ข่าวในอดีต
ภัยของแท็กซี่
ในยุคปัจจุบันที่ทางราชการได้พยายามหาหนทาง ให้ผู้โดยสารรถแท็กซี่ ปลอดภัยจากคนขับหรือโชเฟอร์ที่แปลงร่างมาจากโจร มีพฤติกรรมจี้ชิงทรัพย์ผู้โดยสารบ้าง พาผู้โดยสารที่เป็นสตรี ไปข่มขืนในที่เปลี่ยวบ้าง ด้วยการทำป้ายชื่อติดหน้ารถแผ่นโต เพื่อให้ผู้โดยสารจำหน้า จำชื่อ จำหมายเลขรถได้ แม้แต่เคยคิดที่จะทำกรงเหล็กกั้นระหว่างผู้โดยสารกับผู้ขับขี่ด้วยซ้ำ แต่ก็ไม่แน่ว่าจะป้องกันการก่ออาชญากรรมได้จริงหรือไม่
ความจริงภัยของผู้โดยสาร ที่จะเกิดจากฝีมือคนขับแท็กซี่นั้น น่าจะน้อยกว่าภัยที่คนขับรถแท็กซี่ จะได้รับจากผู้โดยสารเป็นหลายเท่า เพราะคนขับแท็กซี่ส่วนใหญ่เป็นผู้ที่ตั้งใจทำงาน หาเงินเลี้ยงครอบครัว เป็นพวกหาเช้ากินค่ำหรือดึก และต้องมีมาตรการที่รัดกุมอยู่แล้ว จึงจะเช่ารถเถ้าแก่มาวิ่งหากินได้ ส่วนผู้ที่ขับรถแท็กซี่เอกชนนั้น ก็น่าจะมีฐานะดีพอสมควร อาจจะดีกว่าผู้โดยสารบางคนเสียด้วยซ้ำ และผู้ร้ายที่จะขึ้นไปจี้ชิงทรัพย์คนขับแท็กซี่นั้น น่าจะทำได้ง่ายกว่าคนขับที่จะคิดประทุษร้ายผู้โดยสาร เป็นไหน ๆ
ยกตัวอย่างจากเหตุการณ์จริง ที่ปรากฏในหน้าหนังสือพิมพ์ เมื่อยี่สิบกว่าปีก่อน มาเป็นอุทาหรณ์ก็ได้ รายแรกเกิดขึ้นเมื่อ เวลา๐๑.๓๕ น.ของวันที่ ๓ มกราคม ๒๕๒๔ ขณะที่สายตรวจ สถานีตำรวจนครบาลทุ่งมหาเมฆ ได้นำกำลังเจ้าหน้าที่ออกตรวจบริเวณที่รับผิดชอบ มาจนถึงหน้าวัดช่องลม ถนนเลียบแม่น้ำเจ้าพระยาหรือรัชฎาภิเษก ก็พบชายคนหนึ่งยืนเลือดโชก อยู่ จึงเข้าไปสอบถามก็ได้ความว่า ชายผู้นั้นชื่อนายจวน อายุ ๔๕ ปี พักอยู่ในซอยสวนพลู มีบาดแผลถูกแทงที่บริเวณกกหูซ้าย ได้รับบาดเจ็บ
นายจวนให้การว่าตนเป็นคนขับรถแท็กซี่สีเขียวคาดเหลือง ก่อนเกิดเหตุได้รับชายสามคนมาจากสลัมคลองเตย ล็อคที่ ๑ ให้มาส่งแถวที่เกิดเหตุโดยตกลงราคากัน ๑๕ บาท พอมาถึงหน้าวัด ผู้โดยสารก็ให้ขับรถเลี้ยวเข้าไปในซอยเปลี่ยว นายจวนจึงไม่ยอมเข้าไป ชายทั้งสามคนจึงแปลงตัวเป็นโจรช่วยกันล็อคคอ และล้วงเงินในกระเป๋าไปทั้งหมด เมื่อนายจวนขัดขืนก็ช่วยกันซ้อมเสียจนสะบักสะบอม แถมเอามีดแทงกกหูซ้ายเลือดไหลโกรก ก่อนที่จะหลบหนีเข้าวัดไปหลัด ๆ
หัวหน้าสายตรวจจึงนำเจ้าหน้าที่ เข้าไปค้นหาคนร้ายในวัด ปรากฏว่าคนหนึ่งเห็นตำรวจก็วิ่งหนี จึงถูกจับกุมตัวไว้ได้ อีกคนหนึ่งเข้าไปซ่อนตัวในส้วมแต่เคราะห์ร้ายฝาส้วมแตก เลยหล่นลงไปจมอยู่ในสิ่งปฏิกูล ไม่สามารถหนีพ้นมือตำรวยสายตรวจไปได้ ส่วนอีกคนหนึ่งหาตัวไม่พบ
จากการสอบสวน ซึ่งคงจะเป็นเวลาภายหลังที่ให้คนร้ายอาบน้ำแล้ว ก็ได้ความว่าคนร้ายที่ถูกจับชื่อนายน้อย (นามสมมุติ) คนที่ตกส้วมชื่อนายดวง (นามสมมุติ) คนที่หนีรอดไปได้ชื่อนายตี๋ (นามสมมุติ) ทั้งสามคนเป็นกรรมกรก่อสร้างทางด่วนพิเศษ และสารภาพว่าได้เงินค่าจ้างไม่พอใช้ จึงร่วมมือกันปล้นแท็กซี่จริง เจ้าหน้าที่จึงควบคุมตัวทั้งสองโจรไว้ดำเนินคดี และส่งตัวโชเฟอร์ผู้เคราะห์ร้ายไปทำแผลที่โรงพยาบาลตำรวจ และจะได้ติดตามเอาตัวคนที่หนีมาให้ได้โดยกวดขันต่อไป ส่วนเงินของกลางที่ปล้นจี้มานั้น มีจำนวนเพียง ๔๔๐ บาทเท่านั้น
อีกรายหนึ่งเกิดเหตุเมื่อเวลา ๐๓.๐๐ น.ของวันที่ ๑๔ มกราคม พ.ศ.๒๕๒๔ เช่นเดียวกัน นายร้อยเวรสถานีตำรวจนครบาลทุ่งครุ ได้รับแจ้งว่ามีเหตุรถแท็กซี่ชนเสาไฟฟ้า และตกลงไปในคูน้ำ ที่ถนนราษฎร์พัฒนา แขวงทุ่งครุ เขตราษฎร์บูรณะ จึงรุดไปยังที่เกิดเหตุก็พบรถแท็กซี่สีน้ำเงิน ตกถนนจมน้ำอยู่ในคูข้างถนนครึ่งคัน เห็นมือคนขับโผล่ออกมานอกรถ เจ้าหน้าที่จึงลากรถขึ้นมาจากน้ำ ปรากฏว่าเจ้าของมือถูกอัดอยู่กับพวงมาลัยรถ ถึงแก่ความตายไปแล้ว ขณะเดียวกันชาวบ้านก็นำตัวชายอีกคนหนึ่งที่ยังอยู่ในอาการมึนเมาสุรา มาส่งให้เจ้าหน้าที่ควบคุมตัว พร้อมกับชายอีกคนหนึ่งซึ่งถูกแทงที่ลำตัวด้วยของมีคมกว่าสิบแผล ชายผู้นี้บอกกับเจ้าหน้าที่ว่า ตนเป็นคนขับรถแท็กซี่ ถูกชายสองคนที่กำลังเมาและเสียชีวิตแล้ว จี้เอารถและทำร้ายร่างกายบาดเจ็บ เจ้าหน้าที่จึงส่งตัวโชเฟอร์ผู้บาดเจ็บไปรักษาตัว ที่โรงพยาบาลศิริราช และควบคุมตัวชายขี้เมาไว้ กับให้มูลนิธิร่วมกตัญญูนำศพผู้ตาย ส่งสถาบันนิติเวช โรงพยาบาลตำรวจดำเนินการต่อไป
ต่อมาเจ้าหน้าที่ตำรวจสอบสวนได้ความว่า โชเฟอร์ผู้บาดเจ็บชื่อนายยุทธ ชายที่ยังไม่หายเมาชื่อนายสำลี (นามสมมุติ) และชายที่เสียชีวิตชื่อนายป้อม (นามสมมุติ) นายยุทธ ให้การว่าตนเองขับรถแท็กซี่เร่หาผู้โดยสารผ่านมาถึงสามแยก หน้าร้านขายข้าวต้มไม่มีชื่อ แถวอำเภอ พระประแดง จังหวัดสมุทรปราการ ก็เจอนายป้อมกับนายสำลีซึ่งมีอาการมึนเมา