Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com  


 
ผิดไหม ที่เราจะ "ไม่รัก" พ่อ และแม่  

เราเป็นคนหนึ่งที่พยายามศึกษาศาสนา แต่ก็ยอมรับว่า เข้าใจไม่มาก แต่ก็ตั้งใจอย่างที่สุด ที่จะถือศีล 5 และพยายามเป็นคนดีที่สุด ไม่กินเหล้า ไม่สูบบุหรี่ ไม่เบียดเบียนผู้อื่น

อย่างไรก็ตาม พระทุกท่านที่พบ มักจะบอกว่า ให้รักพ่อแม่มากๆ เขาเป็นผู้ให้กำเนิด แต่ลองมาฟังเรื่องของเราดูกันไหม

แม่เป็นภรรยาคนที่ 2 (หรือเท่าไหร่ไม่รู้) ของพ่อ เราไม่โทษแม่ในข้อนี้ เพราะตอนที่แม่เป็นภรรยาน้อยของพ่อนั้น แม่เพิ่งจะอายุ 14 เป็นสาวบ้านนอก ในขณะที่พ่อเป็นเสี่ยจากกรุงเทพ เราคิดว่า วัยวุฒิ และความคิดของแม่ในขณะนั้น คงไม่เพียงพอกับการตัดสินใจให้ถูกต้อง และผลของมันก็คือ เราเกิดมาเมื่อแม่อายุ 15

หลังเราเกิดได้ไม่นาน พ่อทิ้งแม่กลับไปหาครอบครัวเดิมของพ่อ ซึ่งเราก็ไม่โทษพ่ออีก คิดว่า ดีแล้ว ที่พ่อเลือกในทางที่ถูกต้อง แต่สิ่งที่ตามมาก็คือ พ่อไม่ส่งเสียเลี้ยงดูเราเลย

ตอบเราอายุ 2 ขวบ แม่ก็เข้ากรุงเทพบ้าง และได้แต่งงานใหม่กับเศรษฐีคนหนึ่ง เราถูกปล่อยไว้ต่างจังหวัดกับญาติฝ่ายแม่ มีกินบ้าง ไม่มีกินบ้าง โชคดีที่เรียนเก่ง ได้ทุนการศึกษาบ้าง

มีบางเวลา ที่เราเข้ามาเจอแม่ที่กรุงเทพ แม่จะแนะนำใครต่อใครว่า เราเป็นญาติห่างๆ เพราะแม่กลัวคนจะรู้ว่า แม่มีลูกมาก่อนแล้ว และแน่นอน เราเรียกแม่ว่า "คุณ" พวกเพื่อนๆ แม่ก็คงคิดว่า เราเป็นประมาณญาติ กึ่งคนใช้ ในขณะที่แม่มีลูกใหม่อีกจำนวนหนึ่ง

ตอนเรายังเด็ก ครูเคยให้กรอกประวัติ ในประวัติถามว่า เราเป็นลูกคนที่เท่าไหร่ เราจำได้ว่า เราตอบไม่ได้ เพราะในตอนเด็กนั้น เราก็งง เพราะเราเป็นลูกคนที่ 7 หรือ 8 ของพ่อ แต่เป็นลูกคนแรกของแม่ แล้วคำถามที่ว่า เราเป็นลูกคนที่เท่าไหร่ เราจะตอบยังไง ปรากฎว่า ถูกครูตี ประมาณว่า กวนโอ๊ย...แต่ในความรู้สึกตอนนั้นก็คือ สับสนจริงๆ เพราะมันตอบไม่ได้

เราโตขึ้น สอบเข้ามหาวิทยาลัยในกรุงเทพได้ แต่ไม่มีเงินจะเรียน โชคดีมีญาติที่เขาชอบเด็กเรียนเก่ง เขาเลยตัดสินใจส่งเสียเรา หลังจากที่เขาอุตส่าห์บากหน้าไปหาพ่อเราให้แล้ว แต่พ่อบอกว่า ไม่อยากช่วย และเหตุผลของพ่อคือ ไม่มั่นใจว่า เราเป็นลูกพ่อจริงหรือไม่ เพราะแม่สำส่อนเหลือเกิน (แต่เราและคนรอบข้างทุกคนยืนยันได้ว่า เราหน้าเหมือนพ่อ แบบโคตรเหมือนเลย เรียกว่า ถ้ามายืนด้วยกัน ร้อยทั้งร้อยก็ต้องบอกว่าเป็นพ่อลูกกันแน่ๆ)

นับแต่นั้น เราก็คิดว่า ระหว่างเรากับพ่อ ไม่มีอะไรต้องมีความสัมพันธ์กันอีกต่อไปแล้ว เพราะเราอยากเรียนมหาวิทยาลัยมาก แต่พ่อไม่ยอมแม้แต่จะจ่ายค่าเทอมให้ แสดงว่า พ่อไม่ได้คิด หรือห่วงเรื่องอนาคตของเราเลย

