ความคิดเห็นที่ 1 สายน้ำที่ไหลมาพร้อมกับธารน้ำแข็งที่ค่อยๆละลายตัว ก่อนที่จะแตกตัวลงเมื่อสิ้นสุด ณ จุดที่เป็นเสมือนเขื่อนกักเก็บน้ำตามธรรมชาติ อาจก่อให้เกิดอุทกภัยครั้งใหญ่เช่นเดียวกับเมื่อปี 1994 เมื่อกระแสน้ำและดินโคลนจำนวนมหาศาลก่อให้เกิดความเสียหายครั้งใหญ่ต่อชีวิตและทรัพย์สินของประชาชน ทำให้มีผู้เสียชีวิตหลายสิบราย หมู่บ้านทั้งหมู่บ้านถูกกลืนหายไปพร้อมกับกระแสโคลน นักวิทยาศาสตร์ชาวตะวันตกเรียกปรากฏการณ์ครั้งนี้่ว่า Glacial-lake-outburst flood (GLOF) หรืออุทกภัยอันเกิดจากการระเบิดออกของน้ำที่มาจากทะเลสาบธารน้ำแข็ง โดยพบว่ามีถึง 24 จาก 2,674 แห่งที่ไม่มีความมั่นคง ขณะที่ภูฏานมีเวลาอีกเพียงไม่กี่ปีข้างหน้า เพื่อเตรียมตัวรับมือมหันตภัยทางธรรมชาติที่รุนแรงยิ่งกว่า หรือที่รู้จักกันในชื่อ "สึนามิแห่งขุนเขา" (Mountains Tsunami)   ภูฏานถือเป็นหนึ่งในประเทศแรกๆของโลกที่มีการกำหนดให้ GLOF เป็นสิ่งที่พึงป้องกันในลำดับต้นๆ  ในปี 2005 รัฐบาลได้รับเงินทุนสนับสนุนด้านการป้องกันสิ่งแวดล้อม ตามโครงการพัฒนาขององค์การสหประชาชาติ เงินส่วนหนึ่งถูกแบ่งมาใช้ในการช่วยภูฏานพัฒนาระบบการระบายน้ำจากทะเลสาบธารน้ำแข็งธอร์ธอร์มี และการเพิ่มความแข็งแกร่งให้เขื่อนที่มีอยู่ตามธรรมชาติ แต่ด้วยภูฏานตั้งอยู่บนพื้นที่ที่มีระดับความสูงค่อนข้างมาก การปฏิบัติงานจึงเป็นไปด้วยความยากลำบาก อีกทั้งยังอันตราย และด้วยงบประมาณที่สูงลิ่ว จากคุณ : lovelypriest เขียนเมื่อ : 19 พ.ย. 54 02:57:36

