|
ความคิดเห็นที่ 1 |
จะเริ่มหนี้ละนะ
จนในที่สุดปี 2550 เราก็ตกลงจะแต่งงานกัน โดยที่คุณสามีในตอนนั้นแทบจะไม่มีเงินเลย เพราะอยู่ๆรถที่ใช้ในการทำงานก็มาพัง เงินที่เก็บไว้จะใช้ในการแต่งงานก็เอาไปซ่อมรถหมดจะไม่ซ่อมก็ไม่ได้ เพราะมันเป็นอุปกรณ์ทำมาหากิน จำได้ว่าตอนนั้นซ่อมรถไปเกือบแสน เพราะคุณชายเธอขับ BMW เงินที่มีก็เหลือเพียงเงินค่าสินสอดเท่านั้น
และแล้ววัฏจักรหนี้ก็เริ่มเกิดขึ้น เพราะพอจะแต่งงานเราก็สามีก็ตกลงกันว่าจะซื้อบ้าน ซึ่งตอนนั้นเงินเก็บที่มีก็เอามาลงกับบ้านหมด ผ่อนดาวน์ไปงวดละ 30,000 x 2 งวด แล้วก็เอาเข้าแบงค์ไทยพานิชย์ ถือเป็นหนี้ก้อนแรกในชีวิตของเรา ยอดผ่อนเดือนละ 16,000 บาท ซึ่งตอนนั้นพ่อกับแม่เราไม่เห็นด้วยเลย แต่เราก็อธิบายให้ฟังว่าซื้อบ้านถ้าจะรอซื้อสดชาตินี้คงไม่มีปัญญาได้ซื้อ ( บ้านพ่อแม่เราเป็นบ้านเก่าของปู่ย่าค่ะ )
ทีนี้พอมีบ้าน ก็ต้องมีซื้อของเข้าบ้านพอจะซื้อของเข้าบ้านของแต่ละอย่างก็มีโปรโมชั่นกับบัตรนู้นนี่นั่นมากมาย ไอ้สารพัดบัตรที่นอนนิ่งๆ อยู่ในลิ้นชักบ้านมาเนิ่นนานก็ถูกขุดออกมาใช้เพราะเห็นแก่ส่วนลด อีกทั้งรายการของแต่ละชิ้นค่อนข้างมีมูลค่าสูง คุณชายเราหัวสูงค่ะ เลือกแต่ของดีๆ เราสองคนก็ไม่มีปัญญาซื้อสดก็เลยต้องใช้บัตรเครดิต หวังจะผ่อนเอา แต่ก็ไม่ได้ทำเรื่องผ่อนไว้ ใช้วิธีจ่ายมากกว่าขั้นต่ำ
อีกทั้งจะแต่งงานทำไงดี ไม่มีเงิน ก็กู้สิคะ คุณสามีก็ไปทำเรื่องกับสินเชื่อส่วนบุคคล KTC ได้เงินมา 30,000 และ กรุงศรีอีก 30,000 และยังมีสินเชื่อที่ไทยพานิชย์แถมมาให้เรากับสามีอีกคนละ 1 ก้อน ไทยพานิชย์ของเราได้ 51,000 ของสามีได้ 41,000 บาท
สรุปเรากับสามีเป็นหนี้ก่อนแต่งงานตอนนั้นเกือบ 3 แสน ทั้งสินเชื่อส่วนบุคคล ทั้งบัตรเครดิต โดยที่พ่อกับแม่เราไม่เคยรู้เลย แต่ตอนนั้นเรากับสามีก็ไม่ได้เครียดอะไรมาก เพราะรายได้ยังเยอะพอสมควรสามารถชำระหนี้ไปได้เรื่อยๆ และยังมีความหวังว่าแต่งงานแล้วคงได้เงินช่วยงานมาแบ่งเบาหนี้ไปบ้าง
พอแต่งงานเสร็จ โชคของเรายังดี ตอนนั้นเราได้เงินช่วยมาทั้งหมด 4 แสนกว่า ( หนึ่งในนั้นคือเงินของคุณแม่สามีที่มารู้ทีหลังว่ากู้รับขวัญเรา 1 แสน ) เรียกได้ว่ารอดตายเลยทีเดียว ตอนนั้น ลัลล้ามากๆ แต่มันไม่จบตรงที่ว่าแทนที่เราจะเอาเงินทั้งหมดไปปิดหนี้ เรากลับไม่ทำแบบนั้น เราเอาเงินไปปิดหนี้บางส่วน เช่น พวกบัตรเครดิตเราปิดหมดเลย ปิด KTC ของสามี ทั้ง เครดิต และ สินเชื่อ และยกเลิกทั้งหมด ก็จะเหลือหนี้อยู่ 3 ก้อน ไม่รวมบ้านคือ
