ความคิดเห็นที่ 1 รัฐบีบคอนายจ้าง แล้วนายจ้างบีบคอลูกจ้างต่อ .................... มันเป็นวัฎจักระ........ อย่าไปกังวลเลยครับ  แรงงานด้อยคุณภาพแบบนี้ทำไม่นานเดี่ยวก็ออก  เขาตกงานก็ช่างเขาเถอะทำตัวเอง ............... คนพวกนี้มันหาทางเอาตัวรอดได้............... ยอมรับนะว่าแรงงานไทยมีทั้งดีและไม่ดี ที่ไม่ดีก็พวกอู้งานบ่อย หยุดงานบ่อย แต่ของแบบนี้อยู่ที่คนดูแล ว่าจะดูแลแรงงานของตนให้เป็นระบบระเบียบได้ไหม  ถ้าบริหารไม่ได้ก็ลงเอยที่บ่นๆมา .............   พวกบริษัทหรือโรงงานเขาต้องมีมาตราการเข้มข้นกับแรงงานมากขึ้น ไม่ปล่อยปะละเลย ทำให้พวกเกียร์ว่าง มันทำไม่ได้ และคนพวกนี้ต้องปรับสภาพได้เอง ก็เหมือนมีตัวกรอง เอาตะกอนแยกออกจากน้ำดี............. จากคุณ : ฟามลับ (ohiyo_eak) เขียนเมื่อ : 22 ก.ค. 54 12:05:03

ความคิดเห็นที่ 2 ผมมองว่าทุกวันนี้รายได้ต่อวันต่ำกว่า 300บาท เราคงดำรงชีวิตได้อย่างยากลำบากจริงๆครับ เพราะ ค่าใช้จ่ายทุกวันนี้สูงจริงๆ เรื่องแรงงานไม่มีฝีมือ หรือขี้เกียจ เป็นอีกเรื่องหนึ่ง แต่เรื่องค่าแรงขั้นต่ำเพื่อการดำรงชีพ ก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง ก่อนอื่น เราต้องให้แรงงานสามารถดำรงชีพได้ครับ เพราะ ถ้าเขาไม่มีชีพ แล้วคุณจะไปพัฒนาฝีมือเขาได้อย่างไร ผมก็จัดว่าอยู่ในกลุ่มนายจ้าง พนักงานในบริษัท ทุกคนก็รายได้เกิน 300บาทต่อวัน มาหลายปีแล้ว มีที่พัก(คุณภาพใช้ได้เลยทีเดียว) ข้าวสาร น้ำ ไฟ ให้พร้อม บริษัทผม ก็ยังอยู่ได้ ผมเชื่อว่าถ้านโยบายนี้ออกมา ช่วงแรกๆ บริษัทต่างๆจะได้รับผลกระทบอย่างแน่นอน แต่ไม่นานทุกบริษัท จะปรับตัวได้ ในระยะยาว ทุกอย่างจะดีขึ้นครับ จากคุณ : นายอุดม เขียนเมื่อ : 22 ก.ค. 54 12:11:25

ความคิดเห็นที่ 3 ทุกนโยบายในโลกนี้ ล้วนมีคนได้และมีคนเสียครับ แรงงานมีฝีมือหาไม่ยาก แต่คุณพร้อมจะจ่ายเขาหรือเปล่า (หรืออยากจ่ายแค่ไม่เกิน 300) ทุกวันนี้เมืองไทย แรงงานมันค่อนข้างไปในทางเละเทะ นั้นมันก็อยู่ด้วยเรื่องอุปสงค์ อุปทาน รายได้น้อย ไม่มีทุนซื้อเครื่องมือดีดี ทำงานหนัก ค่าครองชีพแพง...เขาก็ทำงานด้วยไม่นาน จากคุณ : นายโอ้นโต้น เขียนเมื่อ : 22 ก.ค. 54 12:15:32

