ความคิดเห็นที่ 1 บ้านและรถยนต์หากได้มาในระหว่างสมรส ก็เป็นสินสมรส สามีนำบ้านไปจำนองโดยไม่ได้ความยินยอมของภรรยา สัญญาจำนองไม่สมบูรณ์ เรายกขึ้นเป็นข้อต่อสู้ได้ หากได้รับหมายศาลให้ไปไกล่เกลี่ยหรือให้ทำคำให้การ ให้รีบติดต่อทนายความเพื่อดำเนินคดียกข้อต่อสู้ดังกล่าวโดยเร็วนะ เราอาจจะมีโอกาสชนะคดีได้ หากได้ต่อสู้คดีอย่างเต็มที่ จากคุณ : pteamb เขียนเมื่อ : 17 พ.ย. 54 05:56:11

ความคิดเห็นที่ 2 กรณีที่หนี้ระหว่างสมรส ถือเป็นหนี้ร่วม หนี้ร่วมที่ไม่ต้องตกถึงคู่สมรส มีข้อยกเว้นตามกฎหมายอยู่นะครับ เท่าที่ผมจำได้คือ 1. เงินนั้นไม่ได้นำมาใช้จ่ายในครอบครัว (พูดง่ายๆคือคู่สมรสต้องแสดงต่อศาลว่าไม่ได้รู้เรื่องเลย ไม่ได้เห็นเงินที่กู้มาเลย) 2. ภรรยาไม่ได้รู้เห็น ไม่ได้เซ็นยินยอมในการกู้ด้วย ลองปรึกษาสภาทนายความที่อนุสาวรีย์ประชาธิปไตยดูนะครับ ฟรีไม่เสียค่าใช้จ่ายครับ จากคุณ : ผึ้งน้อยพเนจร เขียนเมื่อ : 17 พ.ย. 54 08:30:15

ความคิดเห็นที่ 3 ประมวลกฎหมายแพ่ง มาตรา 1490 หนี้ที่สามีภริยาเป็นลูกหนี้ร่วมกันนั้นให้รวมถึงหนี้ที่สามี หรือภริยาก่อให้เกิดขึ้นในระหว่างสมรสดังต่อไปนี้ (1) หนี้เกี่ยวแก่การจัดการบ้านเรือน และจัดหาสิ่งจำเป็นสำหรับครอบ ครัว การอุปการะเลี้ยงดูตลอดถึงการรักษาพยาบาลบุคคลในครอบครัวและ การศึกษาของบุตรตามสมควรแก่อัตภาพ (2) หนี้ที่เกี่ยวข้องกับสินสมรส (3) หนี้ที่เกิดขึ้นเนื่องจากการงานซึ่งสามีภริยาทำด้วยกัน (4) หนี้ที่สามีหรือภริยาก่อขึ้นเพื่อประโยชน์ตนฝ่ายเดียว แต่อีกฝ่ายหนึ่ง ได้ให้สัตยาบัน ซึ่งกรณีนี้เป็นการที่สามีก่อหนี้เพื่อประโยชน์ของตนเองฝ่ายเดียวครับ ทั้งคุณภรรยาก็ไม่ได้ให้สัตยาบันหรือแม้แต่รับรู้เรื่องราวแต่อย่างใด ทั้งคุณสามียังแจ้งต่อพนักงานธนาคารว่าโสด แสดงให้เห็นถึงเจตนาที่จะปิดบังคุณภรรยาเพื่อแสวงหาประโยชน์ให้ตนเองฝ่ายเดียว แบบนี้เป็นหนี้ส่วนตัวครับ คู่สมรสไม่ต้องร่วมชดใช้ครับ จากคุณ : teerapat4561 (Teerapat4561) เขียนเมื่อ : 17 พ.ย. 54 10:26:38

ความคิดเห็นที่ 4 ส่วนบ้าน ก็ต้องดูครับว่าซื้อเมื่อไหร่ ก่อนหรือหลังสมรส และได้มายังไงถ้าใช้เงินที่เป็นมรดกตกทอดของสามีซื้อ ก็เป็นสินส่วนตัวของสามี ธนาคารยึดได้เต็มๆ ถ้าไม่ใช่มรดกตกทอดและซื้อหลังสมรสก็เป็นสินสมรสครับ ต้องหารกันคนละครึ่ง คุณภรรยาสามารถไปที่สำนักงานเขตที่ดินและให้ใส่ชื่อคุณลงไปในโฉนดที่ดินได้เลยครับโดยอ้างว่าเป็นสินสมรส หากสามีคุณมีอันเป็นไป หนี้ส่วนตัวของสามีคุณ ก็จะถูกชดใช้โดยสินสมรสส่วนที่เป็นของสามีคุณครับ ส่วนสินสมรสอีกครึ่งที่เหลือที่เป็นส่วนของคุณภรรยา ธนาคารยึดบ้านทั้งหลังไม่ได้ แปลว่าธนาคารยึดบ้านได้ครึ่งหลังครับ คือเอาขายทอดตลาด แล้วเอาเงินที่ได้จากการขายทอดตลาด มาชำระหนี้ แล้วส่วนที่เหลือก็เป็นของคุณภรรยาไป จากคุณ : teerapat4561 (Teerapat4561) เขียนเมื่อ : 17 พ.ย. 54 10:38:50

