|
- ข้อสอบข้อแรกน่าจะยึดธงคำตอบมาจาก คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6436/2550 จำเลยที่ 1 ขายที่ดินพิพาทแก่โจทก์และส่งมอบการครอบครองให้แล้ว โดยไม่มีเจตนาที่จะทำสัญญาเป็นหนังสือจึงตกเป็นโมฆะ แต่ที่ดินพิพาทเป็นที่ดินมือเปล่า การที่จำเลยที่ 1 ส่งมอบการครอบครองเป็นการโอนการครอบครองที่ดินพิพาทแก่โจทก์ตาม ป.พ.พ. มาตรา 1378 ที่ดินพิพาทจึงเป็นของโจทก์ จำเลยที่ 1 ไม่มีสิทธินำไปจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์แก่จำเลยที่ 2 เพราะผู้รับโอนไม่มีสิทธิดีกว่าผู้โอน ---------------------------------- คำพิพากษาฎีกานี้ยกหลักกฎหมาย ผู้รับโอนไม่มีสิทธิดีกว่าผู้โอน มาปรับแก่คดี โดยไม่ได้ยกหลักคุ้มครองบุคคลภายนอกผู้สุจริต ตาม ป.พ.พ. มาตรา 1299 วรรคสอง มาใช้ ลองไปอ่านย่อคำพิพากษาดังกล่าวแล้ว จำเลยทั้งสองไม่ให้การต่อสู้ในประเด็นดังกล่าวไว้ ศาลจึงไม่ยกขึ้นวินิจฉัย แต่ข้อเท็จจริงตามข้อสอบไม่ชัดเจน หากบุคคลภายนอกสุจริตและเสียค่าตอบแทน ผลของคำพิพากษาน่าจะเปลี่ยนไปครับ
คำพิพากษาข้างต้นมีผู้เขียนหมายเหตุไว้ด้วย ลองอ่านดูนะครับ อาจจะยาวหน่อย หมายเหตุ คำพิพากษาศาลฎีกาหลายเรื่องอาศัยหลักผู้รับโอนไม่มีสิทธิดีกว่าผู้โอนในการวินิจฉัยคดี โดยกล่าวถึง "ผู้รับโอนไม่มีสิทธิดีกว่าผู้โอน" หรือ "หลักผู้รับโอนไม่มีสิทธิดีกว่าผู้โอน" เช่น คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 485/2472, 438/2495, 1346/2506, 683/2507, 1918-1926/2511, 472/2513, 2324/2516, 290/2520, 1673/2523, 1623/2525, 4731/2533, 2380/2535, 6544/2537, 5161/2539, 7007/2540, 6567/2541, 8661/2544, 1820/2545, 7393/2550 การนำหลักผู้รับโอนไม่มีสิทธิดีกว่าผู้โอนมาใช้ในกฎหมายไทยเป็นการใช้กฎหมายประเภทใด เนื่องจากการใช้กฎหมายนั้น ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 4 ให้ใช้บทบัญญัติแห่งกฎหมายตามตัวอักษรหรือกฎหมายลายลักษณ์อักษรก่อน เมื่อไม่มีกฎหมายลายลักษณ์อักษรที่จะยกมาปรับคดีให้วินิจฉัยคดีตามจารีตประเพณีแห่งท้องถิ่น ถ้าไม่มีจารีตประเพณีเช่นว่านั้นให้วินิจฉัยคดีอาศัยเทียบบทกฎหมายที่ใกล้เคียงอย่างยิ่ง ถ้าไม่มีบทกฎหมายที่จะเทียบเคียงได้ ก็ให้วินิจฉัยตามหลักกฎหมายทั่วไป
ข้อเท็จจริงในคดีที่มีการอ้างหลักผู้รับโอนไม่มีสิทธิดีกว่าผู้โอนส่วนมากจะเป็นกรณีที่ผู้โอนไม่ใช่เจ้าของทรัพย์สินที่โอน เป็นเหตุให้ผู้รับโอนไม่ได้กรรมสิทธิ์ในทรัพย์สินนั้น แต่ศาลฎีกาไม่ได้อ้างอิงว่านำหลักดังกล่าวมาจากบทบัญญัติของกฎหมายมาตราใดโดยเฉพาะ ในขณะที่คำพิพากษาศาลฎีกาบางเรื่องกล่าวไว้ชัดเจนว่าหลักผู้รับโอนไม่มีสิทธิดีกว่าผู้โอนเป็น "หลักกฎหมายทั่วไป" เช่น คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1346/2506, 472/2513, 7007/2540, 5640/2541 ทำให้เข้าใจว่าหลักผู้รับโอนไม่มีสิทธิดีกว่าผู้โอนไม่มีบัญญัติเป็นกฎหมายลายลักษณ์อักษรในระบบกฎหมายไทย และจะนำมาใช้วินิจฉัยคดีได้ในฐานะที่เป็นหลักกฎหมายทั่วไป (General principles of law)