เรียกให้ไปส่งที่สถาบันเทคโนโลยี ถนนประชาอุทิศ ในราคา ๓๐ บาท โดยนายป้อมนั่งคู่กับคนขับ นายสำลีนั่งเบาะหลัง เมื่อรถถึงที่หมายทั้งสองบอกให้ขับเลยเข้าไปในซอยอีกหน่อย นายยุทธเห็นเป็นที่เปลี่ยวจึงไม่ยอมไป นายสำลีชักมีดออกมาจี้ แต่นายยุทธขัดขืนนายสำลีจึงระดมแทงไม่ยั้งนับสิบแผลเลือดไหลโชก ส่วนนายป้อมซึ่งนั่งข้างหน้าก็ล้วงเอาเงินในกระเป๋านายุทธไปหมด แล้วก็ช่วยกันเอาเชือกที่เตรียมมาด้วย มัดนายยุทธ และหามไปยัดใส่กระโปรงท้ายรถ แล้วนายป้อมก็ขับรถไปเอง
เมื่อนายป้อมขับรถมาถึงโค้งที่เกิดเหตุ ด้วยความที่ยังไม่สร่างเมา รถจึงเสียหลักพุ่งเข้าชนเสาไฟฟ้ากระเด็นตกลงไปในคู นายป้อมผู้ขับถูกอัดติดกับพวงมาลัยจมน้ำตาย ทั้ง ๆ ที่มือยังชูอยู่ ชาวบ้านที่วิ่งมาช่วยเหลือได้ยินเสียงทุบประโปรงด้านหลังที่อยู่พ้นน้ำ ก็ช่วยกันเปิดฝาออก ก็พบนายยุทธถูกมัดอยู่ และร้องบอกให้ชาวบ้านจับตัวนายสำลีที่เป็นคนร้ายไว้ นายสำลีก็ยังไม่หายเมาจึงหนีไม่พ้น เจ้าหน้าที่ตำรวจจึงควบคุมตัวนายสำลีไว้ดำเนินคดีต่อไป ส่วนเงินของนายยุทธที่ถูกนายป้อมล้วงเอาไป เป็นธนบัตรใบละ ๒๐ บาทเท่านั้น
นับว่าเป็นความโชคดีของโชเฟอร์ ที่คนร้ายมัดเอาไว้ในกระโปรงหลัง ซึ่งไม่ถูกน้ำท่วม มิฉะนั้นก็คงจะจมน้ำตายตามคนร้ายไปด้วยเป็นแน่
รายที่สามเหตุเกิดเมื่อเวลา ๐๐.๓๐ น. ของวันที่ ๑ กุมภาพันธ์ ๒๕๒๔ นายร้อยเวรสถานีตำรวจนครบาลทองหล่อ ได้รับแจ้งทางโทรศัพท์ว่า มีรถแท็กซี่วิ่งเข้าชนร้านตัดเสื้อ ในซอยกล้วยน้ำไท ถนนพระราม ๔ แขวงคลองเตย เขตพระโขนง มีคนขับตายอยู่ในรถ เจ้าหน้าที่ตำรวจพร้อมด้วยเจ้าหน้าที่ของมูลนิธิร่วมกตัญญู จึงไปยังที่เกิดเหตุ ก็พบรถแท็กซี่สีฟ้าหลังคาขาว จอดอยู่ในลักษณะพุ่งเข้าชนร้านตัดเสื้อ โดยประตูด้านคนขับเปิดอ้าอยู่ และมีร่างของชายคนขับหงายศรีษะตกไปอยู่ด้านล่าง ส่วนขาทั้งสองข้างยังพาดอยู่บนรถ มีบาดแผลถูกยิงด้วยปืนลูกซองพกเบอร์ ๑๒ ที่บริเวณโหนกแก็มซ้าย ๑ นัด กระสุนฝังใน เลือดอาบใบหน้าที่มีรอยเขม่าดินปืนติดเต็มไปหมด แสดงว่าผู้ตายถูกยิงในระยะประชิด