ความคิดเห็นที่ 4 ขอตอบแบบชาวบ้านๆ ไม่วิชาการ ไม่อ้างอิงแนวคิดทางเศรฐศาสตร์ รัฐศาสตร์ ตอบแบบความเป็นจริงในโลกใบนี้ โดยส่วนตัว......เราว่าเรื่องพัฒนฝีมือแรงงาน รัฐบาลก็ทำอยู่เป็นอาจิณมาแต่ไหนแต่ไรแล้ว อบรมฟรีไม่เสียกะตังค์ด้วย ตามศูนย์อบรมแรงงานตามเขตต่างๆอ่ะ แต่การกระจายความรู้ คิดว่ามันคงไม่สามารถทั่วถึงได้ เพราะบางคนมีเวลา แต่บางคนไม่ก็ไม่มีเวลาที่จะไปอบรม เว้นแต่ว่ารัฐบาลจะส่งผู้เชี่ยวชาญไปสอนให้กับทุกๆองค์กรฟรีๆ หรือไม่รัฐอาจจะส่งงบประมาณให้บรรดานายจ้าง ว่าอันนี้เป็นงบอบรมนะ อบรมๆนะจ๊ะ ห้ามไปทำอย่างอื่น นั่นแหละ โดยส่วนตัวจะมีนายจ้างซักกี่รายที่เห็นแก่แรงงานอย่างแท้จริง หากเรามองโลกในแง่ร้ายสุดๆ งบประมาณตรงนั้นมันจะถึงแรงงานมั๊ย? แรงงานจะได้รับการอบรมมั๊ย? นายจ้างจะงุบงิบเงินไว้เองมั๊ย? ไม่ก็อบรมให้นะ แต่ไม่เต็มร้อย เงินบางส่วนพวกนายจ้างมันก็เก็บไว้เอง นี่คือแบบมองโลกในแง่ร้ายสุดๆนะ การเพิ่มเป็นค่าแรงขั้นต่ำเป็น ๓๐๐ น่ะมันยุติธรรมสุดแล้ว เพราะมันเป็นกฎที่ตั้งออกมา และแรงงานทุกคนได้รับ ทุกวันนี้แค่ออกจากบ้านแค่ขึ้นรถเมล์ทีก็ปาไปเป็นร้อยๆแล้ว ยังไม่รวมค่ากินแต่ละมื้ออีก และบางส่วนของแรงงานพวกนี้ก็ยังต้องเช่าบ้านอยู่อีก ไม่มีบ้านเป็นของตัวเอง เงินเดือนนิดเดียวค่าเช่าบ้าน ค่ากิน ค่ารถค่ารา ส่งเงินให้ครอบครัว ถ้าเป็นคนทำงานแล้วจะรู้ว่าชีวิตจริงมันมีค่าใช้จ่ายอะไรมากมายกว่านั้น ทั้งจำเป็น และไม่จำเป็น พวกที่เรียนหนังสือยังไม่ใช่วัยทำงานไม่รู้หรอก ตอนเราเรียนหนังสือก็ไม่รู้เหมือนกัน คิดว่าผู้ใหญ่มันจะจ่ายเงินอะไรนักหนาวะ? แต่พอทำงานก็ถึงรู้ เช่น ค่าทำบุญ ค่าเติมเงินมือถือ ค่าพยาบาลบางทีมันก็ต้องควักเองบ้างหากฉุกเฉินจริงๆ ค่าน้ำ ค่าไฟ มีงานแต่งก็ต้องใส่ซองบ้าง มีงานบวชก็ต้องช่วยกันบ้าง แม้แต่งานศพ ฯลฯ อีกมากมาย พูดตรงๆแบบมนุษย์ปุถุชนที่เห็นแก่ตัว บางทีพวกนี้ก็ไม่อยากจะช่วยจ่ายหรอกนะคะ เงินช่วยต่างๆน่ะ แต่ด้วยเพราะเราต้องอยู่ร่วมกับคนอื่นๆในสังคม ไม่ได้อยู่คนเดียวในโลก มันก็ต้องเสียเงินกับเรื่องแบบนี้บ้าง ยิ่งเงินเดือนเราเยอะ จะให้ใส่ซอง ๒๐ บาท คนเรานะความละอายใจมันต้องมีค่ะ อย่างน้อย ๑๐๐ นึง ก็ยังดีนะคะ แต่เงิน ๑๐๐ น่ะมันเงินมั๊ยคะ? ซื้อข้าวกินได้ก็สองจานแหละ อันนี้แค่ยกตัวอย่างเท่านั้น บอกแล้วว่ามองแบบชาวบ้านๆ อย่างน้อยก็ ชีวิตจริงน่ะมันมีอะไรมากกว่า ค่ากิน ค่ารถ ค่าเช่าบ้านนะคะ พูดตรงๆ ไม่เคยจนไม่รู้หรอก ทุกวันนี้พวกรวยๆมีเงินเดือนสูงๆ บางคนเงินเดือนเป็นหมื่นๆเหยียบแสน มันยังไม่พอใช้กันเลย แล้วนี่วันละ ๓๐๐ บาท เดือนหนึ่งถ้าทำกันเต็มๆเป็นหุ่นยนต์ทั้งเดือน ก็ ๙ พันบาท ถ้าคนเป็นโสดใช้ก็คงจะพอเพราะโสดไม่ต้องมีภาระ แต่คนมีครอบครัวล่ะ มีลูกเต้า มีพ่อแม่ มีเมีย ๙ พันบาทนี่มันก็ไม่เยอะเลยนะ ยิ่งมีลูกไหนจะค่าเทอม ค่าขนม ค่านู่นค่านี่ ขอโทษนะเรื่องจริงน่ะ เรียนฟรีมันไม่มีจริงนะจ๊ะ เรื่องค่าแรงขั้นต่ำ เข้าใจคำว่าขั้นต่ำไหม? โดยส่วนตัว ถ้าเป็นแรงงานผู้มีฝีมือดี ค่าแรงขั้นต่ำ ๓๐๐ มันยังน้อยไปด้วยซ้ำ เราว่ายิ่งเป็นแรงงานที่เก่งมากๆควรจะได้ค่าแรง ไม่ต่ำกว่า ๕๐๐ บาทด้วยซ้ำไป จากทั้งหมดที่กล่าวมามองในมุมมองของคนที่ทำงานแลกเงินอ่ะค่ะ จะให้อธิบายแบบรัฐศาสตร์เศรษศาสตร์มีสาระเหลือล้น เราอธิบายไม่เป็นหรอกค่ะ แต่เรามีการศึกษาค่ะ จบปริญญา บอกไว้ก่อน จากคุณ : นารีพินิจ เขียนเมื่อ : 22 ก.ค. 54 12:16:07

