ความคิดเห็นที่ 1 รอ เฮีย อาฟมาตอบครับ ส่วนผมรออ่าน อบ่างเดียวเลยครับ อยากรู้เหมือนกัน จากคุณ : Julia-RoboT.JR เขียนเมื่อ : 17 ม.ค. 54 15:46:46

ความคิดเห็นที่ 2 Edit ขี้เกียจพิมพ์ล่ะ แก้ไขเมื่อ 17 ม.ค. 54 15:48:39 จากคุณ : ElvisPresleyLiverpoolFC เขียนเมื่อ : 17 ม.ค. 54 15:48:01

ความคิดเห็นที่ 3 ฟ้องล้มละลาย ทีนี้ นาย ก ก็จะทำงานเป็นลูกจ้างต่อไป ลงทุนทำอะไรลำบาก ถึงลงทุนได้ตอนนั้น เราก็ไป ทวงนี้ได้อีก ติดตามได้แม้จะพ้นล้มละลายแล้ว จากคุณ : นายโอ้นโต้น เขียนเมื่อ : 17 ม.ค. 54 15:53:48

ความคิดเห็นที่ 4 เวรกรรมมีจริง ทำอะไรก้อเจ๊ง เอาเงินเค้ามาแล้วไม่คืน มีแต่คนสาปแช่ง ตกนรกตั้งแต่ยังไม่ตายเลยครับ. จากคุณ : dupdanup (ดูบดานูป) เขียนเมื่อ : 17 ม.ค. 54 16:09:45

ความคิดเห็นที่ 5 ตอบคุณ dupdanup (ดูบดานูป) คือจริง ๆ ลูกหนี้มากมาย ที่ทำแบบนี้ และคิดว่าเป็นสิ่งที่ถูกต้อง กับการได้ลอดพ้นกฎหมายดังที่ตั้งข้อซักถามไป กระผมอยากทราบข้อเท็จจริงว่า ถ้าทำแบบด้านบนนั้น รอดจริง ๆ หรือไม่น่ะครับ? เรื่องบาปกรรมนั้นผมเชื่อ แต่มันมองไม่เห็นเป็นรูปธรรม. เช่น ถ้าโกงเจ้าหนี้ ต้องติดคุก หรือมีบทลงโทษที่ัชัดเจน ผมอ่านตัวกฎหมายแล้วจึงมีข้อสังเกตุดังคำถามด้านบน เช่นนี้แ้ล้วเรียกว่าช่องโหว่ของกฎหมายหรือไม่ครับ? แก้ไขเมื่อ 17 ม.ค. 54 16:17:47 จากคุณ : นักศึกษา (The Cole) เขียนเมื่อ : 17 ม.ค. 54 16:16:04

ความคิดเห็นที่ 6 ถ้า จะเอาติดคุกด้วย ก้ คงได้ในคดี อาญา ข้อที่ยักย้ายทรัพย์สิน ด้วยอีกรายการ ถ้าพิสูจน์ได้เช่น โอนบ้าน โอนรถ โอนทีดินหนี.. หลังจากที่เป็นหนี้แล้ว เข้าข่ายฉ้อโกง โดนหลายกระทงก็จัดให้อ่วมปเลยครับ มีตราบาปติดตัวขนาดนี้ คิดจะทำธุรกิจก็ลำบากแล้วหล่ะครับ จากคุณ : นายโอ้นโต้น เขียนเมื่อ : 17 ม.ค. 54 16:24:01

ความคิดเห็นที่ 7 แสดงว่าคุณ the cole ไม่ใช่นักศึกษากฎหมายสินะครับ เพราะที่คุณ the cole ถามมาคำตอบคือตรงกันข้ามกับที่คุณ the cole เข้าใจเลยครับ ยกตัวอย่างข้อ 1 ที่คุณถามไว้ แพ้คดีแล้วแม้จะโอนรถให้คนรู้จักคือแกล้งโอน เจ้าหนี้ก็ไปยึดมาชำระหนี้ได้ครับ แล้วค่อยให้เจ้าของมาร้องขัดทรัพย์เอาเอง แล้วศาลก็จะไต่สวนว่าคุณเป็นเจ้าของจริงไหม หรือเป็นของลูกหนี้ตามคำพิพากษา ถ้าศาลเห็นว่าแกล้งโอนกันศาลก็ยกคำร้องขัดทรัพย์แล้วก็ขายทอดตลาดรถของลูกหนี้ต่อไป ข้ออื่นขี้เกียจพิมพ์ แต่เอาสั้น ๆ คือ ที่คุณเข้าใจตรงข้ามกับข้อกฎหมายทั้งหมด จากคุณ : ElvisPresleyLiverpoolFC เขียนเมื่อ : 17 ม.ค. 54 16:31:28