ส่วนแม่ ที่ปกติก็ไม่ได้ส่งเสียเราเหมือนกัน ทั้งๆ ที่สามีใหม่เป็นเศรษฐี และลูกๆ ใหม่ของแม่ก็ได้รับการเลี้ยงดูอย่างดี ก็ยังคงไม่คิดจะส่งเสียเราเหมือนกัน

เราได้เงินจำนวนเล็กน้อยมากจากญาติผู้ใจบุญ กัดฟัน จนเรียนจบปริญญา ซึ่งโชคดีที่เราได้อยู่หอมหาวิทยาลัยที่ราคาถูก และชีวิตในมหาวิทยาลัยก็ไม่มีอะไรให้ต้องใช้เงินมาก และเราก็ยังเรียนเก่ง จนได้ทุนอีก และระหว่างนั้นเอง สามีใหม่เศรษฐีของแม่เกิดล้มละลาย และเลิกลากันไป

เราได้เข้าทำงานหลังเรียนจบ ทันทีที่เงินเดือนเดือนแรกออก แม่ส่งคนมาขอ บอกให้ส่งน้องๆ เรียน เราพูดไม่ออก ไหนจะค่าเช่าบ้าน ค่าเดินทาง ค่ากินอยู่ กับเงินเดือนคนจบใหม่ แต่เราก็ต้องยอมให้เงินไป เพราะแม่บอกว่า น้องๆ ไม่มีเงินไปโรงเรียน

สุดท้าย เราต้องส่งเสียน้องๆ จนจบปริญญาทุกคน และในช่วงที่เรายังทำงานใหม่ๆ นอกจากส่งเสียน้องแล้ว บางที แม่ก็มาขอเงิน แบบไม่รู้เหตุผล หรือบอกเหตุผลที่ตอนหลังเราจับได้ว่าโกหก แต่เราก็ให้ทุกครั้งไป

ตอนนี้ เราได้ทำงานดี มีเงินเก็บพอประมาณ มีรถ มีบ้าน รับน้องๆ ทุกคนมาอยู่ด้วย และชวนแม่มาอยู่ด้วย แต่แม่ก็ไปๆ มาๆ เราไม่รู้เหตุผลที่ชัดเจน แต่น้องๆ บอกว่า แม่มีแฟนใหม่ที่ไม่อยากให้เรารู้ เราก็ทำเฉยๆ

คำถามก็คือ เราต้องรักพ่อแม่หรือไม่ ในฐานะที่เขาเป็นผู้ให้กำเนิด แต่ไม่เคยให้อะไรเรานอกจากนั้น แถมยังสร้างปัญหาให้เราอีก

พ่อทิ้งเราไป เพราะทะเลาะกับแม่ แม้เราจะบากหน้าไปขอค่าเรียน พ่อก็ปฏิเสธ ทั้งๆ ที่พ่อถือได้ว่าเป็นเศรษฐีคนหนึ่งเหมือนกัน พ่อไม่เซ็นรับรองเราเป็นลูก ทำให้ในช่องชื่อบิดาของเราในใบเกิดและทะเบียนบ้าน เป็นช่องว่างเปล่า (ซึ่งทำให้เราเกิดปัญหาอยู่บ่อยๆ กับคนที่ไม่เข้าใจ)

แม่ได้สามีใหม่ ไปใช้ชีวิตอย่างหรูหรา ทิ้งเราไว้ และปฏิเสธทื่จะยอมรับกับใครๆ ว่าเราเป็นลูก ปล่อยให้เราโตมาแบบไม่ค่อยจะมีกิน แต่เมื่อแม่ลำบาก ก็รีบมาขอเงินเรา เราจำได้ว่า ตอนที่ทำงานปีแรก เราก็ยังไม่มีกินเหมือนเดิม เพราะเงินเดือนน้อย และค่าใช้จ่ายสารพัด ไหนจะส่งน้อง ไหนจะค่าเช่าบ้าน เราหาทางออกด้วยการงดอาหารบางมื้อ ยอมไม่กินข้าว เพราะคิดว่า เราเคยเจอปัญหาที่อยากเรียน แต่ไม่ได้เรียนมาแล้ว ก็อยากให้น้องได้เรียน แม้ไม่รู้ว่าเขาจะเป็นน้องที่ยอมรับความเป็นพี่ของเราหรือไม่ก็ตาม

ญาติผู้ใจบุญที่เคยส่งเสียเราสอนว่า เมื่อเราได้ "รับ" จากคนที่คาดไม่ถึง ก็อยากให้เรา "ให้" ต่อกับผู้อื่น เราเชื่อเขา เชื่อคนที่ไม่ใช่พ่อแม่ เพราะเชื่อว่า เขาคือคนดีจริง คนที่ยอมจ่ายทั้งๆ ที่ไม่ใช่เรื่องของตัว ดังนั้น เราจึงยอมส่งเสียน้องให้ได้เรียน แม้เราจะไม่ได้กินข้าว

กลับมาที่ปัจจุบัน เราสบายแล้ว เนื่องจากหน้าที่การงานดีขึ้น มีเงิน มีใช้ แต่เรายังสับสนกับพ่อและแม่

