กว่าจะรู้เดียงสาก็อาจจะสายเกินแก้
กับสิ่งที่ผ่านมา แล้วผ่านไป สิ่งที่เราอยากกลับไปแก้ไขให้มันดี
ถ้าไปเปลี่ยนแปลงวันนั้น เราอาจไม่มีวันนี้ตัวเราที่เข้มแข็ง แข็งแรงกว่าเดิม
บางอย่างอาจพลาดไป เป็นสิ่งเอาไว้เตือนใจวันข้างหน้า
ถ้าวันใดเหตุการณ์เดิม เดิม ผ่านเข้ามา จะได้รู้ว่า ฉันเองได้เปลี่ยนไป
อาจต้องทนเจ็บ กับอดีตของตนเอง ไม่ว่าใครก็พลาดกันได้
อยู่ที่เราจะยอมรับ เรียนรู้ และเริ่มต้นใหม่ มันก็แค่สิ่งที่เคยผิดพลาดไปเท่านั้นเอง
Credit by K. jerkman
คนทุกคนย่อมจะมีอดีตกันทั้งนั้น อยู่ที่ว่าอดีตของคนนั้นจะสวยหรู หรือ สุดแย่ แค่ไหน จะน่าจดจำหรือไม่น่าจดจำอย่างไร เรื่องที่ดิฉันจะเล่าต่อไปนี้ ได้เกิดขึ้นจากประสบการณ์จริงจากการดำเนินชีวิตที่ผิดพลาด จากการมองเห็นความดี ทั้งรัก ทั้งหลง คนอื่นที่ไม่ใช่พ่อแม่และญาติพี่น้อง มองข้ามความรักและความหวังดี ทรยศย่อความรักที่พ่อกับแม่มีให้กับเรา จึงอยากแชร์ประสบการณ์ให้ผู้ที่ได้อ่านกระทู้นี้ ได้อ่าน และนำไปเป็นข้อคิดต่อการดำเนินชีวิตประจำวัน ยิ่งวัยรุ่นยิ่งดี จะได้อย่าเดินทางผิดแบบดิฉัน
ดิฉันเคยเข้ามาอ่านหรือมาเม้นในเวปไซด์นี้บ้างเป็นครั้งคราวแต่ส่วนใหญ่ก็จะแค่อ่านเท่านั้น ไม่ค่อยแสดงความคิดเห็นเท่าไรนัก ก่อนอื่นต้องขออภัยผู้อ่านทุกท่าน ที่บางครั้งอาจจะเล่าข้ามไปข้ามมา ทำให้ไม่เข้าใจในเนื้อหาบางตอน เพราะอาจจะเป็นมือใหม่และบางครั้งอาจจะนึกเหตุการณ์บางตอนนั้นไม่ค่อยละเอียดเท่าไร
ตอนนี้ดิฉันเพิ่งจะจบการศึกษาขั้นปริญญาตรี ด้วยวัยอายุเข้า 26 ปี ก่อนหน้านี้ย้ายคณะมาแล้ว 3 รอบ จากบัญชี มาบริหาร จากบริหาร ก็มาอยู่คณะมนุษยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเอกชนชื่อดังของประเทศ กว่าจะจบมาได้ก็เล่นเอาคนในครอบครัว พ่อ แม่ พี่น้องทั้ง 2 เสียใจ ซะจน ไม่รู้จะอธิบายออกมาเป็นคำพูดได้อย่างไร
ครอบครัวของดิฉันเป็นครอบครัวที่มีเชื้อสายคนจีนอยู่ 80 เปอร์เซ็นต์ อาก๋ง ทั้งฝั่งพ่อ และแม่ หอบเสื่อผืนหมอนใบนั่งเรือมาจากเมืองจีน ก๋งมาได้ย่าซึ่งเป็นคนไทยแท้ ส่วนทางยายก็เป็นลูกคนจีนที่มาลืมตาดูโลกที่เมืองไทย
พื้นฐานนิสัยของพ่อกับแม่