ความคิดเห็นที่ 8 คือผมไม่แน่ใจน่ะครับ คุณ โอ้นโต้น ว่าเราสามารถทำอะไรกับเคสพวกนี้ได้บ้าง และแน่นอน มันมีค่าใช้จ่ายตามมาเรื่อย ๆ โดยผู้เสียหายคือเจ้าหนี้ ผมอยากมองเห็นความชัดเจน ทางกฎหมายว่า เราพอจะำทำอะไรได้บ้างน่ะครับ เท่าที่ผมทราบมาคือ ลูกหนี้มีสิทธิ์ขายรถ ที่เพิ่งโอนเงินเป็นชื่อเค้ามาด้วย เรียกได้ว่า หากเจ้าหนี้ อายัดไม่ทัน ลูกหนี้ก็สบายไป เคสดังกล่าว โกงเจ้าหนี้กันง่ายมากครับคือ ผมซื้อรถ ติดไฟแนนซ์ ลักษณะนี้เจ้าหนี้จะมาอาัยัดเราไม่ได้ จนกว่าเราจะผ่อนหมด และโอนชื่อเป็นของเรา เจ้าหนี้ไม่มีทางจับผมได้ว่า ผมจะเอาเงินก้อนมาโป๊ะให้หนี้หมดได้ตอนไหน เช่น กำหนดผ่อนหมดคือปลายปี แต่ผมจะโกงซะอย่าง ผมก็เอาเงินมาโป๊ะเลย ตอนกลางปี รถก็จะกลายเป็นของผม และผมก็เอารถไปขาย ได้เงินมากอดไว้ เป็นต้น ขนาดรู้ว่าขายรถ แล้วขาดทุน ก็ยอมขาดทุนเพื่อหนีหนี้ แทนที่จะเอาเงินที่ขาดทุนนั้นมาใช้หนี้เจ้าหนี้ ลูกหนี้ก็ยังจะขาย จากคุณ : The Cole เขียนเมื่อ : 17 ม.ค. 54 16:32:25

ความคิดเห็นที่ 9 ตอบคุณ ElvisPresleyLiverpoolFC ผมไม่ใช่นักศึกษา หรือเป็นนักกฎหมายครับ แต่พยายามศึกษากฎหมายตรงนี้อยู่ แต่ยิ่งอ่านยิ่งงง ยิ่งไม่เข้าใจครับ เพราะภาษากฎหมายนั้นยากมาก ๆ สำหรับผม ตีความเองคิดเองแล้วเพี้ยนมาก ๆ จึงนำมาสอบถามกับผู้ทรงวุฒิในที่นี้ช่วยชี้แนะ หากข้อซักถามในเบื้องต้น ชัดเจน มันจะเป็นประโยชน์กับตัว ลูกหนี้ และเจ้าหนี้ทุกคน เช่น ลูกหนี้ไม่ควรคิดหนี เป็นหนี้ต้องชำระ ยังไงก็ไม่รอด โดยไม่อ้างกฎแห่งกรรมเพราะหลาย ๆ คนไม่เชื่อเลย (ถ้าเชื่อกันจริงๆ ก็สมควรที่จะนำมาชำระ ให้เบาบางลง ไม่ควรหาช่องโหว่เพื่อหลบหนีถึงขนาดนี้) ส่วนเจ้าหนี้ ก็จะศรัทธาต่อกฎหมาย ไม่เข้าใจผิด ๆ ถูก ๆ และไปพูดให้กฎหมายอันศักดิ์สิทธิ์นั้นเสียหาย รบกวนเพื่อน ๆ พี่ ๆ น้อง ๆ ช่วยชี้แนะให้กระจ่างด้วยเถิดครับ แก้ไขเมื่อ 17 ม.ค. 54 16:56:04 แก้ไขเมื่อ 17 ม.ค. 54 16:43:53 จากคุณ : The Cole เขียนเมื่อ : 17 ม.ค. 54 16:36:05