ความคิดเห็นที่ 5 ตกลงจขกท.เป็นคนงานหรือเปล่าครับ เห็นบอกว่ากำลังเก็บกระเป๋าเตรียมหางานใหม่ แล้วรากหญ้าในความหมายของจขกท.คือใคร คนที่ตกเย็น ก็ตั้งวงกินเหล้า จีบสาว โทรศัพท์ อันนี้มีเฉพาะแรงงานระดับล่างหรือครับ คนที่ขยันขันแข็ง ตั้งใจทำงาน ไม่มีหรือ แล้วชนชั้นกลาง หรือชนชั้นสูง ที่ใช้เวลางานคุยเรื่องส่วนตัว เล่นเฟสบุ๊ค คุย MSNไม่มีหรือไงครับ มันต่างกันตรงไหน ทุกสังคมทุกชนชั้นก็ย่อมมีผู้คนหลากหลาย แล้วคุณใช้อะไรวัดคุณค่าของคน ผมก็คิดแค่ว่า ถ้าค่าใช้จ่ายสำหรับดำรงชีพ อย่างเหมาะสมของคนไทย ที่พอจะลืมตาอ้าปากมีเงินเก็บเงินออมกับเค้าได้บ้าง เท่ากับ 300  เค้าก็ควรจะได้ 300ครับ ส่วนรัฐบาลจะมีมาตรการอะไรบ้าง เพื่อรองรับผลกระทบที่จะตามมา ก็เป็นหน้าที่ของรัฐบาลที่จะต้องทำอย่างเต็มความสามารถ และก็ต้องคิดไว้เรียบร้อยแล้วก่อนประกาศเป็นนโยบายออกมา หากไม่กล้าทำเพราะกลัวกระแสการต่อต้าน ผมก็ถือว่าหลอกลวงพวกรากหญ้าอย่างผมเหมือนกัน ปล.วันนี้วันหยุดผมครับ ไม่ใช่เวลางาน จากคุณ : แสนเชิง เขียนเมื่อ : 22 ก.ค. 54 12:19:43