ความคิดเห็นที่ 2 ด้วยอากาศที่บางเกินไปนี่เองทำให้เฮลิคอปเตอร์ไม่สามารถใช้การได้มากนัก ทำให้ต้องมีการจ้างชาวบ้านที่มีความชำนาญพื้นที่ประมาณ 350 คน เพื่อปฏิบัติงานแทน โดยใช้เวลาในการปีนเขาราว 10 วัน และต้องตั้งแคมป์ที่พักในระดับความสูงถึง 5,000 เมตร จากที่นั่น อาสาสมัครซึ่งประกอบด้วยนักเรียน-นักศึกษา ทหารที่ปลดประจำการ และชาวบ้านทั่วไป ต้องทำงานในพื้นที่ธารน้ำแข็งที่มีระดับน้ำลึกประมาณหัวเข่า โดยใช้เครื่องมือเพียงไม่กี่ชิ้นเพื่อขุดลอกทางน้ำและสร้างกำแพงเพื่อเสริมกำลังของทะเลสาบ ซึ่งอุปสรรคที่พบในทุกปีคือการมาถึงของฤดูหนาว   อย่างไรก็ดี การมาถึงของเทคโนโลยีก็ช่วยทำให้เรื่องที่ยากดังกล่าวดูง่ายลง นายประทีป มูล วิศวกรประจำศูนย์พัฒนาภูเขาแบบผสมผสานนานาชาติ กรุงกาฏมัณฑุ ประเทศเนปาล กล่าวว่า เทคโนโลยีภาพถ่ายดาวเทียม ทำให้สามารถประเมินพื้นที่ที่มความเสี่ยงได้รวดเร็วยิ่งขึ้น แต่ก็เป็นเรื่องยากที่จะชี้ชัดได้ว่าเหตุร้ายจะเกิดขึ้นที่ใดหรือเวลาไหน   นักวิจัยใช้ปัจจัยหลายประการในการพิจารณาถึงความเสี่ยงที่จะเกิดGLOFซึ่งรวมถึงการทำแผนที่และพรรณนาภูมิประเทศ, ความเป็นไปได้ที่น้ำอาจมีปริมาณมหาศาลกระทั่งล้นพื้นที่ทะเลสาบ, ความแข็งแกร่งของพนังกั้นน้ำตามธรรมชาติของทะเสลาบธารน้ำแข็ง และปริมาณน้ำทั้งหมดในทะเลสาบ   สาเหตุของน้ำท่วมที่เกิดจากธารน้ำแข็ง เกิดจากปัจจัยหลายประการและเป็นเรื่องยากที่จะประเมินได้ทั้งหมด ประกอบกับพื้นที่ตั้งอยู่เหนือระดับน้ำทะเลค่อนข้างมากและสภาพอากาศที่ เปลี่ยนแปลงอย่างสุดขั้วตลอดเวลา ทำให้การเก็บข้อมูลในพื้นที่จริงอาจเสี่ยงต่ออันตราย  นายโดว์ชู ดุ๊กปา วิศวกรที่ทำงานร่วมกับกระทรวงสิ่งแวดล้อมของภูฏาน เปิดเผยว่า นักวิทยาศาสตร์มักประสบปัญหาในการวัดระดับน้ำในทะเลสาบธอร์ธอร์มี เนื่องจากสภาพอากาศที่ไม่เป็นใจ โดยครั้งหนึ่งกระแสลมแรงจัดเกือบทำให้เรือที่บรรทุกนักวิจัยล่มกลางทะเลสาบ ภาพถ่ายดาวเทียมของธารน้ำแข็งในภูฏาน จากคุณ : lovelypriest เขียนเมื่อ : 19 พ.ย. 54 03:00:54

ความคิดเห็นที่ 3 ทางการได้ทำการกำหนดพื้นที่ที่มีความเสี่ยงในระดับสูง และเพื่อความปลอดภัยต่อชีวิตและทรัพย์สิน ได้มีการสั่งห้ามมิให้มีการก่อสร้างใดๆในพื้นที่ดังกล่าว โดยเตรียมติดตั้งระบบเตือนภัยอัตโนมัติ พร้อมทั้งเซ็นเซอร์ที่ตรวจจับระดับน้ำหากมีการเปลี่ยนแปลง หากว่าน้ำลดลงอย่างรวดเร็ว จะมีการส่งคำเตือนผ่านข้อความทางโทรศัพท์มือถือ เพื่ออพยพขึ้นสู่ที่สูงต่อไป   แม้ว่า "สึนามิแห่งขุนเขา" อาจเป็นสิ่งที่สร้างอันตรายได้อย่างฉับพลันทันที แต่มันก็ไม่ได้เป็นสิ่งเดียวที่ชาวภูฏานจะต้องระมัดระวังเท่านั้น เพราะหากเมื่อใดที่ธารน้ำแข็งไม่ปรากฏบนเทือกเขาหิมาลัยอีกต่อไป สายน้ำที่เป็นเส้นเลือดหล่อเลี้ยงประชาชนทั้งประเทศ และแหล่งทรัพยากรทางธรรมชาติอันล้ำค่าที่สุด ก็จะสาบสูญไปเช่นเดียวกัน ชาวภูฏานยังจำเป็นต้องพึ่งพาสายน้ำเพื่อการชลประทานและการหล่อเลี่ยงพื้นที่เกษตรกรรม และเพื่อเป็นแหล่งผลิตกระแสไฟฟ้าจากพลังน้ำ ซึ่งสร้างความมั่งคั่งให้แก่ประเทศราวร้อยละ 40 ของอุตสาหกรรมทั้งหมด   ปริมาณน้ำในแม่น้ำที่เหือดแห้งลง ยังส่งผลกระทบต่อพื้นที่รับน้ำในประเทศที่อยู่เบื้องล่าง หรืออาจกล่าวได้ว่ากระทบต่อผู้คนทั้งภูมิภาค สมาชิกของคณะกรรมการระหว่างรัฐบาลว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ประเมินว่า การละลายของธารน้ำแข็งบนเทือกเขาหิมาลัยจะส่งผลกระทบต่อน้ำเพื่อการอุปโภคบริโภคของประชากรกว่า 750 ล้านคน (รวมทั้งปริมาณน้ำในแม่น้ำโขง ที่ไหลผ่าน ไทย จีน ลาว เวียดนาม พม่า  รวมถึง อินเดีย ปากีสถาน บังคลาเทศ ด้วย//จขกท ) จากคุณ : lovelypriest เขียนเมื่อ : 19 พ.ย. 54 03:08:17