ความคิดเห็นที่ 10 1. นาย ก. แพ้คดี และรู้ตัวว่าจะถูกนาย ข. บังคับคดี ทำเรื่องอายัดรถ จึงทำการโอนลอยรถคันดังกล่าวให้กับคนรู้จัก แต่ัตัวเองก็ยังใช้รถคันนี้เหมือนเดิม -ทำได้ครับ แต่หากภายหลังสืบทราบได้ว่าไม่ได้มีการซื้อขายกันจริง ก็อาจจะโดนอีกคดีได้ครับ แต่หากมีหลักฐานการชำระเงิน การซื้อขายนั้นก็สมบูรณ์ครับ ส่วนซื้อแล้วใครจะขับ ก็อีกเรื่องครับ ชื่อในทะเบียนยังเป็นของ นาย ก. แต่มีเอกสารยืนยันว่าขายไปแล้ว โดยการโอนลอย ลักษณะนี้ เจ้าหนี้ก็ทำอะไร นาย ก. ไม่ได้แล้ว ใช่หรือไม่ครับ? -โอนลอยก็คือยังไม่ได้โอนจริง(คือยังไม่มีผู้รับโอนในทะเบียน) เจ้าหนี้สืบเจอก็สามารถบังคับคดีได้ครับ ส่วนผู้ซื้อก็ต้องไปร้องขัดทรัพย์หรือเรียกเงินคืนจากนายก.ได้ครับ 2. นาย ก. ทำงานใน ธุรกิจ ที่ไม่มีการจดทะเบียนการค้า โดยตกลงกับนายจ้างว่า ให้นายจ้าง ให้เงินเดือนไม่เกินหนึ่งหมื่นบาท เพื่อเลี้ยงการถูก อายัดเงินเดือน แต่จริง ๆ แล้วได้เยอะกว่านั้นมาก ลักษณะดังกล่าว กฎหมายก็ไม่สามารถทำอะไร นาย ก. ได้แล้ว ใช่หรือไม่ครับ? -ถูกต้องครับ 3. นาย ก. คิดว่า การทำลักษณะดังกล่าวสองข้อข้างต้นได้ผลมาโดยตลอด ไม่มีการยึดทรัพย์เกิดขึ้น และจะทำต่อไปเรื่อย ๆ จนครบ 10 หมดอายุความ เพียงเท่านี้ นาย ก. ก็ไม่จำเป็นต้องเสียเงินเลยซักบาทเดียว ให้กับเจ้าหนี้ ความคิดดังกล่าวของ นาย ก. ถูกต้องหรือไม่ครับ? -ถูกต้องครับ 4. ในการทำเรื่องอายัดเงินเดือน และ ทรัพย์สิน ล้วนแต่มีค่าใช้จ่ายทั้งสิ้น หาก นาย ก. เปลี่ยนงาน หรือ เปลี่ยนบัญชีธนาคารไปเรื่อย ๆ โจทย์ ซึ่งเป็นเจ้าหนี้ ต้องทำเรื่องอายัดกับกรมบังคับคดีอีกหรือไม่ และมีค่าใช้จ่ายเพิ่มเติมอีกใช่หรือไม่ครับ? -เจ้าหนี้จะต้องเป็นผู้ตามสืบเองครับ ค่าใช้จ่ายก็น่าจะเกิดจากการจ้างสืบหรือจ้างทนายเพิ่มขึ้นครับ 5. กระผมเข้าใจว่า หลังจากทำเรื่องบังคับคดีแล้ว ทางกรมบังคับคดีจะทำการยึดทรัพย์ไปเรื่อย ๆ จนหมด ทั้งอายัดเงินเดือน และ อายัดทรัพย์ โดยไม่กำหนดเวลา กระผมเข้าใจถูกหรือไม่ครับ? แต่เราต้องตามสืบใหม่ หากลูกหนี้เปลี่ยนที่ทำงาน หรือมีทรัพย์สินอะไรเพิ่มเติมหลังจาก 10 ปีไปแล้วก็ยังตามยึดทรัพย์สินที่เกิดขึ้นใหม่ ๆ ได้ใช่หรือไม่ครับ? -ใช่ครับ หากยังไม่หมดอายุความ แต่หากอายุความต้องสะดุด ก็ขยายเวลาได้ครับ ลักษณะ 6 อายุความ หมวด 1 บทเบ็ดเสร็จทั่วไป มาตรา 193/9 สิทธิเรียกร้องใด ๆ ถ้ามิได้ใช้บังคับภายในระยะเวลา ที่กฎหมายกำหนด สิทธิเรียกร้องนั้นเป็นอันขาดอายุความ มาตรา 193/10 สิทธิเรียกร้องที่ขาดอายุความ ลูกหนี้มีสิทธิที่ จะปฏิเสธการชำระหนี้ตามสิทธิเรียกร้องนั้นได้ มาตรา 193/11 อายุความที่กฎหมายกำหนดไว้นั้น คู่กรณีจะ ตกลงกันให้งดใช้หรือขยายออกหรือย่นเข้าไม่ได้ มาตรา 193/12 อายุความให้เริ่มนับแต่ขณะที่อาจบังคับสิทธิ เรียกร้องได้เป็นต้นไป ถ้าเป็นสิทธิเรียกร้องให้งดเว้นกระทำการ อย่างใดให้เริ่มนับแต่เวลาแรกที่ฝ่าฝืนกระทำการนั้น มาตรา 193/13 สิทธิเรียกร้องที่เจ้าหนี้ยังไม่อาจบังคับได้จนกว่า จะได้ทวงถามให้ลูกหนี้ชำระหนี้ก่อน ให้เริ่มนับอายุความตั้งแต่เวลา แรกที่อาจทวงถามได้เป็นต้นไป แต่ถ้าลูกหนี้ยังไม่ต้องชำระหนี้จน กว่าระยะเวลาหนึ่งจะได้ล่วงพ้นไปแล้ว นับแต่เวลาที่ได้ทวงถามนั้น ให้เริ่มนับอายุความตั้งแต่ระยะเวลานั้นสิ้นสุดไปแล้ว มาตรา 193/14 อายุความย่อมสะดุดหยุดลงในกรณีดังต่อไปนี้ (1) ลูกหนี้รับสภาพหนี้ต่อเจ้าหนี้ตามสิทธิเรียกร้องโดยทำเป็น หนังสือรับสภาพหนี้ให้ ชำระหนี้ให้บางส่วน ชำระดอกเบี้ย ให้ประกัน หรือกระทำการใดๆ อันปราศจากข้อสงสัยแสดงให้เห็นเป็นปริยาย ว่ายอมรับสภาพหนี้ตามสิทธิเรียกร้อง (2) เจ้าหนี้ได้ฟ้องคดีเพื่อตั้งหลักฐานสิทธิเรียกร้องหรือเพื่อให้ชำระหนี้ (3) เจ้าหนี้ได้ยื่นคำขอรับชำระหนี้ในคดีล้มละลาย (4) เจ้าหนี้ได้มอบข้อพิพาทให้อนุญาโตตุลาการพิจารณา (5) เจ้าหนี้ได้กระทำการอื่นใดอันมีผลเป็นอย่างเดียวกันกับการฟ้องคดี มาตรา 193/15 เมื่ออายุความสะดุดหยุดลงแล้ว ระยะเวลาที่ล่วง ไปก่อนนั้นไม่นับเข้าในอายุความ เมื่อเหตุที่ทำให้อายุความสะดุดหยุดลงสิ้นสุดเวลาใด ให้เริ่มนับอายุ ความใหม่ตั้งแต่เวลานั้น มาตรา 193/16 หนี้ใดซึ่งตามมูลแห่งหนี้นั้น เจ้าหนี้จะได้รับ ชำระหนี้เป็นคราว ๆ เจ้าหนี้มีสิทธิเรียกให้ลูกหนี้ทำหนังสือรับสภาพ หนี้ให้ในเวลาใดเวลาหนึ่งก่อนอายุความครบบริบูรณ์เพื่อเป็นหลักฐาน ว่าอายุความสะดุดหยุดลง มาตรา 193/17 ในกรณีที่อายุความสะดุดหยุดลงเพราะเหตุตาม มาตรา 193/14 (2) หากคดีนั้นได้มีคำพิพากษาถึงที่สุดให้ยกคำฟ้อง หรือคดีเสร็จไปโดยการจำหน่ายคดีเพราะเหตุถอนฟ้องหรือทิ้งฟ้อง ให้ถือว่าอายุความไม่เคยสะดุดหยุดลง ในกรณีที่คดีนั้นศาลไม่รับ หรือคืนหรือให้ยกคำฟ้องเพราะเหตุคดี ไม่อยู่ในอำนาจศาล หรือศาลให้ยกคำฟ้องโดยไม่ตัดสิทธิโจทก์ที่จะฟ้อง ใหม่และปรากฏว่าอายุความครบกำหนดไปแล้วในระหว่างการพิจารณา หรือจะครบกำหนดภายในหกสิบวันนับแต่วันที่คำพิพากษาหรือคำสั่ง นั้นถึงที่สุด ให้เจ้าหนี้มีสิทธิฟ้องคดีเพื่อตั้งหลักฐานสิทธิเรียกร้อง หรือเพื่อให้ชำระหนี้ภายในหกสิบวันนับแต่วันที่คำพิพากษาหรือ คำสั่งนั้นถึงที่สุด อย่างไรก็โปรดรอความเห็นท่านอื่นประกอบด้วยนะครับ ปล.แก้ไขข้อ5ครับ ปล.คุณ Julia-RoboT.JR ผมไม่ได้เป็นนักกฏหมายนะครับ แค่มีความรู้นิดๆหน่อยๆน่ะครับ ^^ แก้ไขเมื่อ 17 ม.ค. 54 18:32:02 จากคุณ : aftertime เขียนเมื่อ : 17 ม.ค. 54 18:24:34