แม่ดิฉันเป็นลูกคนจีน มีพี่น้องทั้งหมด 7 คน แม่ดิฉันเป็นลุกสาวคนที่3แม่ฉันเป็นคนตัวเล็ก น้ำหนักประมาณ 40 กก.เอง เป็นคนอารมณ์ดี นิสัยดี ไม่เคยโกรธใคร เป็นคนที่ขยันมาก เรียนจบแค่ป.4 เพราะต้องทำงาน ค้าขายช่วยพี่ชายคนโตและคนรองหาเงิน เลี้ยงน้องอีก เช้าตี4ก็ต้องตื่นนอนไปรดน้ำผักและตัดสับปะรด แล้วก็พายเรือไปขายที่ตลาด
แม่เล่าให้ฟังว่าตั้งแต่เด็ก แม่เริ่มออกช่วยที่บ้านทำงาน เลี้ยงน้อง ต้องปลูกผัก ปลูกกล้วย ปลูกสับปะรด หาปลาไปขายที่ตลาด แม่บอกว่าเวลาหยุดเรียนคุณครูชอบมาตามที่บ้าน ให้ไปเรียน ตัวเองก็อยากเรียนใจจะขาด แต่ทำไงได้ น้องก็ต้องเลี้ยง ต้องขนผักขนปลาไปช่วยอาม่าขายอีก ถ้าตัวเองไปเรียน น้องๆจะเอาอะไรกิน แต่ก่อนบ้านแม่จนมากแต่แม่ก็ไม่เคยท้อไม่เคยถอย ถึงแม้บ้านจะจน อาม่ากะก๋งก็ไม่เคยสอนลูกให้ไปขอใครกิน ตั้งหน้าตั้งตาทำมาหากิน โดยมีอากู๋ (พี่ชายคนโตของแม่)เป็นหัวเรี่ยวหัวแรง ออกจากบ้านไปตั้งแต่ตัวเองยังเด็กเพื่อมาทำงานที่กรุงเทพ
แม่บอกว่าเงินเดือนกู๋ได้เท่าไร หักรายจ่ายที่ต้องจ่าย แล้วก็ส่งกลับบ้าน จะไม่เหลือเก็บ เพราะกลัวน้องๆอด จนกระทั่งแม่แต่งงานกับเตี่ย กู๋ก็มารับอาม่าและก๋งกับพวกน้องๆไปอยู่ที่ภาคอีสานของไทย เพราะไปสร้างเนื้อสร้างตัวทำอู่ซ่อมรถยนต์อยู่ที่นั่น ปัจจุบันนี้อาก๋งเสียไปแล้วตั้งแต่ฉันยังไม่เกิดเลย เสียดายเหมือนกันที่เกิดไม่ทันเห็นหน้าอาก๋ง
ตอนนี้อาม่าอายุ 95 และยังอาศัยอยู่ที่เดิม ส่วนแม่ตอนนี้ก็อายุ 65 ปัจจุบันนี้แม่ก็ยังไม่หยุดทำงานเช่นกัน ถึงแม้จะเลิกเลี้ยงหมูแล้วดิฉันกลับไปบ้านทีไร น้อยครั้งที่จะเห็นแม่อยู่บ้าน แม่จะอยู่ในสวนซะส่วนใหญ่
ส่วนพ่อ หรือเรียกกันว่าเตี่ย เรียนจบ ม.6 จากโรงเรียนวัดชื่อดังในกรุงเทพ โดยมีพี่ชายคนโตส่งให้เรียนจนจบ แต่เตี่ยไม่ยอมเรียนต่อปริญญา เพราะตอนนั้นคิดว่าเรียนจบแล้วก็ก็ต้องกลับมาดูแลสวนที่ก๋งทำไว้ และซึ่งเป็นลูกคนเล็กของบ้าน จะต้องอยู่ดูแลพ่อกับแม่ เห็นเตี่ยบอกว่างั้น เตี่ยเป็นคนซื่อสัตย์มาก เตี่ยบอกว่าตั้งแต่เกิดมาไม่เคยโกหกและขโมยของใครจนมาถึงทุกวันนี้ ต่อให้ไม่มีกินแค่ไหน แต่ก็จะไม่ก่อความเดือดร้อนให้กับใคร
แต่ข้อเสียของเตี่ย เยอะมาก นี่แหละมันจึงมีอิทธิพลในชีวิตของคนทั้งบ้านเป็นแบบนี้ เตี่ยมีนิสัยขี้โมโห เอาแต่ใจ ขี้โวยวาย สมัยเด็กๆ แม่เล่าให้ฟังว่าเตี่ยเอาแต่รำพัด(เล่นไพ่) วันๆๆไม่อยู่ช่วยแม่ทำงานที่บ้าน ชอบไปนั่งเล่น แล้วก็กินเหล้า กลับบ้านก็ดึก ตอนเย็นก็ไม่ยอมไปรับเฮียกับพี่สาวที่โรงเรียน ต้องให้ครูที่โรงเรียนขี่มอเตอร์ไซด์มาส่งที่บ้าน