ความคิดเห็นที่ 6 ก็ใช้นโยบาย "จ้างวันเว้นวัน" แต่บีบให้ลูกจ้างทำผลงานได้เท่ากับ 300 บาท ถ้าวันแรกทำไม่ได้ก็ให้วันที่สองทำต่อ แต่จ่ายแรงงานแค่วันเดียวเพราะวันแรกทำไม่เสร็จ ถ้าทำเสร็จก็ไปพัก ถ้าทำไม่ได้ก็ปลดออก นโยบายนี้เข้านโยบาย 300 บาท เพราะเราจ่ายค่าจ้าง 300 บาท/วัน แต่ไม่ได้จ้างทุกวันก็ไม่ต้องจ่ายทุกวัน ถ้าคนงานรับไม่ได้ก็ไม่ต้องมาทำงาน จากคุณ : TLL01 เขียนเมื่อ : 22 ก.ค. 54 12:56:11

ความคิดเห็นที่ 7 ลางานบ่อย ลาป่วย ลากิจ พ่อแม่ตาย ยังพอให้ลาได้ แต่นี่ เพื่อนบวช ป้าตาย (ไม่รู้มีกี่ป้า) ไม่สนใจว่างานบริษัทจะเป็นอย่างไร อ้าวคุณ  ค่าแรงรายวันไม่ใช่หรือ  แล้วปัจจุบันยังแค่ 220  เขาไม่ทำก็ไม่ได้เงิน ลาหยุดบ่อยๆก็อดตายไปแล้วสิ   สมมุติว่า แรงงานรายวันก็ทำเดือนหนึ่ง 20 วัน หยุด 10 วัน ก็ได้เงินเพียงแค่ 4400 บาท  ถ้าได้ 300 ก็แค่ 6000  อยู่ได้หรือ   ปกติคนทำงานกินเงินเดือนทั่วไป  ถ้าหยุดเสาร์ อาทิตย์ วันหยุดราชการ แล้วแถม ลาป่วย ลากิจธุระ ลาพักร้อน  แบบนานๆลาที  ก็ตกทำงานเดือนละ 20 วันเองนะ ถ้าทำวันเสาร์ก็ 24 วัน จากคุณ : คุณแม่ลูกสอง (P.Stone) เขียนเมื่อ : 22 ก.ค. 54 12:56:27

