|
ขอบคุณคุณ boxcatt ครับ ที่อธิบายปัญหาของเจ้าของกระทู้ให้เข้าใจ
มีฎีกาฉบับหนึ่ง จขกท. ลองอ่านดู
คำพิพากษาฎีกาที่ 1511/2542 ย่อสั้น เดิมที่ดินโฉนดเลขที่ 94068 ของโจทก์และ โฉนดเลขที่ 94012 พร้อมสิ่งปลูกสร้างของจำเลย เป็นที่ดินแปลงเดียวกันซึ่งโจทก์ซื้อ มาจากน. โดยมีสิ่งปลูกสร้างอยู่ในที่ดินมาก่อนแล้ว ต่อมาโจทก์นำที่ดินโฉนดเลขที่ 94012 ไปจดทะเบียนจำนอง และมีการ บังคับจำนอง ซึ่งต.เป็นผู้ประมูลได้ จากนั้นต. ขายที่ดินดังกล่าวพร้อมสิ่งปลูกสร้างให้แก่จำเลย ปรากฏว่า สิ่งปลูกสร้าง บางส่วนคือส่วนหนึ่งของบ้านเลขที่ 17 และรั้วบ้านรุกล้ำที่ดิน โฉนดเลขที่ 94068 ของโจทก์ กรณีจึงไม่เข้า ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1312 เพราะการรุกล้ำมิได้ เกิดจากจำเลยสร้างขึ้น เมื่อไม่มีบทกฎหมายที่จะยกมาปรับคดีได้ จึงต้องนำมาตรา 1312 ซึ่งเป็นบทกฎหมาย ใกล้เคียงอย่างยิ่งมาปรับ ตามมาตรา 4 วรรคสอง แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ดังนั้นโจทก์ จึงไม่มีอำนาจฟ้องจำเลยให้รื้อส่วนของบ้านเลขที่ 17 ที่รุกล้ำ แต่มีสิทธิเรียกเงินเป็นค่าใช้ส่วนแดนกรรมสิทธิ์ และดำเนินการจดทะเบียนสิทธิเป็นภารจำยอม เมื่อรั้วบ้าน ที่รุกล้ำนั้นมิใช่การรุกล้ำของโรงเรือน หรือส่วนหนึ่งส่วนใด ของโรงเรือนอันจะปรับใช้ มาตรา 1312 ได้ จำเลยจึงต้อง รื้อรั้วบ้านที่รุกล้ำ โจทก์มีคำขอให้จำเลยรื้อสิ่งปลูกสร้างที่รุกล้ำ ออกไป รั้วบ้าน ก็อยู่ในความหมายของสิ่งปลูกสร้าง ในที่ดินเช่นเดียวกับโรงเรือน การที่ศาลชั้นต้นพิพากษา ให้จำเลยรื้อรั้วบ้านที่รุกล้ำ จึงหาได้ เป็นการพิพากษา เกินคำฟ้องไม่ แม้ก่อนฟ้องคดีนี้จำเลยยังไม่ตกเป็นผู้ผิดนัด แต่เมื่อโจทก์ ฟ้องเรียกค่าใช้ที่ดินจากจำเลยแล้ว จำเลยปฏิเสธไม่ยอมชำระ ค่าใช้ที่ดินแก่โจทก์ ย่อมถือว่าจำเลยตกเป็นผู้ผิดนัด นับแต่วันฟ้องแล้ว
ย่อยาว โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดินโฉนด เลขที่ 94068 ซึ่งอยู่ติดกับที่ดินโฉนดเลขที่ 94012 ของจำเลย จำเลยปลูกสร้างโรงเรือนรุกล้ำที่ดินของโจทก์เต็มเนื้อที่ โจทก์ให้จำเลยรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างที่รุกล้ำแล้วแต่จำเลยเพิกเฉย ขอให้บังคับจำเลยรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างส่วนที่รุกล้ำออกจากที่ดินโจทก์ และส่งมอบการครอบครองที่ดินให้โจทก์ในสภาพเรียบร้อยห้ามจำเลย และบริวารเข้าไปเกี่ยวข้อง มิฉะนั้นให้โจทก์มีอำนาจรื้อถอนเอง โดยให้จำเลยเป็นผู้ออกค่าใช้จ่ายหรือให้จำเลยชดใช้ราคาที่ดิน เป็นเงิน 420,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ กับให้จำเลยใช้ค่าเสียหาย แก่โจทก์ 15,000 บาท และอัตราเดือนละ 5,000 บาท จนกว่า จะรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างและส่งมอบการครอบครองที่ดินแก่โจทก์ จำเลยให้การและฟ้องแย้งว่า เดิมที่ดินโฉนดเลขที่ 94012 พร้อมสิ่งปลูกสร้างเลขที่ 17 ที่รุกล้ำเป็นของโจทก์ โดยโจทก์ เป็นผู้ปลูกสร้างขึ้น ต่อมาโจทก์นำที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างดังกล่าว