า หลังจากประนอมหนี้ไปแล้วคุณจะสามารถจ่ายต่อได้ตลอดรอดฝั่ง แล้วทีนี้คุณยังคิดจะประนอมหนี้อีกไหม ก็ลองพิจารณาดู เลือกเอาเองตามสบาย จากคุณ : *แชมพู* เขียนเมื่อ : 1 พ.ย. 52 02:25:55

ความคิดเห็นที่ 6 ถามต่อ...แล้วถ้าไม่ประนอมหนี้ละ จะเป็นยังไงต่อ ตอบ...มันก็จะทวงไปเรื่อยๆ จนตัดเข้าเป็น NPL หรือที่เรียกว่า หนี้เน่านั่นแหละ พอเน่าแล้วบางธนาคารก็จะขายหนี้ต่อให้สำนักงานกฎหมายในมูลค่าถูกๆ แบบอารมณ์กำขี้ดีกว่ากำตด ได้เงินจากสำนักงานกฏหมายมาซื้อหนี้ไปแม้จะน้อยกว่ายอดหนี้แต่ก็ดีกว่าไม่ได้อะไรเลย แล้วทีนี้สำนักงานพวกนี้ หรือ บางทีก็เป็นหน่วยงานภายในของแบงค์เองนั่นแหละก็จะมารับช่วงต่อในการทวงหนี้ ซึ่งจะทวงโหดไม่โหด ขึ้นอยู่กับคนทวงว่ามีจิตใจเป็นอย่างไร  และแน่นอนที่สุดคุณติดแบล็คลิสแน่ๆ แต่จะสำคัญอะไรถ้าประวัติดีแต่ไม่มีกินใช่มะ ถาม....ถ้าเดือนไหนพอมีเงิน จ่ายขั้นต่ำไปก่อนสักยอดดีไหม ตอบ....จ่ายเข้าไปทำไมคะ ไอ้ขั้นต่ำยอดเดียวเนี่ย เพราะคุณก็ยังมีหนี้ค้างอยู่ดี มันก็ยังทวงอยู่ดี ยอดหนี้ก็ไม่ได้หมด หรือไม่ได้ลดลง เพราะดอกเบี้ยมันเดินไปไหนแล้ว ไอ้สารพัดค่าทวงถามเนี่ยมันจับไปตั้งเป็นต้นใหม่สำหรับเดือนถัดไปเสมอนะคะ เพราะฉะนั้นจ่ายไปก็ไปจ่ายเป็นค่าทวงให้มันเล่นๆ และทำให้อายุความบืดออกไปอีก เพราะหนี้จะนับอายุความเริ่มที่วันแรกที่ผิดนัดชำระ ถ้าคุณจ่ายหยอดเข้าไป ก็เท่ากับยืดอายุความให้เจ้าหนี้ อ่ะเอาข้อมูลอายุความมาให้ดูสักหน่อย หนี้บัตรเครดิต...อายุความในการฟ้อง หลังจากมีการผิดนัดชำระตามสัญญา = 2 ปี หนี้วงเงินเบิกเกินบัญชี...อายุความในการฟ้อง หลังจากมีการผิดนัดชำระตามสัญญา = 10 ปี หนี้สินเชื่อส่วนบุคคล...อายุความ = 5 ปี (สัญญากู้ยืมที่มีการผ่อนต้นคืนพร้อมดอกเบี้ยเป็นงวดๆ) หนี้เงินกู้...อายุความ = 10 ปี (สัญญากู้ยืมที่กำหนดชำระเงินต้นคืนทั้งหมดในครั้งเดียว) สัญญาเช่าซื้อ...อายุความในการฟ้อง หลังจากมีการผิดนัดชำระตามสัญญา = 3 ปี ถามต่อ....แล้วมันจะจบยังไง ต้องฟ้องศาลเท่านั้นเหรอ ตอบ.....เรื่องหนี้มันก็จบได้หลายแบบค่ะ  และจะจบง่ายเลยเชียวถ้ามีเงิน ถ้าคุณไม่ได้จ่ายมันก็ขอให้เก็บรวบรวมไอ้พวกเงินที่เคยจ่ายขั้นต่ำพวกนั้น บริหารจัดการเงินให้เป็นก้อนมากที่สุดเพื่อเตรียมใช้หนี้ค่ะ พอมีเงินก้อนเพียงพอก็ลองสอบถามธนาคารดูว่าจะขอปิดหนี้ได้ไหม และจะสามารถปิดหนี้ได้ที่ยอดเท่าไหร่ ไม่แน่นะบางธนาคารอาจมีส่วนลดเสนอมาให้ด้วยก็ได้ แบบอารมณ์ว่าจ่ายๆ แล้วจบๆ กันสักที จะได้เอาเงินไปปล่อยคนอื่นต่อ ขี้เกียจตามทวง เอาส่วนลดไปเลยแล้วกัน ถ้าถึงขั้นนี้ก็เจรจาต่อรองกันไปค่ะ แต่ถ้าจนแล้วจนรอด ลดก็แล้ว ทวงก็แล้ว ไม่จ่ายสักที มันก็คงต้องฟ้องแหละคะ โดยมากกว่าจะโดนฟ้องก็มักหยุดจ่ายนานๆ เฉลี่ยประมาณ 1 ปี ( บางทีอาจเร็วกว่า 4 เดือนโดนฟ้องก็เคยมี แต่บางคนปาไป 2 ปีก็มีเหมือนกัน แล้วแต่ดวงค่ะ ) ถาม...แล้วถ้าไม่จ่ายเลยได้ไหม ตอบ....เป็นหนี้ต้องใช้หนี้ค่ะ ถ้าจะหนีหนี้ก็ต้องหนีไป 20 ปี คุ้มเหรอค่ะ กับช่วงเวลาที่เสียไป ถาม....ถ้าโดนฟ้องจะถูกจับเข้าคุกไหม  และโทษมีอะไรบ้าง ตอบ....เป็นหนี้นะคะไม่ได้ฆ่าคนตาย ไม่ต้องกลัวติดคุก เป็นหนี้โทษก็คือใช้หนี้พร้อมดอกเบี้ย ( ดอกเบี้ยที่เป็นธรรม ) คดีแ่พ่งค่ะ ถาม...มีสิทธิ์โดนคดีอาญาไหม ตอบ...มีสิทธิ์ในกรณีที่เจ้าหนี้ฟ้องแล้ว คุณมีการยักย้ายถ่ายเททรัพย์สินที่เป็นชื่อคุณ เพื่อหลบเลี่ยงเจ้าหนี้  อันนี้ผิดฐานยักยอกทรัพย์ได้ค่ะ เพราะถ้าเจ้าหนี้ฟ้องแล้วคุณไม่จ่าย เจ้าหนี้จะหันมาอายีดทรัพย์ หรือ อายัดเงินเดือน ซึ่งถ้าคุณโดนฟ้องแล้วโอนทรัพย์สินก็เหมือนคุณเตรียมพร้อมที่จะหนีหนี้ ส่อเจตนาว่าโกงเจ้าหนี้ค่ะ จากคุณ : *แชมพู* เขียนเมื่อ : 1 พ.ย. 52 02:48:43