ความคิดเห็นที่ 8 จขกท. อ้างว่าโรงงานเฟอร์นิเจอร์ขนาดใหญ่ เลิกผลิตเอง แต่สั่งสินค้าจากจีน ดิฉันคงเห็นแย้ง เพราะตามที่ได้ติดต่อ และ ขายวัสดุบางรายการให้กับบริษัทเฟอร์นิเจอร์ใหญ่ๆ ขอบอกว่าไม่ใช่แค่ผลิตขายในประเทศเอง ยังผลิตส่งออกตปท. อีกด้วยค่ะ แม้แต่ Ikea ที่กำลังมาเปิดในเมืองไทย เค้าก็ผลิตในเมืองไทยมานานแล้วด้วย บริษัทอยู่แถมฉะเชิงเทรา โรงงานเฟอร์นิเจอร์ขนาดใหญ่ที่นนท์ ก็เพิ่งนำเข้าเครื่องจักรราคาหลายสิบล้าน เพียงเพื่อใช้ปิดผิว MDF ค่ะ อันนี้เข้าเรื่องแล้วนะคะ จขกท. จากคุณ : JNOY เขียนเมื่อ : 22 ก.ค. 54 13:44:39

ความคิดเห็นที่ 9 การ outsourse จ้างที่อื่นผลิต ย้ายฐานการผลิต เป็นเรื่องปกติในแง่ธุรกิจค่ะ อย่าเอาจีนมาอ้างค่ะ เพราะถ้าทำเอง ทุนมากกว่า แพงกว่า ผลงานอาจไม่ต่างกัน ของพวกนี้ไม่ได้ใช้ฝีมือมากมาย แต่เค้าใช้เทคโนโลยีเข้าช่วย แรงงานมีฝีมือนั้น ที่เห็น เขาอยู่ได้ด้วยตัวเองนะคะ มีงานตลอด มีอาชีพมาตั้งแต่สมัยโบราณ หรือมีฝีมือ มีความคิดอยู่แล้ว อย่าเอาไปปนกันคนใช้แรงงานทั่วไปที่ไร้ฝีมือ แถมขี้เกียจอีกค่ะ เรื่องการพัฒนาฝีมือนั้น เค้ามีตลอด แต่คนที่ทำ มีน้อยกว่าไม่ทำ ต้องยอมรับว่าคนไทยโดยสอนให้ แบมือขอ มากกว่าจะหากินเอง ถูกสอนให้เป็นลูกน้องเค้า เป็นลูกจ้าง เพราะเงินได้มาสม่ำเสมอ ไม่กล้าลงทุน เอาเรื่องเงินมาอ้าง แต่คนที่เค้ากล้าที่จะลอง เ้าประสบความสำเร็จมาก็เยอะ อ่านแล้วก็ยังงๆว่าจพด่าโรงงานไทย ด่าแรงงาน หรืออะไร จากคุณ : kangkakangka เขียนเมื่อ : 22 ก.ค. 54 13:56:54

ความคิดเห็นที่ 10 จขกท.ควรต้องเริ่มคิดจาก ค่าแรงขั้นต่ำปัจจุบัน มันเพียงพอกับการใข้ชีวิตในปัจจุบันมั้ย? เวลา จขกท.ไปซื้อผงซักฟอกในห้างราคาเท่าไรครับ? แล้วพอคนใช้แรงงานไปซื้อบ้างมันราคาเดียวกันมั้ยครับ? อย่าเพิ่งไปคุยเรื่อง300บาทเลยครับ เพราะเอาเข้าจริงๆอาจจะน้อยเกินไป 555 เปิดโลกทัศน์บ้างซิครับ แล้วสิ่งที่จขกท.ยกขึ้นมานั้น ผมว่ามันไร้สาระนะครับ จากคุณ : metung เขียนเมื่อ : 22 ก.ค. 54 13:59:23