ความคิดเห็นที่ 4 แม้ว่าภูฏานแทบจะไม่มีส่วนในการรับผิดชอบใดๆต่อการ เปลี่ยนแปลงสภาพอากาศของโลก แต่ถึงกระนั้นภูฏานก็ไม่เคยแสดงเจตจำนงในการเป็น ประเทศผู้นำในการพัฒนาอย่างยั่งยืน ซึ่งก็ต้องยอมรับว่าภูฏานเป็นประเทศที่ประกอบด้วยพื้นที่ป่าถึงร้อยละ 82 และเป็นเพียงไม่กี่ประเทศในโลกที่ดูดซับเอาก๊าซเรือนกระจกเป็นปริมาณมากกว่าที่ปล่อยออกมา นอกจากนั้น ยังมีการระบุในรัฐธรรมนูญไว้ด้วยว่า ภุฏานจะต้องรักษาพื้นที่ป่าไว้ให้ได้อย่างน้อยที่สุดร้อยละ 60   นายอุกเยน เชวาง ประธานคณะกรรมาธิการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติภูฏาน กล่าวว่า แม้ว่าประเทศกำลังเผชิญกับสภาวะที่ธารน้ำแข็งละลายอย่างรวดเร็ว แต่ก็ไม่เคยแสดงท่าทีกดดันต่อประเทศอุตสาหกรรมต่างๆแต่อย่างใด จากคุณ : lovelypriest เขียนเมื่อ : 19 พ.ย. 54 03:12:46

ความคิดเห็นที่ 5 การประชุม การเปลี่ยนแปลงอุณหภูมิโลก ที่กรุง โคเปนเฮกเก้น ในหัวข้อ ประเทศที่ได้รับผลกระทบจากโลกร้อนที่เสี่ยงสูงสุด พูดถึง  silent Tsunami สึนามิเงียบ ที่ภูฐาน มันเป็นอัตรายต่อคนอยู่ข้างล่างเขาเอเวอเรตส์ ที่น้ำแข็งกำลังละลายเรื่อยๆ Copenhagen climate change conference: countries most at risk from the effects of global warming "...Glacial Lake Outburst Floods, commonly known as a silent Tsunami, are threatening the very livelihood of people living downstream" ทิมปู วาเล่ย์ ภูฐาน รูปประกอบนี้ จากบลูมเบิร์ก Buildings stand in Thimphu valley, Bhutan Picture: BLOOMBERG จากคุณ : lovelypriest เขียนเมื่อ : 19 พ.ย. 54 03:22:24