วันๆนึงที่ฉันต้องอยู่บ้าน จะต้องได้ยินเสียงเตี่ยด่าแม่ ต้องใช้คำว่าด่าค่ะ ด่าเหมือนคนที่ไม่ใช่เมีย ด่าเหมือนแม่เป็นวัวเป็นควาย บางวันก็ทุบตีแม่ ตอนเด็กก็ช่วยห้ามแต่ห้ามไม่ไหว ใครก็สู้แรงเตี่ยไม่ได้ ตัวเขาใหญ่ มาก บางทีจับอะไรไม่ได้ก็เอารองเท้าของเขาเองนี่แหละเขวี้ยงใส่แม่(พิมพ์ไปน้ำตาไหลไปค่ะ)บางทีก็โดนหัว โดนหน้าอก โดนหน้า เห็นแล้ว เสียใจมากเลยค่ะ
บางทีพวกฉันทำผิดก็โดนกระทำเหมือนแม่เลยค่ะ เตี่ยจะเหลาไม้ไผ่เหน็บตามฝาข้างบ้านไว้ ถ้าใครดื้อก็จะเอาอันที่เหน็บไว้มาตี เฮียกะอาเจ้จะยืนให้ตีโดยดี แต่ฉันไม่เคยยอมยืนนิ่ง ให้เตี่ยตีซักครั้งเดียว วิ่งหนีตลอด รอบบ้านบ้าง เข้าหน้าบ้านออกหลังบ้านบ้าง รอบเสากลางบ้านบ้าง ก็ใครจะอยู่ให้ตีได้ล่ะคะ ใครไม่เคยก็ไม่รู้ เตี่ยตีฉัน ไม่ใช่แค่ตีให้แสบๆคันๆ เตี่ยตีเราแบบเราไม่ใช่ลูกตีเราชนิดที่ว่าโดนตีแล้วไม่กล้าใส่ขาสั้นออกจากบ้าน ขาเราเป็นรอยแนวไม้ไผ่ บางแนวก็มีเลือดซิบ ฉันนั่งร้องไห้เสียใจกับการที่เตี่ยตีฉันอยู่เป็นวันๆ
เท้าความจาก ความเป็นอยู่ที่บ้าน ครอบครัวดิฉันมีอาชีพเป็นเกษตรกร ปลูกมะม่วง เลี้ยงหมู เป็นฟาร์มเล็กๆมีแม่หมูอยู่ร้อยกว่าตัว ผลิตลูกหมูขายเพื่อให้ไปเลี้ยงต่อเป็นหมุเนื้อ ที่บ้านไม่มีลูกจ้าง ทำมาหากินเป็นอุตสาหกรรมครอบครัว อาศัยอยู่จังหวัดใกล้เคียงกับกรุงเทพนี่แหละ ฐานะที่บ้านปานกลาง มีฐานะเล็กน้อย การสร้างฐานะของครอบครัวก็มาจากการเลี้ยงหมู ทำให้พ่อแม่ดิฉันสามารถส่งพี่ชายและพี่สาวเรียนจบปริญญาตรีได้อย่างไม่ต้องไปเป็นหนี้เป็นสิน คนอื่น แต่ปัจจุบันนี้เลิกเลี้ยงหมูมาได้ 4ปีแล้ว เพราะภาวะเศรษฐกิจ และด้วยวัยของเตี่ยกับแม่ จึงทำให้ต้องเลิกเลี้ยง ไปปลุกห้องเช่าให้คนเช่าแทน ก่อนที่จะเลิกเลี้ยง น้องหมุเนี่ยแหละที่ให้บ้าน ให้รถ ทำให้ที่บ้านจากที่เคยต้องลำบาก กลับมีฐานะขึ้นมาไม่มี่ปี
ปล. แก้ไข ชื่อหัวข้อไม่ได้ซักทีค่ะ ทำยังไงดีคะ
แก้ไขเมื่อ 11 ต.ค. 54 10:11:30
แก้ไขเมื่อ 11 ต.ค. 54 10:08:46
แก้ไขเมื่อ 11 ต.ค. 54 00:02:08
แก้ไขเมื่อ 10 ต.ค. 54 22:42:10