ความคิดเห็นที่ 11 ก็มองในมุมนายจ้างฝ่ายเดียว รู้ว่ามีลูกน้องคนงานห่วยอย่างงี้แล้วเอาไว้ทำไมล่ะ ไล่ออกไปเลยซิ แต่ที่เห็นทุกวันนี้ไม่ว่าของมันจะขึ้นราคาไปที่เท่าไหร่ก็แล้วแต่ แต่เงินเดือน ค่าแรงมันถูกกดให้ต่ำลงตลอด แล้วมันจะสมดุลกับค่าใช้จ่ายได้อย่างไร ไอ้ธุรกิจส่วนใหญ่ที่กั๊กเงินเดือนค่าแรงไว้เป็นกำไร เป็นเงินสำรองหลังแบ่งกำไรกันแล้วน่ะเอามาพูดบ้างซิ ไปดูซิเมื่อสิบปีที่แล้วเงินเดือนสตาร์ทกันที่เท่าไหร่ ตอนนี้มันได้เพิ่ม ขึ้นหรือลดลง ปรับเงินเดือนปีละเท่าไหร่หรือไม่ปรับมากันกี่ปีแล้วเพราะไม่ยอมขาดทุน กำไร พนังงานบางคนได้เงินเดือนต่ำมากเจ้านายก็ทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ มึน พอได้งานใหม่เขียนใบ ลาก็เรียกไปคุยขึ้นเงินเดือนให้ แบบนี้เรียกว่าอะไร บางคนมีผลงานทำเงินที่หายไปปีละหลายสิบล้านคืนมาให้ ให้ค่าที่ปรึกษานิดหน่อยคุ้มมั๊ยเหมาะมั๊ย พนังงานมีความรู้ มีความสามารถ แต่กั๊กไม่ให้ตำแหน่งบริหารเก็บไว้ให้ลูกหลาน โคตรเง่าเหล่ากอทั้งๆ ที่ความสามารถไม่เหมาะสมแบบนี้เรียกว่าอะไร มันก็เอาเปรียบกันทั้งนั้นแหละ ยิ่งอยู่สูงกว่าก็ยิ่งมีโอกาสเอาเปรียบมากกว่าอย่ามาด่าลูกจ้างเลยค่ะไม่พอใจก็ไล่ออก จ้างออก มันห่วยจะเอาไว้ทำไมขนาดคนดีๆ ไม่ถูกใจยังพยายามบีบเอามันออกจนได้เลย บางคนมันเก่งเกินหน้าเกินตาเจ้านาย หมั่นไส้ก็หาเรื่องให้มันออก จริงมั๊ยคะเจ้านายยยยยยยยยยยยยยย เฮ้อเบื่อไอ้พวกนายทุนเห็นแก่ตัว อยากจะบอกว่าไอ้นโยบายค่าแรง 300 น่ะมันไม่ได้มีอะไรให้ตื่นเต้นหรอก อ่อนกันไปได้ทั้งประเทศหลายๆ บริษัทก็ได้ถึง เกิน หรือเกือบถึงกันมาตั้งนานแล้ว แต่ก็ยังมีไอ้พวกที่ถูกกดขี่อยู่พวกนี้มีเฮไง เจ้านายเลยขี้จะแตกให้ได้ จากคุณ : หญิงร้าย (nud jour) เขียนเมื่อ : 22 ก.ค. 54 14:02:42

ความคิดเห็นที่ 12 อยู่คนละมุม มองคนละมุมค่ะ ของอย่างนี้ จากคุณ : หมูหวาน2529 เขียนเมื่อ : 22 ก.ค. 54 15:04:32

ความคิดเห็นที่ 13 http://www.pantip.com/cafe/rajdumnern/topic/P10840734/P10840734.html จากคุณ : นารีพินิจ เขียนเมื่อ : 22 ก.ค. 54 15:35:30

