 |
ความคิดเห็นที่ 12 |
|
การดื่มน้ำเป็นพฤติกรรมที่คนส่วนใหญ่เข้าใจผิดมากที่สุด และการดื่มน้ำก็เป็นส่วนหนึ่งที่นำไปสู่การมีสุขภาพที่ดี
ในเรื่องวันแดงเดือดก็ได้เคยเล่าให้ฟังมาบ้างแล้ว ทำไมจึงปวดท้องทุกครั้งที่มีวันนั้นของเดือน สาเหตุหลักๆก็มาจากการดื่มน้ำไม่ถูกวิธีนั่นเอง
ผู้เขียนได้นำวิธีเหล่านี้ไปปฏิบัติด้วยตัวเอง เกิดผลดีก็อยากนำมาบอกต่อ เพราะเราทุกคนต้องเป็นหมอดูแลตัวเองกันอยู่แล้ว มาเริ่มกันเลยดีกว่าค่ะ
น้ำยิ่งดื่มเยอะยิ่งดี เป็นความเชื่อที่ผิด ทุกอย่างต่างมีทั้งคุณและโทษ ต้องหาจุดสมดุลพอดีๆ น้ำดื่มมากเกินไปกลับไม่ดี
คุณดื่มน้ำวันละกี่แก้ว ทุกคนคงเคยเรียนกันมาแล้ว ว่าคนเราวันหนึ่งควรดื่มน้ำวันละ 8-10 แก้ว นี่รวมน้ำที่มาจากอาหารที่ทานเข้าไปด้วย น้ำจะออกจากร่างกายทางปัสสาวะ อุจจาระ เหงื่อ และทางลมหายใจ แต่ออกทางปัสสาวะอย่างน้อย 500 มิลลิลิตรต่อวัน เพื่อชำระของเสียออกจากร่างกาย
นอกจากนี้อีกสามทางที่เหลือโดยเฉลี่ย ก็จำเป็นต้องใช้น้ำอีกราว 1000 มิลลิลิตร หรือ 1 ลิตร ต่อวัน เมื่อเป็นเช่นนั้นแล้ว คนเราจึงต้องดื่มน้ำเพื่อชดเชย ส่วนที่ออกจากร่างกายทุกวันราว 1500 มล . หรือ 7-8 แก้ว ( แก้วละ 200 มล .) แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นตัวเลขนี้ ก็ไม่สามารถใช้ได้กับทุกคน เราต้องดื่มน้ำปริมาณเท่าไรจึงจะเพียงพอ ต่อความต้องการของร่างกาย
สูตรคือ ( น้ำหนัก ตัว ( กก .) x 2.2 x 30) / 2 หน่วยที่ได้ออกมาเป็นมิลลิลิตร เช่น หนัก 60 กก . เอาเข้าแทนค่าก็จะได้ ควรดื่มน้ำ (60 x 2.2 x 30) / 2 = 1980 มล . หรือประมาณ 10 แก้วต่อวัน
ถ้าเราดื่มน้ำน้อยกว่านี้ เลือดซึ่ง 90% ทำมาจากน้ำก็จะไหลเวียนไม่สะดวก ร่างกายก็จะขับของเสียได้ยาก ขณะเดียวกัน สารอาหารในเลือดก็ส่งไปถึงร่างกายช้า ทางแพทย์จีนถ้าเกิดเลือดลมเดินไม่สะดวกนี่เป็นบ่อเกิดสารพัดโรคเลย บางคนบอกว่าประจำเดือนมาน้อยหรือไม่มา มาเป็นลิ่มเลือด สีเข้ม หนืด ปวดประจำเดือน สาเหตุหลักๆก็เพราะขาดน้ำ เพราะส่วนประกอบของเลือดก็มาจากน้ำ
น้ำที่ดื่มเป็นน้ำเย็น , น้ำธรรมดา หรือว่าน้ำอุ่น น้ำเย็นเป็นของต้องห้ามสำหรับร่างกาย กระเพาะเมื่อเจอของเย็นเข้าไปการทำงานจะด้อยลงทันที ในแพทย์แผนปัจจุบันก็บอกว่าทำให้น้ำย่อยเจือจาง แผนไทยก็บอกว่าไปดับธาตุไฟที่ไว้ช่วยย่อย เกิดเป็นอาหารไม่ย่อย อาหารบูดเน่า หมักหมมอยู่ในกระเพาะ เกิดเป็นแก๊ส ทำให้ท้องอืดอาหารไม่ย่อย ทำให้มีกลิ่นเหม็นเปรี้ยวละเหยออกมาทางลมหายใจ สุดท้ายลำไส้ก็ดูดซึมของเสียจากกากอาหารพวกนี้ กลับเข้าสู่กระแสเลือด ทำให้เกิดโรคร้ายต่างๆ