ความคิดเห็นที่ 7 ถาม...มีหมายศาลแล้วต้องทำยังไง ตอบ... ก็ไปศาลสิคะ ถ้ามีเจ้าหนี้โทรมาแจ้งว่าฟ้องแล้วให้ขอเลขที่คดีเลยทุกครั้ง เพราะถ้าไม่มีเลขที่คดีแสดงว่ามันขู่ค่ะ และถ้ามีหมายศาลมาจริงๆ ก็ควรไปศาลเพราะถ้าไม่ไปจะถือว่าหนีศาล ศาลจะตัดสินตามเจ้าหนี้ฟ้องทันที ซึ่งเสียโอกาสมากๆ ที่จะไปเจรจาต่อรอง เพราะถ้าเจรจาไม่สำเร็จ ลูกหนี้ก็ยังมีโอกาสเลื่อนศาลได้อีก 1 ครั้ง เพื่อไปต่อรองกับธนาคารใหม่  แต่ยังไงก็ตามให้หมั่นเช็คหมายศาลตามที่อยู่ในทะเบียนบ้าน และตามศาลท้องที่ตามทะเบียนบ้านไว้เสมอนะคะ ถาม...หลังศาลตัดสินทำไงดี ตอบ...ศาลตัดสินยังไงก็ต้องทำตามนั้นค่ะ ตัดสินให้จ่ายก็ต้องจ่าย แต่จะจ่ายผ่อนหรือจ่ายงวดเดียวก็อยู่ที่ต่อรองกับธนาคาร หรือจะขอลดก็ได้ถ้าธนาคารยอมอ่ะนะ แต่ถ้าไม่ดำเนินการใดๆต่อหลังศาลตัดสิน เจ้าหนี้ก็จะยื่นเรื่องต่อกรมบังคับคดีเพื่อทำการสืบทรัพย์ อายัดเงินเดือน ยึดทรัพย์ต่อไปค่ะ ( แล้วแต่ว่าเจ้าหนี้จะเลือกวิธีไหน) ถ้าเลือกอายัดเงินเดือนคุณ  แต่อย่างไรก็ตามมันต้องเหลือเงินให้คุณดำรงชีวิตไม่ต่ำกว่า 10,000 บาทต่อเดือน  และอายัดเงินเดือนได้สูงสุดไม่เกิน 30% ของเงินเดือน ( จะอายัดได้ก็เฉพาะในกรณีที่เงินเดือนเกินหมื่นเท่านั้น )  ส่วนข้าราชการเงินเดือนอายัดไม่ได้นะคะ แต่โอที โบนัส เงินพิเศษต่างๆ อายัดได้ค่ะ ถ้าไม่มี เงินเดือนให้อายัด หรือเจ้าหนี้เลือกอายัดทรัพย์ การอายัดทรัพย์ก็ต้องไม่อายัดทรัพย์ที่จำเป็นต่อการดำเนินชีวิต และทรัพย์ที่ใช้ในการประกอบอาชีพ เช่น รถเข็นขายของอ่ะยึดไม่ได้  และต้องเหลือทรัพย์ให้ลูกหนี้รวมกันอย่างน้อยในมูลค่า 50,000 บาท ถ้าไม่มีทรัพย์ให้อายัด เงินเดือนไม่ถึงหมื่น มันก็ตั้งเรื่องรอจนกว่าคุณจะชำระนั่นแหละ เห็น ไหม แม้แต่ศาล แม้แต่กฏหมายข้อไหนๆ ก็มองเรื่องชีวิตการดำรงชีวิตอยู่ของคนเป็นสำคัญ  ไม่ใช่สักแต่เอาเงินไปหมุนหนี้จนฆ่าตัวตาย จนอยู่ไม่ได้ มันไม่ใช่วิถีทางของการแก้ปัญหาค่ะ จากคุณ : *แชมพู* เขียนเมื่อ : 1 พ.ย. 52 02:58:07