ความคิดเห็นที่ 11 ผมมีคดีที่เกิดขึ้นจริง และไม่เชื่อว่าแบงค์จะทำ คือแบงค์ฟ้องคดีอาญาลูกค้าครับ ลูกค้าแพ้คดี แล้วโอนที่ดินหนีครับ แบงค์แจ้งความดำเนินคดี ฐานโกงเจ้าหนี้และความผิดต่อเจ้าพนักงานยุติธรรม จากคุณ : เหน่งใส (yunyoo2961) เขียนเมื่อ : 17 ม.ค. 54 18:35:57

ความคิดเห็นที่ 12 ข้อ1.ข้อ2.ถ้า จขกท.นำสืบให้ศาลเชื่อข้อเท็จจริง ตามที่อ้างนั้น  ก็ยึดรถและอายัดเงินเดือนลูกหนี้ได้ และยังอาจฟ้องเอาผิดอาญาฐานโกงเจ้าหนี้ได้ด้วย ข้อ3.ข้อ4.ข้อ5. ตอบว่า ใช่ ทุกข้อ              ส่วนข้อคับข้องใจว่า มีลูกหนี้พยายามลบเลี่ยงการชำระหนี้ได้ด้วยวิธีการต่างๆนาๆนั้น ก็ต้องทำใจ มันเป็นเช่นนั้นเอง ดังนั้นจึงต้องระมัดระวังอย่าให้ใครเป็นหนี้ จากคุณ : NiyomC เขียนเมื่อ : 17 ม.ค. 54 19:32:08

ความคิดเห็นที่ 13 ขอบคุณ คุณ อาฟ มากมายเลยครับ ไม่ผิดหวังที่รอคอยคำตอบเลย มากกว่าที่หวังไว้ตั้งเยอะ ขอบคุณคุณอาฟ จริงๆ ตอบได้ดี ขยันพิมพ์มากๆ ท่าจะเสียเวลาเยอะเหมือนกันนะครับ กว่าจะพิมพ์เสร็จ 555+ จากคุณ : Julia-RoboT.JR เขียนเมื่อ : 17 ม.ค. 54 19:59:39