ความคิดเห็นที่ 5 กรณีที่สามีได้นำสินสมรสไปจดทะเบียนจำนองกับธนาคารโดยไม่ได้รับความยินยอมจากภริย(คู่สมรส) ภริยาจึงมีอำนาจฟ้องขอให้เพิกถอนนิติกรรมจดจำนองระหว่างสามีกับธนาคารได้ แม้นิติกรรมการจดทะเบียนจำนองที่ดินที่เป็นสินสมรสที่มีส่วนของสามีรวมอยู่ด้วยก็ตาม การเพิกถอนนิติกรรม คู่สมรสต้องขอเพิกถอนนิติกรรมทั้งหมดทั้งแปลงจะเพิกถอนเฉพาะส่วนไม่ได้ ตามปกติ เราไม่มีวันรู้ว่าสามีภรรยาเขาเออออห่อหมกยินยอมกันจริงไหม วันดีคืนดี สามีเอาภรรยามาร้องเพิกถอน คนนอกก็เสียหายได้ กฎหมายจึงป้องการการฮั้วไว้ว่า ถ้าคนที่ได้รับผลจากการทำนิติกรรมนั้นๆ ได้ทำโดยสุจริตและเสียค่าตอบแทนแล้ว ก็เพิกถอนไม่ได้เช่นกัน สามีภรรยาได้แต่ไปจัดการเอาเรื่องกันเอง จากคุณ : JFK (nizzie) เขียนเมื่อ : 17 พ.ย. 54 11:20:17

ความคิดเห็นที่ 6 มุมของผมบ้างนะ 1.นิติกรรมจำนอง ได้ระบุว่า ผู้จำนอง (สามี) ได้รับรองตัวเองว่าโสดในขณะทำนิติกรรม (ธนาคารก็รับรู้เช่นกัน) ดังนั้นภาระหนี้จึงออาจะไม่ผูกพันไปถึงฝ่ายภรรยา 2.ภรรยาไม่ต้องรับผิดชอบกับหนี้ที่สามีได้กระทำไว้ เนื่องจากเอกสัญญาต่างๆ ภรรยาไม่ได้ลงลายมือชื่อไว้ 3.การฟ้องร้องของธนาคาร จึงยึดทรัพย์สินจำนองก่อนเป็นอันดับแรก ไม่สามารถเรียกร้องทรัพย์สินอื่นได้ เนื่องจากทรัพย์สินอื่นไม่ได้มีสัญญาจำนอง แม้ว่าจะเป็นทรัพย์ของภรรยาก็ตาม (แนะนำให้ทำความเข้าใจในบันทึกต่อท้ายสัญญาจำนองที่ดิน) 4.แนะนำให้ภรรยารับรู้ในสิ่งที่สามีกระทำลงไป แต่ห้ามลงนามในหนังสือรับสภาพหนี้ หรือเอกสารใดๆที่ธนาคารได้คุณรับรอง เพราะจะเป็นการยอมรับหนี้ที่คุณไม่ได้รู้เรื่องมาก่อน และมันจะเป็นปัญหาที่ไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้ ********* จากคุณ : b_samart เขียนเมื่อ : 17 พ.ย. 54 12:23:31

ความคิดเห็นที่ 7 1. ไม่ต้องครับ เพราะเป็นหนี้ที่สามีต้องรับผิดเป็นการส่วนตัวที่ได้ก่อไว้ในระหว่างสมรส จะต้องชำระหนี้จากสินส่วนตัวของสามีคุณก่อน ถ้าไม่พอก็ค่อยมาเอาจากสินสมรสในส่วนของฝ่ายสามี คุณนุชไม่ต้องเป็นห่วงคับเขาไม่มีสิทธิมายุ่งในส่วนของคุณ (ม.1488) 2. จากข้อเท็จจริงที่ให้มาเนี้ย นส.อ กับ สามีคุณ เป็นหุ้นส่วนสามัญ เมื่อ นส.อ ไม่มีเงินจ่ายก็มาเรียกเอากับสามีคุณได้โดยไม่จำกัดจำนวนด้วย แต่อย่างไรก็ตามหนี้ของสามีก็ได้มีคนค้ำประกันไว้แล้วโดยญาติ นส.อ ตรงนี้ไม่แน่ว่าค้ำประกันการชำระหนี้ของใครกันแน่ แต่ก็ถือเป็นสิ่งที่ทำให้คุณนุชวางใจได้อีกเรื่องหนึ่ง 3. บ้าน เหมือน ความคิดเห็นที่ 4 ครับ 4. ไม่น่าจะฟ้อง นส.อ ได้นะคับ เท่าที่อ่านมาทำกิจการร่วมกันมากว่า 4 ปี แล้วเค้าไม่น่าจะมาหลอกนะครับ 5. อันนี้ผมไม่ทราบครับ ขอประทานโทษด้วย จากคุณ : นายปอปลา เขียนเมื่อ : 17 พ.ย. 54 12:35:54 A:58.9.233.212 X: TicketID:310673