ความคิดเห็นที่ 8 อ่ะแล้วทีนี้สิ่งที่ลูกหนี้กลัวอีกเรื่องนึงคือการรับมือกับการทวงหนี้ มีบทความอันนึงมาให้อ่านค่ะ บทความ จาก... เวที ศาลยุติธรรม เรื่อง : อย่าตกใจ !!!...หากถูกทวงหนี้ โดย : คุณสราวุธ เบญจกุล รองเลขาธิการสำนักงานศาลยุติธรรม เนื่องจากปัญหา สภาวะน้ำมันแพงในปัจจุบันส่งผลให้เกิดปรากฎการณ์ข้าวยากหมากแพง สิ่งที่ตามมาคือประชาชนหันหน้าเข้าพึ่งสถาบันเงินกู้ทั้งในและนอกระบบเพิ่ม มากขึ้น โดยการชำระหนี้เป็นไปตามระยะเวลาที่กำหนด แต่ถ้าไม่ชำระหนี้ประชาชนอาจเดือดร้อนจากการทวงหนี้ในหลายรูปแบบ ถ้าสถาบันการเงินนั้น ๆ ทวงหนี้ด้วยวิธีที่ถูกกฎหมายตามขั้นตอนจนสุดท้ายจบลงที่การฟ้องต่อศาลเพื่อ ให้ลูกหนี้ชำระหนี้นั้นย่อมเป็นไปตามกติกา แต่ปัจจุบันบางกรณีกลับใช้วิธีจ้างสำนักงานทวงหนี้ให้กระทำการแทนซึงสำนัก งานทางหนี้เหล่านี้ใช้วิธีการที่ผิดกฎหมายไม่ว่าจะเป็นการใช้วาจาหยาบคาย ข่มขู่ ประจาน หรือบางรายอาจหนักถึงขั้นการกรรโชกทรัพย์ หรือการปลอมแปลงหมายศาล อาทิเช่น การทำตราประทับสีแดง มีข้อความว่า อนุมัติฟ้อง หรือ ฟ้องด่วน และมีเนื้อหาในทำนองข่มขู่ว่าจะดำเนินคดีอาญากับลูกหนี้ ทำให้ผู้ได้รับเอกสารเกิดความตกใจกลัว สิ่งควรรู้หากถูกทวงหนี้ ประการแรก : เมื่อลูกหนี้ผิดนัดชำระหนี้ กฎหมายแพ่งและพานิชย์กำหนดให้เจ้าหนี้ฟ้องเรียกชำระหนี้พร้อมดอกเบี้ยทางศาล ได้ เมื่อมีคำพิพากษาแล้วถึงจะสามารถบังคับใช้หนี้จากทรัพย์สินของลูกหนี้ได้ ประการที่สอง : หากมีการทวงหนี้ ผู้ถูกทวงหนี้จะต้องมีความเกี่ยวข้องโดยตรงกับการกู้ยืมเงินเท่านั้น เช่น ลูกหนี้ ลูกหนี้ร่วม หรือผู้ค้ำประกัน เป็นต้น การไปข่มขู่ คุกคาม ญาติพี่น้อง เพื่อนฝูง หรือผุ้เกี่ยวข้องกับลูกหนี้ อาจเป็นความผิดฐานกรรโชกทรัพย์ ตามประมวลกฎหมายอาญาซึ่งบัญญัติว่า " ผู้ใดข่มขืนใจผู้อื่นให้ ยอมให้ หรือ ยอมจะให้ตนหรือผู้อื่นได้ประโยชน์ในลักษณะที่เป็นทรัพย์สิน โดยใช้กำลังประทษร้าย หรือโดยขู่เข็ญว่า จะทำอันตรายต่อชิวิต ร่างกาย เสรีภาพ ชื่อเสียงหรือทรัพย์สินของผู้ถูกขู่เข็ญ หรือ ของบุคคลที่สาม จนผู้ถูกข่มขืนใจยอมเช่นว่านั้น" ประการที่สาม : การทวงหนี้ด้วยวิธีข่มขู่ด้วยวาจาหยายคาย ทำร้ายร่างกาย กักขัง หรือทำการรบกวนชีวิตประจำวัน หากกระทำต่อลูกหนี้หรือสามาชิกในครอบครัว เพื่อน บรรดาผู้ถูกทางหนี้มีสิทธิแจ้งความดำเนินคดีกับกลุ่มคนเหล่านั้นได้ทันที ถ้ามีการทำร้ายบาดเจ็บหรือกักขังหน่วงเนี่ยว พวกเข้าต้องรับโทษอาญาฐานดูหมิ่น ทำร้ายร่างกายหรือทำให้เสื่อมเสียเสรีภาพแล้วแต่กรณี ประการสุดท้าย : การทวงหนี้ด้วยวิธีก้าวร้าวหรือจงใจประจานทำให้เสื่อมเสียชื่อเสียงด้วยวิธี ใดต่าง ๆ อาจเป็นความผิดฐานหมิ่นประมาทได้ นอกจากนี้การล่วงรู้หรือได้มาซึ่งความลับของผู้อื่นโดยเหตุที่ประกอบอาชีพ หรือเป็นผู้ช่วยในการประกอบอาชีพ แล้วเปิดเผยความลับนั้น ในการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใดก็เป็นความผิดฐานเปิดเผยความ ลับ การทวงหนี้ด้วยวิธีการที่เป็นความผิดทางอาญาลูกหนี้สามารถเอาผิดกับเจ้าหนี้ หรือสำนักงานทวงหนี้ได้แต่ทั้งนี้เมื่อเป็นหนี้ก็มีหน้าที่ต้องชำระ การเป็นหนี้ไม่สร้างผลดีให้ใคร การอยู่อย่างพอเพียง กิน-ใช้ อย่างประหยัดก็จะทำให้ชีวิตเป็นสุข หากระมัดระวังเรื่องการใช้จ่ายย่อมผ่านสภาวะเศรษฐกิจที่ฝึดเคืองได้อย่างแน่ นอน จากคุณ : *แชมพู* เขียนเมื่อ : 1 พ.ย. 52 03:02:51