ความคิดเห็นที่ 14 ขออนุญาต อ้างอิงเวปดังนี้ และคัดลอกคำอธิบายบางส่วนมาให้ดูครับ ผมอ่านมาหลายเวป อธิบายไม่ตรงกันเลย เมื่อมาขอความรู้ที่เวปนี้ ก็ได้คำแนะนำจากคุณ ElvisPresleyLiverpoolFC ว่าสิ่งที่ผมเข้าใจนั้น ตรงข้ามทั้งหมด แต่ คุณ NiyomC และ คุณ aftertime แจ้งตรงกันว่า ข้อ 3,4,5 นั้นถูกต้อง เมื่อพยายามหาเวปต่าง ๆ ดู ก็รู้สึกไม่แน่ใจเข้าไปครับว่า แท้ที่จริงเป็นอย่างไรกันแน่ อ้างอิง : http://www.consumerthai.org/debt/index.php?option=com_fireboard&Itemid=10&func=view&catid=3&id=79818 ตอบ : เรื่องการบังคับคดี โดยทั่วไปเข้าใจกันว่า ถ้าหากครบกำหนดเวลา 10 ปีแล้ว เจ้าหนี้ตามคำพิพากษาจะหมดสิทธิในการบังคับคดี แต่ความในเป็นจริงแล้ว...หาได้เป็นเช่นนั้นไม่ เพราะถ้าหากเมื่อเจ้าหนี้ได้ทำการยื่นเรื่อง “บังคับคดี” ให้กับหน่วยงานราชการ ที่มีชื่อเรียกว่า “กรมบังคับคดี” ภายในระรยะเวลา 10 ปี นับตั้งแต่วันที่มีคำพิพากษาแล้ว...ก็ถือว่าเจ้าหนี้ได้ปฎิบัติหน้าที่ของ ตัวเอง ในการยื่นเรื่องเพื่อขอ “บังคับคดี” กับลูกหนี้เสร็จสิ้นแล้ว ดังนั้น ต่อมา...หากจะมีการยึดทรัพย์สินของจำเลย ซึ่งเป็นลูกหนี้ตามคำพิพากษาของศาล ต่อให้ระยะเวลาเกิน 10 ปีไปแล้วก็ตาม…ก็ยังสามารถตามยึดทรัพย์สินของลูกหนี้ได้ตลอดไป ไม่มีระยะเวลากำหนดอีกแล้ว(ยึดได้เรื่อยๆ จนกว่าหนี้จะหมด) เพราะเรื่องการบังคับคดี(ยึดทรัพย์)นี้ ได้ไปตกอยู่ในความควบคุมดูแลของ “กรมบังคับคดี” แล้ว...ไม่ได้อยู่ในมือของเจ้าหนี้อีกต่อไป จึงถือได้ว่า...เจ้าหนี้ได้ทำหน้าที่ “ยื่นเรื่อง” เพื่อขอ “บังคับคดี” เอาจากลูกหนี้ ภายในระยะเวลาตามที่กฏหมายกำหนดไว้เป็นที่เรียบร้อยแล้วนั่นเอง (เจ้าหนี้มีเวลาในการ“ยื่นเรื่อง”เพื่อขอ บังคับคดี ภายในระยะเวลา 10 ปี นับตั้งแต่วันมีคำพิพากษา...หากไม่รีบยื่นเรื่องภายในระยะเวลาดังกล่าว ก็จะไม่สามารถยื่นเรื่องได้อีกเลย เนื่องจากหมดระยะเวลาในการยื่นเรื่อง) อ้างอิงจาก : ป.วิ.แพ่ง มาตรา 271 ****จขกท สงสัยครับว่า ถ้ายื่นเรื่องแล้ว ในปีที่ 9 กรมบังคับคดีจะบังคดีไปเรื่อย ๆ แบบไม่จำกัดเวลา หลังจากนั้นในปีที่ 11 จขกท สามารถเยื่อนเรื่องอื่นอีกได้หรือไม่ครับ เช่น อายัดรถคันใหม่ที่เพิ่งสืบพบ หรือ อายัดเงินในบัญชีธนาคาร คำพิพากษาศาลฎีกา 4816/2528 การร้องขอให้บังคับตามคำพิพากษา ต้องดำเนินการตามขั้นตอน ขั้นแรกเจ้าหนี้ตามคำพิพากษาต้องขอให้ศาลออกหมายบังคับคดี ขั้นตอนต่อไปต้องให้เจ้าพนักงานบังคับคดีทราบว่าศาลได้ออกหมายบังคับคดีแล้ว และจากนั้นต้องแถลงต่อเจ้าพนักงานบังคับคดีขอให้ยึดทรัพย์สินของลูกหนี้ตาม คำพิพากษา เมื่อโจทก์ซึ่งเป็นเจ้าหนี้ตามคำพิพากษาได้ปฏิบัติหน้าที่ของตนครบถ้วนแล้ว ภายใน 10 ปีนับแต่วันมีคำพิพากษา ส่วนการที่เจ้าพนักงานบังคับคดีจะไปยึดทรัพย์เมื่อใดนั้น เป็นขั้นตอนการดำเนินงานของเจ้าพนักงานบังคับคดี แม้นเจ้าพนักงานบังคับคดีจะไปยึดทรัพย์จำเลยเกิน 10 ปี ก็ถือได้ว่าโจทก์ได้ร้องขอให้บังคับคดีตามคำพิพากษาภายใน 10 ปีแล้ว ดังนั้นเมื่อแพ้คดีมา 10 ปี แล้วเจ้าหนี้ยังยึดทรัพย์ได้ด้วยเหตุดังกล่าว แก้ไขเมื่อ 17 ม.ค. 54 20:21:15 จากคุณ : The Cole เขียนเมื่อ : 17 ม.ค. 54 20:15:38