ความคิดเห็นที่ 14 อ่านเข้าใจครับ ผมไม่ได้โง่อะไรขนาดนั้น ผมว่าคุณต่างหาก ทีสื่อออกมาได้สะเปะสะปะในกระทู้นั้น คุณพูดเรื่องการปรับตัวของผู้ประกอบการเผอร์นิเจอร์ สั่งของจากจีน เพราะค่าแรงที่นั่นถูกกว่าบ้านเรา (ผมมองว่ามันก็ต้องปรับตัวกันทุกภาคส่วนอยู่เสมอๆ ให้เป็นไปตามกระแสเศรษฐกิจ และการลงทุนของโลก) แล้วก็ต่อเนื่องไปถึงเรื่องรายย่อยที่ทำตามรายใหญ่ (แล้วทำไมจะทำตามไม่ได้ละ หากว่ามันดีกับธุรกิจของเขา มีกฏหมายห้ามการทำธุรกิจตามกันด้วยหรือ ?????) และต่อเนื่องไปถึงอุตสาหกรรมอื่นๆที่ต้องทำตามอุตสาหกรรมเฟอร์นิเจอร์ (เช่น อะไรบ้างละครับ คุณก็พูดไปเรื่อยเปื่อย ไม่ยกตัวอย่างอะไรเลย อุตสาหกรรมมันไม่ได้ขึ้นกับค่าแรงอย่างเดียว มันมีเรื่องของปัจจัยอื่นมากมาย ทั้งเรื่องของมาตรการภาษี, วัตถุดิบ, ความคุ้มในการลงทุน ฯลฯ) ไปจนถึงเรื่องของ เอสเอ็มอี (ที่ผมเห็นต่างเลยว่ากระทบน้อยมาก เพราะสเกลของการลงทุนมันผิดกันกับรายใหญ่ๆ จนถึงขนาดจะทำให้ต้นทุนค่าแรงขั้นต่ำกลายเป็นปัจจัยของการลงทุน) และลงท้ายว่าคุณเองอาจต้องตกงาน !!! คุณนั่นแหละครับ ที่สื่อสารได้สะเปะสะปะ ประเด็นไม่ชัดซักอย่างว่าจะพูดเรื่องอะไร แล้วยังจะมารู้สึกว่า "หลายความเห็น คงอ่านไม่ค่อยเข้าใจ" หากอยากให้คนอื่นเข้าใจ ก็สื่อสารให้ได้ประเด็นก่อนเถอะครับ จากคุณ : ตุ้ม แม็คคาร์ทนี่ย์ (Toom McCartney) เขียนเมื่อ : 22 ก.ค. 54 16:37:22

ความคิดเห็นที่ 15 ผู้ประกอบการเค้าไม่ได้ค้านจะขึ้นค่าแรง แต่ขอให้ ค่อยเป็นค่อยไป ไม่ใช่เพิ่มที่เดียวแบบนี้  มันไม่สมดุลกับระบบ จากคุณ : hug for love เขียนเมื่อ : 23 ก.ค. 54 07:18:47

ความคิดเห็นที่ 16 ก็แล้วแต่ความเห็นของแต่ละท่านละกัน คาดว่า ขึ้นเงินเป็นสามร้อยแล้ว ทุกฝ่ายจะดีขึ้น ก็ไม่มีปัญหา ขอให้ปัญหาต่างๆ คลี่คลายไปในทางที่ดีแล้วกัน ทั้งฝ่าย แรงงาน ที่อยากได้สามร้อย ก็ขอให้ฟังความเห็น ของฝ่ายนายจ้าง ฝ่าย นายจ้าง ก็อาจจะหาวิธีมาช่วยเหลือ การช่วยเหลือคนงาน อาจจะไม่ใช่แค่ ขึ้นค่าแรง มีวิธีอื่นอีกนะ ช่วยๆกันคิด จากคุณ : สายฝนในสายหมอก เขียนเมื่อ : 23 ก.ค. 54 17:29:14

ความคิดเห็นที่ 17 ช่วยกันคิด จากคุณ : สายฝนในสายหมอก เขียนเมื่อ : 23 ก.ค. 54 17:43:42

ความคิดเห็นที่ 18 “เอ็มแรป” หนุนรัฐขึ้นค่าจ้าง 300 บาท http://www.thairath.co.th/content/eco/188410 จากคุณ : นารีพินิจ เขียนเมื่อ : 24 ก.ค. 54 00:32:20