Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com  


 
หรืออีก 5 ปี คนไทยต้องแบกหนี้สาธารณะท่วมเกิน 70% รู้ก่อน เตรียมตัวเร็ว ติดต่อทีมงาน

http://www.bangkokbiznews.com/home/detail/politics/opinion/keatanun/20111104/417267/news.html

นิวไทยแลนด์ = แดนแห่งหนี้ ?

เกียรติอนันต์ ล้วนแก้ว
คอลัมนิสต์ประจำหน้าทัศนะวิจารณ์ คอลัมน์ "หน้าต่างความคิด"


โครงการ “นิวไทยแลนด์” เป็นโครงการฟื้นฟูประเทศจากวิกฤติน้ำท่วมคราวนี้ คาดว่าจะใช้งบประมาณทั้งสิ้น 8 แสนล้านบาท

หาก รัฐบาลกู้เงินจำนวนนี้มาทั้งหมด คนไทยอายุ 15 ปีขึ้นไป ซึ่งถือว่าเป็นวัยทำงาน  จำนวน 53.8 ล้านคน จะต้องแบกรับภาระหนี้ของชาติเพิ่มขึ้นอีกคนละ 14,870 บาท เมื่อรวมกับภาระหนี้เดิมที่มีอยู่แล้วคนละประมาณ 79,000 บาท ภาระหนี้ทั้งหมดเพิ่มเป็น 93,870 บาท 
 

สำหรับคนที่รายได้เดือนละเจ็ดพันกว่าบาท ยอดหนี้ที่รวมเอาภาระหนี้จากโครงการนิวไทยแลนด์เข้าไปด้วย มีค่าเท่ากับการทำงานฟรีเป็นเวลาหนึ่งปีเลยทีเดียว
 

หลักเกณฑ์คร่าวๆ ในการประเมินหนี้สาธารณะว่าสูงหรือไม่ คือ เทียบว่ามูลค่าหนี้สาธารณะ คิดเป็นร้อยละเท่าใดของ GDP ซึ่งตามกรอบวินัยทางการคลังของไทย ถ้าหนี้ยังไม่ถึง 60% ของ GDP ก็ถือว่ายังปลอดภัยอยู่ 
 

อย่างไรก็ตาม เวลาเรามองการสร้างหนี้สาธารณะ เราต้องมองในมิติที่เปรียบเทียบกับประเทศเพื่อนบ้านที่เป็นคู่แข่งทางเศรษฐกิจของเราด้วย เพราะแม้ว่า หนี้จะยังอยู่ในกรอบวินัยทางการคลัง แต่ถ้าเทียบกับประเทศคู่แข่งแล้ว หนี้เราสูง แต่ความสามารถในการใช้คืนหนี้ต่ำ ใครที่ไหนเขาจะอยากมาลงทุนร่วมหัวจมท้ายกับเรา
 

จากข้อมูลในรูปที่นำเสนอ ยอดหนี้สาธารณะของไทยในขณะนี้อยู่ที่ประมาณ 41%  ของ GDP ซึ่งน้อยกว่าสิงคโปร์ มาเลเซีย เวียดนาม ฟิลิปปินส์ แต่ยังสูงกว่าอินโดนีเซีย

หากรัฐบาลกู้เงินจำนวน 8 แสนล้านบาทมาใช้ในโครงการนี้จะทำให้หนี้สาธารณะของไทยเพิ่มขึ้นเป็น 50% เมื่อเทียบกับ GDP เราจะแซงหน้าฟิลิปปินส์  ขึ้นมาไล่หลัง  สิงคโปร์  มาเลเซีย  และเวียดนาม
 

นอกจากยอดหนี้แล้ว ความสามารถในการชำระหนี้ยังเป็นอีกเรื่องหนึ่งที่ต้องนำมาพิจารณาควบคู่กันไปด้วย ประเทศไหนที่มีรายได้ต่อหัวหรืออัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจสูง โอกาสจะชำระหนี้ได้ก็มีมาก

ตัวอย่างที่เห็นได้ชัด คือ สิงคโปร์ ที่แม้จะมีหนี้สาธารณะสูงถึง 97% ของ GDP แต่ด้วยความที่ประเทศนี้มีรายได้ต่อหัวสูงกว่าไทยถึง 17 เท่า (ปรับค่าด้วยอำนาจซื้อเปรียบเทียบ) และมีอัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจที่ค่อนข้างสูง อัตราการขยายตัวเฉลี่ยในช่วงห้าปีที่ผ่านมา อยู่ที่ 5.5% ต่อปี ซึ่งถึงว่าสูงมากเมื่อเทียบกับประเทศพัฒนาประเทศอื่น

ด้วยเหตุนี้ การมียอดหนี้ที่สูงมากเมื่อเทียบกับ GDP จึงไม่ใช่เรื่องที่น่าห่วงนักสำหรับสิงคโปร์
 

อีกประเด็นหนึ่งซึ่งทำให้ยอดหนี้ของสิงคโปร์ไม่ได้บั่นทอนเสถียรภาพทาง เศรษฐกิจมากจนเกินควร  ก็เพราะสิงคโปร์เป็นหนึ่งในสามประเทศที่มีการคอร์รัปชันน้อยที่สุดในโลก 