ความคิดเห็นที่ 8 โฉนดเป็นชื่อสามีคนเดียว  โดยสามียืนยันกับทางสำนักงานที่ดินว่าโสด เมื่อมีปัญหาเป็นเรื่องส่วนตัวระหว่างคุณสามีกับธนาคารคุณไม่เกี่ยวโดยคุณก็ไม่เกี่ยวกับโฉนดนั้นด้วย หากสามีเสียชีวิต  คุณอยากได้โฉนดก็ต้องไปใช้หนี้ให้กับธนาคารจนหมดสิ้น ยังโชคดีที่คุณไม่ได้ไปรับรู้หรือค้ำประกันไม่อย่างนั้นคุณต้องรับใช้ด้วยหากเอาโฉนดไปประมูลขายแล้วยังไม่พอจ่าย   ธนาคารเล่นเอาถึงขั้นล้มละลายเลย ธนาคารมันโหดจริงๆ จากคุณ : ยามเฝ้าหนังสือ เขียนเมื่อ : 17 พ.ย. 54 21:17:52

ความคิดเห็นที่ 9 ชมรมฟื้นฟูสุขภาพผู้ป่วยโรคมะเร็ง  ให้คำปรึกษาเกี่ยวมะเร็ง ฟรี!  Tel.02-664-0078-9 หรือเยี่ยมชมเว็บไซต์ ได้ที่ http://www.siamca.com ประวัติความเป็นมา :  การรักษาโรคมะเร็งในปัจจุบัน มีวิธีการหลักสำคัญ 3 ประการ คือ ผ่าตัดรักษา เคมีบำบัด และ รังสีรักษา ซึ่งถือว่าเป็นการรักษาโดยตรงที่จำเป็น แต่แม้ว่าวิทยาการต่างๆ จะก้าวหน้าเพียงใด ยังต้องยอมรับว่าจำนวนผู้ป่วยใหม่ และอัตราการเสียชีวิตจากโรคมะเร็ง ยังมีจำนวนเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วและต่อเนื่อง อีกทั้งระหว่างการรักษา นอกจากผู้ป่วยโรคมะเร็งต้องต่อสู้กับอาการของโรคแล้ว วิธีการรักษายังทิ้งผลข้างเคียงที่สร้างความเจ็บปวด เหนื่อยล้า ทั้งร่างกายและใจให้กับผู้ป่วย จนมีผู้ป่วยจำนวนมาก จำต้องทิ้งโอกาสในการรักษาไปอย่างน่าเสียดาย แต่มีกลุ่มผู้ป่วย ญาติผู้ป่วย ผู้ดูแล และบุคลากรทางการรักษาจำนวนหนึ่งเชื่อมั่นว่า โรคนี้ยังไม่หมดหนทางเสียทีเดียว กลุ่มคนดังกล่าวจึงรวมตัวกัน เมื่อปี พ.ศ.2542 ร่วมระดมความคิดและประสบการณ์ เพื่อช่วยเหลือผู้ป่วยให้ได้รับความรู้ในการรักษาที่ถูกต้อง การดูแลตนเองให้มีคุณภาพชีวิตที่ดี และสิ่งสำคัญที่สุดคือสร้างกำลังใจให้กันและกัน สมาชิกชมรม : • ผู้ป่วยโรคมะเร็ง  • ครอบครัว ผู้ใกล้ชิด หรือผู้ดูแลผู้ป่วย  • บุคลากรทางด้านการรักษาและบำบัด  • อาสาสมัคร และผู้สนใจสุขภาพทั่วไป   วัตถุประสงค์ : 1. เพื่อเป็นศูนย์เผยแพร่ข้อมูลวิวัฒนาการด้านการรักษาโรคมะเร็งในทุกด้าน 2. เพื่อให้คำปรึกษาแก่ผู้ป่วยในการดูแลสุขภาพที่ถูกต้อง เพื่อการมีคุณภาพชีวิตที่ดี  3. เพื่อเป็นศูนย์กลางให้ผู้มีประสบการณ์เกี่ยวกับโรคมะเร็ง ได้แลกเปลี่ยนประสบการณ์ซึ่งกันและกัน 4. เพื่อกระตุ้นให้ผู้ป่วยเกิดความเชื่อมั่น มีกำลังใจ มีความพร้อมทางด้านจิตใจในการต่อสู้กับโรค  5. เพื่อรณรงค์ให้คนในสังคม หันมาใส่ใจดูแลสุขภาพเพื่อป้องกันโรคมะเร็ง 6. เพื่อร่วมมือกับทั้งภาครัฐและเอกชนในการบำเพ็ญประโยชน์ต่อสังคม และเผยแพร่งานต่อต้านโรคมะเร็ง จากคุณ : ชมรมฟื้นฟูสุขภาพผู้ป่วยมะเร็ง (sekyya1) เขียนเมื่อ : 23 พ.ย. 54 09:47:01