ความคิดเห็นที่ 9 รวบรวม เรียบเรียงได้เท่านี้ก่อนนะคะ ไม่อยากเห็นคนฆ่าตัวตายเพราะเป็นหนี้อีก ไม่อยากได้ิยินข่าวแบบนี้เลย เรื่องหนี้ไม่ใช่เรื่องคอขาดบาดตาย  มีทางออกเสมอแหละค่ะ ถ้าจุดไหนไม่เข้าใจลองไปหาข้อมูลเพิ่มเติมตาม link ข้างต้น  หรือสอบถามมาก็ได้ค่ะ ถ้าอะไรพอรู้ก็จะตอบให้ ถ้ามีจุดใดผิดพลาดไปในกระทู้นี้ ช่วยแจ้งด้วยนะคะ จะรีบดำเนินการแก้ไขข้อความให้โดนด่วน และที่สำคัญ ย้ำอีกครั้ง  เป็นหนี้ต้องจ่ายหนี้ค่ะ  เป็นหนี้ต้องใช้แต่การใช้หนี้ต้องอยู่บนพื้นฐานของความเป็นจริงของชีวิต นั่นคือสามารถดำรงชีวิตอยู่ได้ มีเงินใช้ในสิ่งที่จำเป็นต้องใช้ เช่น ค่ากิน ค่ารักษาพยาบาล ค่าเทอมลูก ค่านมลูก ค่าเลี้ยงดูพ่อแม่  ต่างๆ การแก้ปัญหาหนี้ที่ดีที่สุดคือการชำระหนี้ด้วยรายได้ตนเอง ไม่ต้องกู้หนี้มาจ่ายหนี้  และแต่ละคนปัญหาไม่เหมือนกันทางออกในการแก้ปัญหาหนี้ก็อาจแตกต่างกันไป ขอให้หาทางที่เหมาะสมกับตัวเองที่สุด และถ้าหลุดพ้นวัฏจักรหนี้แล้วก็จงใช้เงินอย่างระมัดระวังรอบคอบเพื่อไม่ให้ประวัติศาสตร์ซ้ำรอยค่ะ ขอให้โชคดี ไม่มีหนี้กันทุกคนนะคะ จากคุณ : *แชมพู* เขียนเมื่อ : 1 พ.ย. 52 03:12:20