หลังจากเจ้าหน้าที่ดับสวิทช์เครื่องยนต์ที่ยังติดอยู่แล้ว จึงช่วยกันยกศพผู้ตายลงมาค้นร่างกาย พบเงินสดจำนวน ๑๙๐ บาท สร้อยคอแสตนเลสพร้อมพระเครื่อง ๖ องค์ ไฟแช็กแก๊ส ๑ อัน และใบขับขี่ระบุชื่อผู้ตายว่า นายชัยยงค์ อายุ ๓๖ ปี บ้านอยู่ที่แขวงทุ่งวัดดอน เขตยานนาวา เมื่อชันสูตรพลิกศพแล้ว ก็มอบให้เจ้าหน้าที่มูลนิธินำไปส่งให้สถาบันนิติเวชโรงพยาบาลตำรวจ ดำเนินการต่อไป
ต่อมาเจ้าหน้าที่ได้สอบปากคำ นายสุรินทร์อายุ ๓๗ ปี อาชีพขับรถบรรทุกเล็ก ผู้เห็นเหตุการณ์ ได้ความว่าก่อนเกิดเหตุตนกับเพื่อ ๒-๓ คน นั่งคุยกันอยู่บนรถ ซึ่งจอดอยู่หน้าตลาดกล้วยน้ำไท ได้เห็นรถแท็กซี่คันดังกล่าววิ่งผ่านไปช้า ๆ บนรถมีชายวัยรุ่นนั่งด้านหน้าหนึ่งคน เบาะหลังสองคน พอถึงที่เกิดเหตุก็มีเสียงดังปัง พร้อมกับรถแท็กซี่คันนั้นก็วิ่งพุ่งเข้าชนร้านตัดเสื้อดังกล่าว เสียงดังสนั่น หน้าหม้อรถฝังฝากระดานเข้าไปครึ่งคัน แล้วจึงจอดนิ่งโดยเครื่องยนต์ยังติดอยู่
นายสุรินทร์กับพวกเห็นดังนั้นก็ตกใจคิดว่ายางระเบิด แล้วเสียหลักพุ่งเข้าชนร้านตัดเสื้อ จึงวิ่งเข้าไปจะช่วยเหลือ ก็เห็นชายวัยรุ่นสามคนที่โดยสารรถแท็กซี่มานั้น กำลังก้ม ๆ เงย ๆ อยู่ข้างรถ เมื่อเหลือบมาเห็นพวกตน กลุ่มวัยรุ่นนั้นจึงผละไปเรียกรถแท็กซี่อีกคันหนึ่ง หนีไปอย่างเร่งรีบ จนกระทั่งพวกตนเข้าไปดูในรถจึงพบว่าคนขับถูกยิงตายคารถเสียแล้ว จึงโทรศัพท์แจ้งเจ้าหน้าที่ตำรวจ
หลังจากสอบปากคำนายสุรินทร์กับพวกที่เห็นเหตุการณ์ใกล้ชิดแล้ว เจ้าหน้าที่จึงสันนิษฐานว่า คนร้ายวัยรุ่นสามคนคงจะว่าจ้างรถนายชัยยงค์มาจากที่อื่น เมื่อถึงที่เกิดเหตุซึ่งมืดและเปลี่ยว กลุ่มคนร้ายจึงใช้ปืนจี้นายชัยยงค์เพื่อปล้นทรัพย์ แต่นายชัยยงค์ขัดขืนจึงถูกยิง แต่ก่อนจะสิ้นสติก็ได้หักพวงมาลัยรถพุ่งเข้าชนร้านตัดเสื้อ เพื่อให้กลุ่มคนร้ายได้รับบาดเจ็บด้วย แต่นายชัยยงค์ได้สิ้นใจเสียก่อน รถเลยหมดกำลังเร่ง ชนไม่แรงพอคนร้ายจึงไม่มีใครได้รับบาดเจ็บเลย และพากันหลบหนีไปได้อย่างลอยนวล โดยไม่ได้ทรัพย์สินไปแต่อย่างใดเลย ซึ่งเจ้าหน้าที่คงจะได้ติดตามอย่างกวดขัน เพื่อเอาตัวมาดำเนินคดีต่อไป
เรื่องที่เล่ามาทั้งหมดนี้เกิดขึ้น ถึงสามรายซ้อนในระยะเวลาห่างกันเพียงเดือนเดียว ย่อมแสดงชัดแล้วว่า ภัยของคนขับแท็กซี่นั้น มีมากกว่าภัยของผู้โดยสารอย่างแน่นอน.
#####
จากคุณ |
:
เจียวต้าย
|
เขียนเมื่อ |
:
9 มิ.ย. 54 09:07:54
|
|
|
|