พ่อที่ปฏิเสธเราเสมอมา จำเป็นด้วยหรือที่เราจะต้องสนใจ หรือกตัญญูต่อเขา
แม่ที่ปฏิเสธว่าเราไม่ใช่ลูก แต่เมื่อตัวเองลำบาก ก็รีบแบมือขอเงินจากเรา แม่ที่มีผู้ชายเข้ามาในชีวิตไม่หยุดหย่อน แม่ที่สร้างปัญหาให้เราไม่หยุด บางครั้ง เราเคยเข้าไปเกี่ยวข้องกับเรื่องของแม่แบบไม่ตั้งใจ เช่น แม่ไปได้แฟนเป็นเด็กหนุ่ม ที่มักทะเลาะกันเรื่องหึงหวง เราก็ต้องห้ามทัพ บางทีเสาร์อาทิตย์ เราออกจากหอมหาวิทยาลัยมาเยี่ยมแม่ ก็พบแฟนใหม่แม่ที่สั่งให้เราซักกางเกงในให้เขาที่เราแทบไม่รู้จัก

อย่างไรก็ตาม เราพยายามเลี้ยงดูแม่ตามความเหมาะสม ทุกวันนี้ เราให้เงินแม่เดือนละ 8,000 บาท แต่แม่บอกว่า ไม่พอใช้ แม่มาขอไปทำงานกลางคืนเราบอกว่า อย่าไปเลย มันไม่ใช่ย่านที่ดี และแม่ก็ไม่ใช่สาวๆ เหมือนก่อน แต่แม่บอกว่า แม่ต้องไป เพราะเงินไม่พอใช้ เราก็พูดไม่ออก เพราะเราคิดว่า ตัวคนเดียวกับเงิน 8,000 บาท มันน่าจะพอ และแม่ไม่มีภาระอื่นๆ เนื่องจากเราจ่ายให้ทั้งหมด เราคิดว่า การที่แม่มาบอกเราเรื่องจะไปทำงานกลางคืน ก็เพราะแม่อยากให้เราจ่ายให้เพิ่ม

ด้วยฐานะการเงินขณะนี้ เราให้แม่เพิ่มได้ แต่เราคิดว่า จำนวนที่ให้ มันเพียงพอแล้ว และเราจะต้องมีเงินเก็บเพื่ออนาคตของตัวเองเสียที หากเราให้แม่ ให้น้องแบบไม่หยุดหย่อน แล้วเมื่อไหร่เราจะมีเวลาสำหรับอนาคตของเราเอง ที่เมื่อแก่ลง คงไม่ใครเลี้ยง เพราะเราไม่มีครอบครัว

ถึงตอนนี้ เราเฝ้าคิดว่า เอาเถอะ ขอให้เจอะกันชาติเดียว ขออย่าได้เป็นพ่อแม่กันอีกต่อไปเลย และอดคิดไม่ได้ว่า หากแม่ตายไปก็คงจะดี เรารู้ว่า การคิดร้ายอย่างนี้มันบาป แต่เราอดทนกับแม่มานานตลอดชีวิต และไม่รู้ว่าเมื่อไหร่จะหมดความอดทน

ท่านที่ศึกษาศาสนา ก็พยายามบอกว่า การให้กำเนิด เป็นสิ่งสูงสุดที่เขาทำให้เรา คำตอบนี้เป็นคำตอบสุดท้ายจริงหรือ ผิดหรือที่เราจะไม่รักพ่อแม่ เราไม่ถึงกับเกลียดพวกเขา แต่คิดว่า ไม่อยากให้มาข้องเกี่ยวกันเลย ในกรณีของพ่อ เขารวยอยู่แล้ว เขาก็ไม่เอาอะไรจากเรา ก็โอเค ไม่ต้องติดต่อกันอีกตลอดชีวิต ส่วนแม่ เรายังต้องส่งเสียเลี้ยงดูกันต่อไป แต่แม่ก็ไม่เคยพอ ทั้งเรื่องเงิน เรื่องแฟน ทำให้เราอดคิดไม่ได้ว่า อยากลาจากกันไปเสียที จะได้ไม่ต้องมามีภาระต่อกัน แต่เราก็ทำอะไรมากไม่ได้ นอกจากพยายามส่งเสียให้เหมาะสมที่สุดเท่าที่จะทำได้ แต่คงไม่ให้มากไปกว่านี้

เรื่องยาวเหยียดของเราแบบนี้ เราอยากให้ความเห็นจากคนที่เป็นกลาง คนที่ไม่รู้จักกันอย่างในเว็บบอร์ดนี้ เราถึงได้ถอดล็อคอินมา เพราะไม่อยากได้ความเห็นจากคนที่รู้จักกันอยู่แล้ว

คุณๆ คิดอย่างไรกับเรื่องของเรา

จากคุณ : ขออภัยที่เรื่องยาว
เขียนเมื่อ : 6 ม.ค. 53 11:00:09 A:202.60.207.111 X: TicketID:232481




ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป



Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com