ความคิดเห็นที่ 10 Good topic Thank you,   \(^.\^) "การไม่มีหนี้ เป็นลาบอันประเสริฐ" จากคุณ : UdornBoy2 เขียนเมื่อ : 1 พ.ย. 52 07:00:18

ความคิดเห็นที่ 11 คนเรามีหนี้ด้วยกันทั้งนั้น อย่างน้อยก็หนี้บุญคุณ พ่อแม่ การเป็นหนี้ไม่ใช่สิ่งที่น่ากลัว แต่ การบริหารหนี้ไม่ดีเป็นสิ่งที่น่ากลัวกว่า จากคุณ : moovit เขียนเมื่อ : 1 พ.ย. 52 08:27:20

ความคิดเห็นที่ 12 เป็นประโยชน์มาก ขอขอบคุณ อ่านเป็นความรู้ เพราะเริ่มมีหนี้แล้ว แต่ก็จะเอาข้อมูลนี้ไปปรับใช้กับชีวิต จากคุณ : พนอจัน เขียนเมื่อ : 1 พ.ย. 52 11:54:03

ความคิดเห็นที่ 13 เป็นข้อดิดที่ดีมากในเรื่องหนี้ สำหรับปัจจุบัน และ อนาคต ทุกปัญหาเรื่องหนี้มีทางออก จากคุณ : pantasia เขียนเมื่อ : 1 พ.ย. 52 21:13:40

ความคิดเห็นที่ 14 ดี จริงๆ ครับ จากคุณ : ตีป๊อกแป๊ก เขียนเมื่อ : วันลอยกระทง 52 00:09:53

ความคิดเห็นที่ 15 ขอบคุณสำหรับข้อมูลดีๆครับ จากคุณ : aong_ha เขียนเมื่อ : วันลอยกระทง 52 13:46:54

ความคิดเห็นที่ 16 พอเพียงและไม่ทำอะไรเกินตัว  แล้วจะไม่มีหนี้ครับ จากคุณ : LimitBreak เขียนเมื่อ : วันลอยกระทง 52 20:04:20