|
ความคิดเห็นที่ 12 |
คห 9 , 10 ครับ ขอโทษนะครับ จะไล่ให้เห็นง่ายๆ คนขายที่เขาครอบครองมาเลยเกิน 10 ปีแล้วครับ ตั้งแต่รุ่นแม่ของเขา จะร่วม 30 ปีกระมัง แล้วการที่ศาลจะตัดสินให้เป็นที่โดยปรปัักษ์ เขาไม่ถามทางที่ดินหรอกครับว่า คนที่อยู่ในที่ดินได้ครอบครองมาจริงหรือไม่ เพราะคนที่อยู่ในที่ดินเขาไม่มีความเกี่ยวพันกับทางสนง.ที่ดิน เพราะเขายังไม่มีเอกสารสิทธิ์ในการครอบครอง จึงเป็นการครอบครองที่ดินโดยไม่มีเอกสาร ฉะนั้นทางที่ดินก็ไม่สามารถจะรู้ได้ว่าได้มีการครอบครองกันตั้งแต่เมื่อไร แต่จะตรวจสอบจาก การเสียภาษีที่ดิน จาก องค์กรส่วนท้องถิ่น แต่ก่อนก็ที่อำเภอ หรือ อบต. แล้วแต่ใครมีหน้าที่จัดเก็บในพื้นที่นั้น ส่วนใหญ่การครอบกรรมสิทธิ ก็โดยการเสียภาษีไว้เพื่อให้มีหลักฐานนะครับ แล้วสอบถามจากคนที่มีความน่าเืชื่อถือในหมุ่บ้านหรือตำบลนั้นเช่น กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน และที่ใกล้เคียง แล้วแต่ผู้ครอบครองจะพามานำสืบ เพื่อสร้างความน่าเชื่อถือ เมื่อศาล เห็นว่ามีการยืนยันจาก เอกสารและพยานเหล่านี้แล้ว จะประกาศไว้ระยะหนึ่ง และไม่มีผู้ได้มาคัดค้าน ก็จะตัดสินให้เป็นการครอบครองโดยปรปักษ์ ผู้ครอบครอบก็เอาคำสั่งศาลไปให้สำนักงานที่ดินออกเอกสาร ซี่งก็เป็นการชอบด้วยกฎหมาย โดยตลอด ผู้ครอบครองมีสิทธิ์ที่จะทำอะไรในที่ดินนี้ก็ได้เมื่อมีเอกสารสิทธิ์แล้ว ผู้ครอบครองนำที่ดินไปขาย หรือจำนองก็ย่อมทำได้ ผู้ซื้อก็ได้ที่ไปโดยชอบ เมื่อมีการโอนกันเรียบร้อย แต่มันเกิดความผิดตั้งแต่ ผู้ครอบครองโดยปรปักษ์ ไปยอมความกับเจ้าของที่เดิม ว่าเป็นการดูแลแทน เมื่อเจ้าของที่เดิมมียื่นคำร้องต่อศาลให้ยกเลิกการครอบครองโดยปรปักษ์ ทั้งที่ตัวเองก็รับเงินไปแล้ว 10 ล้าน อย่างนี้มันเป็นเรื่องระหว่าง พระพยอม กับ คนที่เอาที่มาขาย 2 คนเท่านั้นครับ คนอื่นเขาไม่ต้องเกี่ยวด้วย แต่พระพยอมไม่ยอมฟ้องคนขาย ไม่เข้าใจว่าทำไมเหมือนกัน เงินตั้ง 10 ล้าน เอาไปทำอะไรหมด ยังไงๆ ก็ต้องฟ้อง ในเมื่อพระพยอมสละสิทธิ์ที่จะเอาผิดกับ คนผิด แต่ไปโทษคนอื่น โดยการออกพูดทางสื่อ เห็นว่าเป็นพระคนฟังแล้วก็คิดว่า่น่าเชื่อถือ ก็เลยสร้างกระแสกันใหญ่
จากคุณ |
:
rusifer (rusifer)
|
เขียนเมื่อ |
:
19 มิ.ย. 53 21:30:30
|
|
|
|
|