1. สินเชื่อกรุงศรี 30,000 ( ผ่อนเดือนละ 1,300 x 4 ปี ) อันนี้หักบัญชีธนาคารเงินเดือนสามี เราเลยไม่เห็นค่าของมันเท่าไหร่ ทุกวันนี้ก็ยังเหลืออยู่
2. สินเชื่อไทยพานิชย์ของเรา 51,000 ( ผ่อนเดือนละ 1,600 x 5 ปี )
3.สินเชื่อไทยพานิชย์ของสามี 41,000 ( ผ่อนเดือนละ 1,300 x 5 ปี )
เหลือเงินอยู่อีก แสนกว่าๆ ซึ่งสามีเราเป็นคนหัวการค้า และมีรายได้เสริมจากการซื้อขายรถมือ 2 ด้วย ซึ่งที่ผ่านมาสามีซื้อ-ขายแต่รถราคาไม่ถึงแสน ซึ่งก็ได้กำไรมาโดยตลอด แต่ไม่ได้ทำต่อเนื่อง อาศัยซื้อรถจากคนรู้จักแนะนำกันบ้าง ไปตีราคาตามโชว์รูมบ้าง ตอนนั้นเลยตัดสินใจขายรถฮอนด้า 3 ประตูของเรา เพื่อรวบรวมเงินที่ขายรถได้และเงินที่เหลือจากการแต่งงานไปประมูลรถมือสอง โดยตั้งใจว่าจะใช้วิธี ขับไปขายไป คือระหว่างยังขายไม่ได้ เราก็ใช้งานไป ถ้าขายได้ราคาเมื่อไหร่ก็ขาย รวบรวมเงินได้ 3 แสนกว่าๆ ไปประมูลรถ ฮอนด้าซีวิคปี 96 มาได้คันนึง เอามาซ่อมทำสีอะไรอีกก็ปาไปเกือบ 3.5 แสน ตอนนั้นก็อยู่กันด้วยความหวังมากมาย ประกาศขายรถผ่าน Internet กันทุกวัน แต่ก็ไม่มีคนซื้อ อาจเพราะเป็นจังหวะตลาดหงอยพอดี
จาก 1 เดือนเป็น 2 เดือน เป็น 3 เดือน ปาไปเกือบครึ่งปี นอกจากรถจะขายไม่ได้แล้ว รายได้สามีตอนนั้นก็ลดลงเนื่องจากนโยบายการจ่ายค่าคอมของบริษัทสามีเปลี่ยนไป แต่นิสัยเรากับสามีเป็นคนเที่ยวเก่ง กินข้าวห้าง ดูหนัง อาทิตย์ละ 2-3 รอบ เที่ยวต่างจังหวัดอีกเดือนละครั้ง เพื่อนเยอะมาก มีตติ้งกับเพื่อนๆทั้งเพื่อนเราบ้าง เพื่อนสามีบ้าง เดือนละหลายรอบ บัตรเครดิตที่ว่าไม่ค่อยได้ใช้ก็ถูกควักมาใช้เรื่อยๆ โดยที่แรกๆเราก็ไม่สบายใจ แต่คุณสามีก็พูดกรอกหูเรื่อยๆว่า เดี๋ยวก็จ่าย แค่ไม่เท่าไหร่เอง แม่เค้าก็ทำแบบนี้
เราก็เลยเลยตามเลย เพราะเราก็มีความสุขกับการใช้ชีวิตแบบนี้เหมือนกัน เพราะสมัยเราอยู่กับแม่เราก็เที่ยว กิน แบบนี้อยู่แล้ว พ่อแม่เราก็ชอบเที่ยวต่างจังหวัดเหมือนกัน มันเลยกลายเป็นนิสัยไปเลยต่างคนต่างไม่ท้วงกัน จนในที่สุดจากบัตรใบที่ 1 ก็เริ่มเป็นใบที่ 2 3 4 ตามแต่ใบไหนมีโปรโมชั่นกับอะไร บางอย่างจริงๆไม่จำเป็นต้องซื้อก็หาเหตุผลมาอ้างความจำเป็นเพราะอยากได้
มันมาแล้วเห็นไหม เผลอลืมตัวนิดเดียวเท่านั้น
จากคุณ |
:
*แชมพู*
|
เขียนเมื่อ |
:
21 ม.ค. 53 10:46:16
|
|
|
|
|