ความคิดเห็นที่ 6 ทิวทัศน์ที่สวยงาม แต่ทุกประเทศกำลังวิตกถึงภัยสึนามิเงียบจากภูเขาน้ำแข็งหิมาลัยกำลังละลาย แบบในหนัง 2012 ที่กำลังคืบคลานเข้ามา http://alaiwah.wordpress.com/2009/12/20/green-bhutan-suffers-due-to-others-climatic-violations/ จากคุณ : lovelypriest เขียนเมื่อ : 19 พ.ย. 54 03:24:44

ความคิดเห็นที่ 7 http:ager.co.th/China/ViewNews.aspx?NewsID=9540000147159 ไม่เพียงเท่านั้น หันไปดูเพื่อนบ้านร่วมภูมิภาค ธิเบตก็ประสบปัญหานี้เช่นกัน น่ากลัวมั๊ยล่ะ ธารน้ำแข็งที่ราบสูงชิงไห่-ทิเบต หดปีละ 7.8 เมตร โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 18 พฤศจิกายน 2554 18:03 น ซินหวาเน็ต--หน่วย งานวิทยาศาสตร์ กรมอุตุนิยมวิทยาแห่งประเทศจีน แถลงเมื่อวันที่ 16 พ.ย. เผยรายงานการประเมิน 'การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศของประเทศครั้งที่สอง' ระบุจากช่วงปี 2494 ถึงปี 2552 อุณหภูมิเหนือพื้นดินประเทศจีน โดยเฉลี่ย เพิ่มสูง 1.38 องศาเซลเซียส โดยอุณหภูมิสูงขึ้นในอัตรา 0.23 องศาเซลเซียสในทุก 10 ปี                นอกจากนี้ ในแต่ปี ธารน้ำแข็งบนที่ราบสูงชิงไห่-ทิเบต หดหายไป 7.8 เมตร และระดับน้ำทะเลที่ชายฝั่งสูงขึ้นในอัตราปีละ 2.5 มิลลิเมตร ทิวทัศน์ธารน้ำแข็ง Karuola Glacierที่สวยงาม แต่น้ำแข็งละลาย   จากคุณ : lovelypriest เขียนเมื่อ : 19 พ.ย. 54 03:30:46

ความคิดเห็นที่ 8 ช่วง คศ1990 หรือ 20 ปีให้หลังมานี่  การสะสมของหิมะในแต่ละวัน ระหว่างช่วงฤดูหนาวและฤดูใบไม้ผลิมีแนวโน้มลดลง และยังพบว่า ธารน้ำแข็งบน Nyainqentanglha Range หนึ่งในเทือกเขาสำคัญที่ตั้งอยู่ตอนกลางของภาคตะวันออกทิเบต เกิดการเปลี่ยนแปลงมาก ธารน้ำแข็งในเขต Naimona Nyi บนเทือกเขาหิมาลัยก็กำลังละลายอย่างรวดเร็ว ระหว่างปี 2519-2549 ปลายธารน้ำแข็ง หดสั้นลง ในอัตราเฉลี่ยประมาณ 5 เมตร ต่อปี โดยระหว่างปี 2547-2549 อัตราธารน้ำแข็งละลาย เป็นไปอย่างรวดเร็ว เฉลี่ย7.8 เมตร ต่อปี  แสดงว่ามีแนวโน้มการหดตัวเร็วมากขึ้นในระยะหลังนี้ สีน้ำตาล คือ น้ำแข็งที่ละลายหมดแล้ว เหลือแต่หญ้าและดินยอดเขา แก้ไขเมื่อ 19 พ.ย. 54 04:02:26 จากคุณ : lovelypriest เขียนเมื่อ : 19 พ.ย. 54 03:35:50