ดื่มน้ำวันละ 8-10 แก้ว ควรดื่มช่วงไหนดีที่สุด ตอนเช้าตื่นมาดื่มน้ำก่อนเลย 2-5 แก้ว เพื่อช่วยในการขับถ่ายอุจจาระ ปัสสาวะ ที่ให้ดื่มทันที เพื่อให้มีระยะเวลาห่างจากอาหารเช้าพอสมควร ก่อนอาหาร 15 นาที ระหว่างทานอาหาร และหลังอาหาร 40 นาที ทานน้ำได้ไม่เกินครึ่งแก้ว ในที่นี้หมายรวมถึงซุป น้ำแกง และของเหลวทุกประเภท
ในระหว่างวันอย่าดื่มน้ำครั้งละมากๆ ให้จิบครั้งละ 2-3 อึก แต่จิบถี่ๆหาขวดน้ำแก้วน้ำมาวางไว้ข้างตัว จิบไปทั้งวัน ถ้าดื่มน้ำครั้งละมากๆผลก็คือ ร่างกายยังไม่ทันได้ดูดซึมก็ไหลรวดเดียวปัสสาวะออกไปหมดแล้ว อย่างนี้ดื่มน้ำมากแค่ไหนก็ยังหิวน้ำ คุณหมอเคยบอกว่า ดื่มรวดเดียวคล้ายน้ำป่าไหลหลาก ร่างกายไม่สามารถกักเก็บน้ำไว้ได้ทัน
ลองสังเกตดูก็จะรู้ หากทานข้าวแล้วเรอออกมาหรือรู้สึกว่าท้องอืด แปลว่าในมื๊ออาหารดื่มน้ำเย็นเยอะไป อาหารจะย่อยยังไงมันก็เลยเกิดลมเกิดแก๊ส ดื่มน้ำก่อนนอนคุณหมอบอกว่าไม่ควรเช่นกัน จะทำให้เราปวดปัสสาวะในตอนดึก ทำให้พักผ่อนไม่เพียงพอ เปลี่ยนพฤติกรรมการดื่มน้ำใหม่ อาการเหล่านี้ก็ดีขึ้นเรื่อยๆ ลองดูนะคะ
มีอีกอย่าง หลังอาหารยังไม่ควรทานผลไม้ล้างปากทันที โดยเฉพาะผลไม้ที่มีฤทธิ์เย็นทั้งหลาย เช่น ส้ม แก้วมังกร สาลี่ แตงโม เป็นต้น
มีสองเหตุผล หนึ่ง เพราะว่าผลไม้จะย่อยเร็วกว่าอาหาร อาหารยังย่อยไม่เสร็จ ผลไม้ก็ค้างเติ่งอยู่ในกระเพาะ ร่างกายก็ดูดซึม สารอาหารจากผลไม้เหล่านี้ไม่ได้ พอไปถึงลำไส้ถึงคิวที่มันจะได้ดูดซึมมันก็เน่าเสียไปหมดแล้ว เพราะฉะนั้น ถ้าจะทานผลไม้ควรทานก่อนหรือหลังอาหารสัก 1-2 ชม . ขณะท้องว่างเพื่อให้ร่างกายได้ดูดซึมวิตามิน สารอาหารและไม่รบกวนระบบการย่อย
เหตุผลที่สอง คือ น้ำย่อยในกระเพาะถือว่าเป็นธาตุไฟ ถ้าทานผลไม้ฤทธิ์เย็นเข้าไปก็จะส่งผลให้อาหารย่อยไม่ดี ได้เช่นกัน
คงจะขัดอกขัดใจ ผู้ที่ชอบดื่มอะไรเย็นๆจำพวกน้ำอัดลม ชาเขียว กาแฟ ในมื๊ออาหารและผู้ที่ชอบทานผลไม้ตบท้าย ซึ่งผู้เขียนเองก็เผลอทำเป็นประจำเช่นกัน คุณหมอแดง ท่านย้ำนักย้ำหนาว่าน้ำเปล่าอุณหภูมิปกตินี่แหละค่ะดีที่สุด
เรื่องการดื่มน้ำ เป็นเรื่องใกล้ตัว ทุกคนคงจะทราบกันดีอยู่แล้ว แต่ก็อยากนำมากระตุ้นเตือน ให้นำไปปฏิบัติ ให้เป็นความเคยชิน เพื่อสุขภาพของตนเอง ลองฝึกดูนะคะ ทำบ่อยๆก็จะชินไปเอง
จากคุณ |
:
ใบไม้เบาหวิว
|
เขียนเมื่อ |
:
4 ก.ย. 53 06:21:50
|
|
|
|
 |