ผู้ให้กู้  นักลงทุนต่างชาติ  นักธุรกิจในประเทศ  และประชาชน  จึงมีความเชื่อมั่นในระบบการเมืองและระบบราชการว่ามีความโปร่งใสพอที่จะ บริหารจัดการเงินก้อนนี้ให้เกิดประโยชน์สูงสุดต่อประเทศ แม้จะมีการใช้เงินผิดที่ผิดทางบ้าง แต่ก็ไม่ใช่จำนวนที่มากมายนัก
 

สำหรับประเทศในอาเซียนที่เป็นคู่แข่งของเราโดยตรงอย่าง มาเลเซีย อินโดนีเซีย และเวียดนามนั้น แม้รายได้ต่อหัวจะต่างกัน แต่ก็ไม่ได้ทิ้งกันขาดเหมือนสิงคโปร์ 
 

อย่างไรก็ตาม ประเทศเหล่านี้มีระดับการคอร์รัปชันที่สูงกว่าประเทศไทย ผลการจัดอันดับครั้งล่าสุดโดยองค์กร Transparency International ในปีที่แล้ว จัดให้ประเทศไทยอยู่ในอันดับที่ 35 มาเลเซียอันดับที่ 56  อินโดนีเซียอันดับที่ 117 เวียดนามอันดับที่ 116 และฟิลิปปินส์อันดับที่ 134 (อันดับยิ่งสูงยิ่งมีการคอร์รัปชันมาก)
 

เห็นแล้วอาจจะรู้สึกอุ่นใจขึ้นมาบ้าง ว่าเราเองก็ไม่ได้ขี้ริ้วขี้เหร่สักเท่าไหร่  น่าเสียดายว่าความจริงไม่ได้เป็นเช่นนั้น
 

การจัดอันดับในปีที่แล้ว เกิดขึ้นก่อนที่คุณยิ่งลักษณ์  ชินวัตรจะขึ้นมาดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี หากเราตั้งสมมติฐานว่า รัฐบาลชุดนี้ จะมีแนวทางการทำงานเช่นเดียวกับสมัยที่คุณทักษิณ ชินวัตรยังเป็นนายกอยู่  ข้อมูลการจัดอันดับในสมัยนั้น ก็พอจะให้ภาพกว้างๆ ว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับการทำงานของรัฐบาลชุดนี้
 

ข้อมูลการจัดอันดับในปี 2546 ซึ่งเป็นช่วงที่คุณทักษิณยังเป็นนายกฯ อยู่ ประเทศไทยอยู่ในอันดับที่ 70 และร่วงลงมาอยู่ในอันดับที่ 84 ในปี 2550 ต่ำกว่าตำแหน่งในปัจจุบันเกินเท่าตัว สะท้อนให้เห็นถึงปัญหาด้านประสิทธิภาพและความโปร่งใสในการทำงาน
 

จะว่าไปแล้ว ผลการทำงานของศูนย์ปฏิบัติการช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัย (ศปภ.) ซึ่งมีนายกรัฐมนตรีเป็นหัวเรือใหญ่ ถือเป็นภาพจำลองเล็กๆ ของสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้นกับการบริหารจัดการเม็ดเงิน 8 แสนล้านบาทในโครงการนิวไทยแลนด์ 
 

ข้อกล่าวหาที่เกิดขึ้น เรื่องความไม่โปร่งใสในการทำงาน ความไม่ชัดเจนของข้อมูล ความล่าช้าในการทำงาน การเล่นพรรคเล่นพวก ความไม่เป็นธรรมในการให้คุณให้โทษ ที่ถูกเผยแพร่ผ่านสื่อต่างๆ อย่างต่อเนื่อง  จะกลับมาใหม่อีกครั้ง 
 

คนไทยวัยทำงานจำนวน 53.8 ล้านคน กำลังจะมีเป็นหนี้เพิ่มขึ้นได้ถึงคนละ 14,870 บาท จากโครงการนี้ ไม่มีใครสามารถให้หลักประกันได้เลยว่า เงิน 8 แสนล้านบาท จะถูกนำไปใช้เพื่อแก้ปัญหาจริงๆ สักเท่าไหร่ 
 

ถ้าใช้เงินผิดวัตถุประสงค์ เศรษฐกิจก็ไม่เข้มแข็งเท่าที่ควร พอถึงเวลาใช้หนี้ รัฐบาลก็ต้องเอาเงินส่วนที่ควรจะเอาไปใช้ทำอย่างอื่นมาจ่ายหนี้ไปก่อน เงินที่ควรจะช่วยให้เด็กได้เรียนหนังสือ เงินที่ควรจะช่วยให้คนจนได้ใช้ยาคุณภาพดี  เงินที่ควรจะช่วยให้แรงงานมีประกันการว่างงานที่เพียงพอ เงินเหล่านี้จะมีน้อยลง โดยหนี้ก้อนโตของเราก็ยังคงอยู่
 

เมื่อวันนั้นมาถึง นอกจากคุณภาพชีวิตของคนไทย โดยเฉพาะคนจน จะต่ำลงแล้ว คำว่า “นิวไทยแลนด์” จะมีความหมายเดียวกับคำว่า “แดนแห่งหนี้”


 
 

จากคุณ : lovelypriest
เขียนเมื่อ : 6 พ.ย. 54 06:32:40




ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป



Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com