มีความเห็น 2 ประการเกี่ยวกับความหมายของ "หลักกฎหมายทั่วไป" ความเห็นแรกถือว่าสุภาษิตกฎหมายที่เขียนเป็นภาษาละตินเป็นหลักกฎหมายทั่วไป เช่น สุภาษิตที่ว่า ผู้ซื้อต้องระวัง (Caveat emptor), ผู้รับโอนไม่มีสิทธิดีกว่าผู้โอน (Nemo dat quod non habet) ความเห็นที่สองถือว่าหลักกฎหมายทั่งไปได้แก่หลักกฎหมายที่ผู้ร่างประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์นำมาใช้ในการร่างประมวลกฎหมาย เมื่อนำบทมาตราต่าง ๆ หลาย ๆ มาตราที่บัญญัติสำหรับข้อเท็จจริงที่คล้ายคลึงกันมาพิจารณา ก็จะพบหลักกฎหมายทั่วไปที่ผู้ร่างนำมาใช้ เช่น หลักผู้รับโอนไม่มีสิทธิดีกว่าผู้โอน (หยุด แสงอุทัย, ความรู้เบื้องต้นเกี่ยวกับกฎหมายทั่วไป, กรุงเทพมหานคร : หจก.ยงพลเทรดดิ้ง, 2545, หน้า 135) ลำพังสุภาษิตกฎหมายละตินไม่ใช่หลักกฎหมายทั่วไปที่จะยกขึ้นมาปรับแก่คดีในฐานะนั้น เว้นแต่ศาลจะค้นพบ "หลักกฎหมายทั่วไป" ของไทยว่ามีข้อความตรงกับสุภาษิตกฎหมายละตินจากกฎหมายไทยทั้งหลาย โดยที่ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ได้ร่างขึ้นจากประมวลกฎหมายต่างประเทศ ซึ่งตัดตอนมาจากกฎหมายโรมัน สุภาษิตกฎหมายละตินจึงเป็นเครื่องมือทางอ้อมที่จะช่วยให้ศาลพบ "หลักกฎหมายทั่วไป" ของไทยได้เร็วขึ้น (หยุด แสงอุทัย, ช่องว่างแห่งกฎหมาย, บทบัณฑิตย์ เล่ม 10 ตอน 8 พฤษภาคม 2481) เมื่อพิจารณาความหมายของหลักกฎหมายทั่วไปตามความเห็นที่สองแล้ว จะเห็นได้ว่าบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์บางมาตราร่างขึ้นตามหลักกฎหมายทั่วไป โดยในส่วนของหลักผู้รับโอนไม่มีสิทธิดีกว่าผู้โอนมีบัญญัติไว้ เช่น ในเรื่องการโอนหนี้อันจะพึงต้องชำระแก่เจ้าหนี้โดยเฉพาะเจาะจง ถ้าลูกหนี้เพียงแต่ได้รับคำบอกกล่าวการโอน ลูกหนี้สามารถยกข้อต่อสู้ที่มีต่อผู้โอนก่อนเวลาที่ได้รับคำบอกกล่าวขึ้นต่อสู้ผู้รับโอนตามมาตรา 308 วรรคสอง หรือในกฎหมายลักษณะทรัพย์ การที่เจ้าของมีสิทธิจำหน่ายจ่ายโอนตามมาตรา 1336 ผู้รับโอนทรัพย์สินจากเจ้าของย่อมได้กรรมสิทธิ์ในทรัพย์สินที่โอน ในทางกลับกันถ้าผู้โอนทรัพย์สินไม่มีสิทธิจำหน่ายจ่ายโอน ผู้ที่มารับโอนทรัพย์สินจากบุคคลนั้นย่อมไม่ได้กรรมสิทธิ์ หลักผู้รับโอนไม่มีสิทธิดีกว่าผู้โอนในกรณีนี้จึงเป็นหลักเดียวกับสิทธิจำหน่ายจ่ายโอนตามมาตรา 1336 นั่นเอง (วิริยะ นามศิริพงศ์พันธุ์, คำอธิบายประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ บรรพ 4 ว่าด้วยทรัพย์สิน, กรุงเทพมหานคร : โรงพิมพ์เดือนตุลา, 2545, 2545, หน้า 241) การนำหลักผู้รับโอนไม่มีสิทธิดีกว่าผู้โอนมาปรับแก่ข้อเท็จจริงที่ว่าเมื่อผู้โอนไม่มีสิทธิจำหน่ายจ่ายโอน ผู้รับโอนย่อมไม่ได้สิทธิอะไรไป จึงเป็นการใช้มาตรา 1336 ซึ่งเป็นกฎหมายลายลักษณ์อักษรอันเป็นบ่อเกิดของกฎหมายในลำดับแรกตามมาตรา 4 มิใช่ใช้ในฐานะที่เป็น "หลักกฎหมายทั่วไป"