ความคิดเห็นที่ 9        นาย หลัว หย่ง นักวิจัยจากศูนย์วิจัยสภาพภูมิอากาศแห่งจีน กล่าวว่า จากปี 2494 เป็นต้นมา สภาพอุณหภูมิสูง อุณหภูมิต่ำ ระดับน้ำลด และการกลายสภาพเป็นทะเลทราย ตลอดจนสภาพอากาศที่รุนแรงอื่นๆ ได้เกิดขึ้นบ่อยครั้งและมีความรุนแรงมากขึ้น                การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ที่ทำให้เกิดกรณีสภาพอากาศที่รุนแรงบ่อยครั้งขึ้นนั้น ยังส่งผลต่อสุขภาพผู้คน และผลกระทบในด้านลบ และควรมีการรณรงค์ให้ประชาชนหันมาสนใจลดการแพร่กระจายความร้อน ร่วมมือในการสร้างสังคมคาร์บอนต่ำ( low-carbon life) ธารน้ำ แข็ง Naimona Nyi ของทิเบต จากคุณ : lovelypriest เขียนเมื่อ : 19 พ.ย. 54 03:38:53

ความคิดเห็นที่ 10 เนื่องจากภาวะโลกร้อน สภาพที่ธารน้ำแข็งบนที่ราบสูงชิงไห่-ทิเบตกำลังละลายอย่างรวดเร็ว  ภาพเปรียบเทียบกับอดีตก่อนน้ำแข็งละลาย สีดำๆในภาพจริง นั่นคือพื้น เมื่อก่อนมันเคยเป็นสีขาว คือมีหิมะคลุม ตอนนี้ละลายไปหมดแล้ว และสร้างขึ้นใหม่ไม่ได้ แก้ไขเมื่อ 19 พ.ย. 54 03:42:20 จากคุณ : lovelypriest เขียนเมื่อ : 19 พ.ย. 54 03:40:55

ความคิดเห็นที่ 11 จากการสำรวจ บริเวณพื้นที่ภาคเหนือ ภาคตะวันออกเฉียงเนือ ภาคกลาง และภูมิภาคอื่นๆในประเทศจีน ในช่วงเกือบ 50 ปี มานี้ มีการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ และได้ส่งผลกระทบร้ายต่อคน พืช และสิ่งมีชีวิต ทั้งผลผลิตการเกษตร พื้นดินเสียหายทำประโยชน์ไม่ได้และกลายสภาพเป็นดินเค็ม ทำให้เกิดการระบาดโรคพญาธิใบไม้ในเลือด โรคทางเดินลมหายใจและโรคระบาดอื่นๆ ซึ่งแน่นอนว่า อัตราการระบาดเพิ่มสูงมากขึ้น ธารน้ำแข็งสายหลักบน Naimona Nyi ของทิเบต จากคุณ : lovelypriest เขียนเมื่อ : 19 พ.ย. 54 03:46:15

ความคิดเห็นที่ 12    บริเวณภาคใต้ ระดับผิวน้ำทะเลในทะเลใต้ สูงขึ้น จากปี 2536 ถึง 2549 ภาคตะวันตกเฉียงใต้ระดับผิวน้ำทะเลในทะเลใต้สูงขึ้นเฉลี่ย 3.9 มิลลิเมตรต่อปี  ช่วง 40 ปี สุดท้ายของศตวรรษที่ 20 ที่ราบสูงอวิ๋นกุ้ย มีแนวโน้มอุณหภูมิสูงขึ้นอย่างชัดเจน แต่อุณหภูมิในบริเวณที่ราบลุ่มเสฉวนมีแนวโน้มลดลงอย่างชัดเจน ปริมาณฝนตกในแต่ละวันก็น้อยลง ห้าปีมานี้ สามารถลดการปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์ 1,460 ล้านตัน                จากปี 2549 ถึงปี 2553 ระดับการบริโภคพลังงานต่อหน่วยจีดีพี (energy consumption per unit GDP) ลดลง 19.1 เปอร์เซนต์ การปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ ลดลง 1,460 ล้านตัน ภาพธารน้ำแข็งในเขตNyinchi อำเภอ Bowo ตั้งอยู่ด้านตะวันออกเฉียงใต้ของทิเบต (บันทึกภาพเมื่อวันที่ 20 กันยายน) ที่เห็นเป็นสีดำๆ(ดำๆเขียวๆ)คือหญ้า(ยอดเขา) ที่ไม่มีน้ำแข็งปกคลุมแล้ว แก้ไขเมื่อ 19 พ.ย. 54 03:52:15 จากคุณ : lovelypriest เขียนเมื่อ : 19 พ.ย. 54 03:49:28