ความคิดเห็นที่ 15 คุณ  The Cole เข้าใจถูกต้องแล้วครับ เข้าใจว่าข้อห้าผมลืมเคาะกับตกคำว่าคดีครับ  ขอโทษที่ทำให้สับสนครับ --' ................................................................................... 5. กระผมเข้าใจว่า หลังจากทำเรื่องบังคับคดีแล้ว ทางกรมบังคับคดีจะทำการยึดทรัพย์ไปเรื่อย ๆ จนหมด ทั้งอายัดเงินเดือน และ อายัดทรัพย์ โดยไม่กำหนดเวลา กระผมเข้าใจถูกหรือไม่ครับ? แต่เราต้องตามสืบใหม่ หากลูกหนี้เปลี่ยนที่ทำงาน หรือมีทรัพย์สินอะไรเพิ่มเติมหลังจาก 10 ปีไปแล้วก็ยังตามยึดทรัพย์สินที่เกิดขึ้นใหม่ ๆ ได้ใช่หรือไม่ครับ? -ใช่ครับ หากคดียังไม่หมดอายุความ แต่หากอายุความต้องสะดุด ก็ขยายเวลาได้ครับ """""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""" มาตรา 271 บัญญัติว่า "ถ้าคู่ความหรือบุคคลซึ่งเป็นฝ่ายแพ้คดี (ลูกหนี้ตามคำพิพากษา) มิได้ปฏิบัติตามคำพิพากษาหรือคำสั่งของศาลทั้งหมด หรือบางส่วน คู่ความหรือบุคคลซึ่งเป็นฝ่ายชนะ (เจ้าหนี้ตามคำพิพากษา) ชอบที่จะร้องขอให้บังคับคดีตามคำพิพากษา หรือคำสั่งนั้นได้ภายในสิบปีนับแต่วันมีคำพิพากษาหรือคำสั่ง โดยอาศัยและตามคำบังคับที่ออกตามคำพิพากษาหรือคำสั่งนั้น" จากคุณ : aftertime เขียนเมื่อ : 17 ม.ค. 54 21:45:45

ความคิดเห็นที่ 16 คุณ Julia-RoboT.JR ครับ ส่วนใหญ่จะก๊อปเอาครับ ไม่ค่อยได้พิมพ์ร่อก ^^ จากคุณ : aftertime เขียนเมื่อ : 17 ม.ค. 54 21:48:18