หลักผู้รับโอนไม่มีสิทธิดีกว่าผู้โอนตามมาตรา 1336 มีข้อยกเว้นตามมาตรา 1299 วรรคสอง ซึ่งเป็นหลักคุ้มครองบุคคลภายนอกที่ได้อสังหาริมทรัพย์ไปทางทะเบียนโดยสุจริตและเสียค่าตอบแทน สำหรับปัญหาว่ามาตรา 1299 วรรคสอง ใช้กับที่ดินมือเปล่าด้วยหรือไม่ เดิมเคยมีคำพิพากษาศาลฎีกาที่ 326/2495 วินิจฉัยว่า การซื้อขายที่ดินมือเปล่าโดยทำหนังสือและจดทะเบียน ถ้าผู้ซื้อซื้อโดยสุจริตย่อมได้ทรัพยสิทธิในที่ดิน ผู้มีทรัพยสิทธิในที่ดินนั้นมาก่อนแต่มิได้จดทะเบียน จะยกขึ้นเป็นข้อต่อสู้ผู้ซื้อโดยสุจริตไม่ได้ ต่อมามีคำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1758/2513, 3276/2533 และ 3194/2537 ตัดสินทำนองเดียวกันว่า ที่ดินที่มีเพียง น.ส.3 หรือ น.ส.3 ก. ไม่อาจนำมาตรา 1299 วรรคสอง มาปรับใช้ได้ เพราะไม่ใช่หนังสือสำคัญแสดงกรรมสิทธิ์ แต่ภายหลังได้มีคำพิพากษาศาลฎีกาที่ 427/2538 และ 2512/2549 นำมาตรา 1299 วรรคสอง มาใช้กับที่ดิน น.ส.3 และ น.ส.3 ก. ด้วย ทั้งนี้บุคคลภายนอกจะต้องกล่าวอ้างไว้ในคำฟ้องหรือยกขึ้นต่อสู้ในคำให้การโดยชัดแจ้งด้วยว่าตนรับโอนโดยสุจริตและเสียค่าตอบแทน มิฉะนั้นไม่มีประเด็นที่จะนำสืบให้ศาลวินิจฉัย และปัญหาดังกล่าวไม่ใช่ข้อกฎหมายอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชนที่ศาลจะยกขึ้นอ้างเองตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 142 (5) (คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1020/2485, 3705/2535) คดีนี้โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นเจ้าของที่ดินพิพาทโดยซื้อมาจากจำเลยที่ 1 ก่อนที่จำเลยที่ 1 จะจดทะเบียนโอนขายให้จำเลยที่ 2 จำเลยทั้งสองให้การว่า จำเลยที่ 1 ไม่เคยขายและมอบการครอบครองที่ดินพิพาทแก่โจทก์ แต่ขายให้แก่จำเลยที่ 2 คดีจึงมีประเด็นพิพาทว่าที่ดินพิพาทเป็นของโจทก์หรือไม่ ซึ่งศาลฎีกาได้วินิจฉัยในประเด็นดังกล่าวโดยฟังว่าจำเลยที่ 1 ขายที่ดินพิพาทให้โจทก์และส่งมอบการครอบครองแล้วที่ดินพิพาทจึงเป็นของโจทก์ เมื่อไม่มีประเด็นให้ศาลวินิจฉัยตามมาตรา 1299 วรรคสอง ซึ่งเป็นข้อยกเว้น ก็ต้องเป็นไปตามหลักทั่วไปที่ว่าผู้รับโอนไม่มีสิทธิดีกว่าผู้โอน โจทก์จึงเป็นฝ่ายชนะคดี คำพิพากษาศาลฎีกาเรื่องนี้จึงไม่ขัดกับฎีกาที่ 427/2538 และ 2512/2549 ดังกล่าวมาข้างต้น
เผ่าพันธ์ ชอบน้ำตาล
จากคุณ |
:
ใต้หล้า (นายตัวบท)
|
เขียนเมื่อ |
:
13 พ.ค. 54 10:13:46
|
|
|
|
|