ความคิดเห็นที่ 13  ผู้เชี่ยวชาญกล่าวว่า กองหินที่เชิงเขา Naimona Nyi ที่ทอดตัวต่อเนื่องยาวนับสิบกิโลเมตร เคยเป็นตะกอนที่เกิดจากสิ่งมีชีวิตในธารน้ำแข็ง （Sediment） บริเวณนี้เคยมีหิมะปกคลุมมาก่อน ปัจจุบัน ไม่มีแล้ว กลายเป็นพื้นที่กว้าง เป็นผลมาจากภาวะโลกร้อน แก้ไขเมื่อ 19 พ.ย. 54 04:06:33 จากคุณ : lovelypriest เขียนเมื่อ : 19 พ.ย. 54 03:53:47

ความคิดเห็นที่ 14 ในแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมระยะจีน ฉบับที่ 11 ครอบคลุมระยะเวลา 5 ปีนั้น การพัฒนาพลังงานหมุนเวียน (Renewable Energy) ก้าวหน้าอย่างก้าวกระโดด ปลายปี 2553 มีปริมาณการใช้พลังงานหมุนเวียน 300 ล้านตัน มีการใช้ถ่านหิน 9.6 เปอร์เซนต์ ของปริมาณการบริโภคพลังงานทั้งหมด จากคุณ : lovelypriest เขียนเมื่อ : 19 พ.ย. 54 03:56:29

ความคิดเห็นที่ 15 หินก้อนมหึมานี้ ก็คือตะกอนที่เกิดจากสิ่งมีชีวิต （Sediment）เช่นกัน บริเวณนี้ เคยเป็นปลายธารน้ำแข็ง หลังจากธารน้ำแข็งยอดเขาละลายแล้ว กลายเป็นที่ราบกว้าง อย่างในภาพ แก้ไขเมื่อ 19 พ.ย. 54 04:00:51 จากคุณ : lovelypriest เขียนเมื่อ : 19 พ.ย. 54 03:57:21

ความคิดเห็นที่ 16 ที่นี่เคยเป็นปลายธารน้ำแข็ง ขณะนี้เหลือเพียงตะกอนหลังจากที่ธารน้ำแข็งละลายหมดแล้ว กลายเป็นก้อนหินที่ไร้ประโยชน์ทอดยาว จากคุณ : lovelypriest เขียนเมื่อ : 19 พ.ย. 54 03:58:46

ความคิดเห็นที่ 17 ขอบคุณ จขกท ที่แบ่งปันเรื่องดีๆ ในเช้านี้ จากคุณ : ร้อยไม้ เขียนเมื่อ : 19 พ.ย. 54 04:51:02

ความคิดเห็นที่ 18 เป็นกระทูที่ดีมากค่ะ ชื่นชม จากคุณ : mangpongja เขียนเมื่อ : 19 พ.ย. 54 14:26:25

ความคิดเห็นที่ 19 ขอบคุณสำหรับข้อมูลดีๆเป็นข้อมูลที่น่าสนใจมากๆในการที่จะช่วยให้คนเห็นความสำคัญของสิ่งแวดล้อมมากยิ่งขึ้น จากคุณ : ดาวเสาร์ (venus_angle) เขียนเมื่อ : 19 พ.ย. 54 16:46:45

ความคิดเห็นที่ 20 ขอบคุณมากค่ะที่นำมาเล่าสู่กันฟัง จากคุณ : Devonshire เขียนเมื่อ : 21 พ.ย. 54 20:32:04