ความคิดเห็นที่ 17 เกี่ยวกับการบังคับคดีภายใน 10 ปีนั้น ผมขอมีความเห็นแย้ง ครับ หลักในการบังคับคดีนั้น มีหลักสำคัญอยู่ว่า ต้องทำการบังคับคดีภายใน 10 ปี นับแต่คำพิพากษาถึงที่สุด ซึ่งต้องทำตามขั้นตอนอย่างที่ท่านเข้าใจกันอยู่แล้ว หากทำการบังคับคดีเกิน 10 ปี ผลก็คือ ไม่สามารถบังคับได้ ?????? ทีนี้มีข้อสับสนกันอยู่มากเกี่ยวกับเรื่องของการบังคับคดีตามฎีกาที่ 4816/2528 ที่เห็นอ้างกันมาก ซึ่งในความเห็นผมเป็นการอ้างแต่เพียงส่วนสุดท้ายของคำวินิจฉัยของศาลฎีกา ที่ท่านได้กล่าวไว้อย่างนั้นในท้ายสุด ซึ่งเป็นเรื่องที่ศาลฎีกาได้ดูข้อเท็จจริงในภาพรวมหมดแล้วในข้อเท้จจริงนั้นๆ มาหมดแล้ว จึงชี้ขาดออกมาอย่างนั้น (แนะนำให้ไปอ่านข้อเท็จจริงทั้งหมด) การตั้งเรื่องบังคับคดีต้องตั้งเรื่องภายในกำหนด 10 ปี และเมื่อตั้งเรื่องแล้วก็ต้องมีขั้นตอนของการบังคับคดีจริงๆ ภายในระยะเวลา 10 ปี นี้ด้วย ส่วนการบังคับคดีจริงๆ ก็คือการนำยึด อายัด ทรัพย์สินของลูกหนี้ ฯลฯ เพื่อขายทอดตลาด  แล้วจะต้องมีการยึด อายัด ที่ทำเสร็จสมบูรณ์แล้วเช่นกัน เช่น ยึดรถยนต์ ก็ต้องยึดได้แล้ว หากเป็นที่ดิน หรือทรัพย์มีทะเบียน ก็ยึด ณ ที่ทำการโดยทำเรื่องที่กรมฯ ที่เดียวจบ.. เมื่อได้ทำการยึดทรัพย์ของลูกหนี้ดังที่กล่าวมาแล้ว เรื่องก็ถูกโยนไปให้เจ้าหน้าที่ทันที ดังนั้นเจ้าหน้าที่จะทำเรื่องเสร็จเมื่อไหร่ก็ช่าง เกิน 10 ปี ก็ไม่เป็นไร สามารถดำเนินการต่อให้เสร็จได้ เฉพาะทรัพย์สินที่ทำเรื่องยึดมาเท่านั้น ดังนั้นการทำเรื่องบังคับคดี จึงไม่ได้หมายความว่า เพียงแค่ตั้งเรื่องกับเจ้าหน้าที่แล้วจะจบขั้นตอน แล้วต่อไปจะยึดเอาอะไรก็ได้  จะต้องทำการแถลงนำยึดจริงๆด้วยเสมอ ทรัพย์ทั่วไปโจทก์ก็ต้องนำพาเจ้าหน้าที่ไปยึด ทรัพย์มีทะเบียนก็เอาเอกสารมายื่นให้ครบด้วยนะเออ.. ดังนั้น "5. กระผมเข้าใจว่า หลังจากทำเรื่องบังคับคดีแล้ว ทางกรมบังคับคดีจะทำการยึดทรัพย์ไปเรื่อย ๆ จนหมด ทั้งอายัดเงินเดือน และ อายัดทรัพย์ โดยไม่กำหนดเวลา กระผมเข้าใจถูกหรือไม่ครับ? แต่เราต้องตามสืบใหม่ หากลูกหนี้เปลี่ยนที่ทำงาน หรือมีทรัพย์สินอะไรเพิ่มเติมหลังจาก 10 ปีไปแล้วก็ยังตามยึดทรัพย์สินที่เกิดขึ้นใหม่ ๆ ได้ใช่หรือไม่ครับ?" -จึงมิใช่ดังที่เข้าใจ จากคุณ : jaktak เขียนเมื่อ : 17 ม.ค. 54 23:45:09

ความคิดเห็นที่ 18 ตามที่ฎีกา 4816/2528  ศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาเมื่อวันที่ 14 กุมภาพันธ์ 2516 และคำพิพากษาดังกล่าวเป็นที่สุด โจทก์ยื่นคำขอให้ศาลออกหมายบังคับคดีเมื่อวันที่ 22 สิงหาคม 2516 เจ้าพนักงานบังคับคดีทำการยึดทรัพย์จำนองขายทอดตลาดไปครั้งหนึ่งแล้ว ต่อมาวันที่ 17 มกราคม 2526 โจทก์ยื่นคำแถลงต่อเจ้าพนักงานบังคับคดีขอให้ยึดสิทธิการเช่าโทรศัพท์และบ้านของจำเลยที่ 2 และที่ 4   (โจทก์ทำภายใน 10 ปี ครบกำหนด 10 ปี วันที่ 14 กุมภาพันธ์ 2526 และการยึดสิทธิการเช่าโทรศัพท์และบ้านของจำเลยที่ 2 และที่ 4 เป็นการยึดที่สามารถทำโดยการยื่นเอกสารให้เจ้าหน้าที่ได้ทันที จึงถือว่าโจทก์ทำเรื่องยึดโดยสมบูรณ์แล้ว) ต่อมาเจ้าพนักงานบังคับคดีทำการยึดทรัพย์ดังกล่าวเมื่อวันที่ 15 มีนาคม 2526 (ดังจะเห็นได้ว่า เมื่อโจทก์ได้ทำเรื่องยึดเสร็จแล้วถือว่าได้ทำครบถ้วนกระบวนความตามกฎหมายแล้ว ดังนั้นเจ้าหน้าที่จะมีขั้นตอนการยึดในส่วนของเจ้าหน้าที่อย่างไง ก็ไม่เกี่ยวกับโจทก์แล้ว มันก็เลยเป็นไปตามคำวินิจฉัยของศาลฎีกา นั้นแล....) จากคุณ : jaktak เขียนเมื่อ : 18 ม.ค. 54 00:00:15