จดทะเบียนจำนอง และถูกบังคับจำนองนำที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้าง ออกขายทอดตลาดโดยไม่ระบุว่าสิ่งปลูกสร้างเลขที่ 17 นั้นรุกล้ำ ที่ดินโฉนดเลขที่ 94068 ซึ่งนางต่วน วิภาบุษบากร เป็นผู้ประมูลได้ ต่อมานางต่วนขายที่ดินดังกล่าวให้จำเลยและจำเลยเข้าครอบครอง ตลอดมาในสภาพเดิมโดยสุจริตและเปิดเผยที่ดินโฉนดเลขที่ 94068 จึงตกเป็นภารจำยอมแก่สิ่งปลูกสร้างเลขที่ 17 จำเลยไม่ได้ทำละเมิด ต่อโจทก์ โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้อง ขอให้ยกฟ้อง และขอให้บังคับโจทก์ จดทะเบียนให้ที่ดินโฉนดเลขที่ 94068 ตกเป็นภารจำยอมแก่สิ่งปลูกสร้าง เลขที่ 17 มิฉะนั้นให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนา โจทก์ให้การแก้ฟ้องแย้งว่า จำเลยครอบครองที่ดินส่วนที่รุกล้ำ โดยไม่สุจริตและมิได้เป็นผู้ปลูกสร้างโรงเรือนที่รุกล้ำที่ดินโจทก์ โดยสุจริต จึงไม่มีสิทธิขอให้จดทะเบียนภารจำยอม ขอให้ยกฟ้องแย้ง ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้ว พิพากษาให้จำเลยรื้อถอนรั้วที่รุกล้ำ ออกจากที่ดินของโจทก์ และให้จำเลยชำระเงินค่าใช้ที่ดิน 100,000 บาท แก่โจทก์ พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันฟ้อง (ฟ้องวันที่ 20 มีนาคม 2538) จนกว่าจะชำระเสร็จ กับให้โจทก์จดทะเบียนที่ดินโฉนดเลขที่ 94068 ตำบลบางจาก อำเภอพระโขนง กรุงเทพมหานคร เป็นภารจำยอมแก่ที่ดิน โฉนดเลขที่ 94012 เฉพาะในส่วนของบ้านเลขที่ 17 ที่รุกล้ำ หากไม่ปฏิบัติตามให้ถือเอาคำพิพากษาเป็นการแสดงเจตนาของโจทก์ คำขออื่นนอกจากนี้ให้ยก โจทก์และจำเลยอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน จำเลยฎีกา ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า "ข้อเท็จจริงเป็นที่ยุติ โดยคู่ความมิได้ โต้เถียงกันว่าเดิมที่ดินโฉนดเลขที่ 94068 ของโจทก์ และโฉนด เลขที่ 94012 พร้อมสิ่งปลูกสร้างของจำเลย เป็นที่ดินแปลงเดียวกัน คือโฉนดเลขที่ 56162 ซึ่งโจทก์ซื้อมาจาก นางโนรี เตชะไพบูลย์ ทั้งนี้โดยมีสิ่งปลูกสร้างอยู่ในที่ดินมาก่อนแล้ว ต่อมาโจทก์นำที่ดินโฉนด เลขที่ 94012 ไปจดทะเบียนจำนอง และมีการบังคับจำนอง ซึ่งนางต่วน วิภาบุษบากร เป็นผู้ประมูลได้ จากนั้นนางต่วนได้ขายที่ดินดังกล่าว พร้อมสิ่งปลูกสร้างให้แก่จำเลยปรากฏว่าสิ่งปลูกสร้างบางส่วนคือส่วนหนึ่ง ของบ้านเลขที่ 17 และรั้วบ้านรุกล้ำที่ดินโฉนดเลขที่ 94068 ของโจทก์ ตามข้อเท็จจริงแห่งคดีกรณีไม่เข้าประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1312 เพราะการรุกล้ำมิได้เกิดจากจำเลยสร้างขึ้น เมื่อไม่มีบทกฎหมายที่จะยกมาปรับคดีได้จึงต้องนำ มาตรา 1312 ซึ่งเป็นบทกฎหมายใกล้เคียงอย่างยิ่งมาปรับตามมาตรา 4 วรรคสอง แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ดังนั้น โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้อง จำเลยให้รื้อส่วนของบ้านเลขที่ 17 ที่รุกล้ำแต่มีสิทธิเรียกเงินเป็น ค่าใช้ส่วนแดนกรรมสิทธิ์ และดำเนินการจดทะเบียนสิทธิ เป็นภารจำยอม ซึ่งประเด็นข้อนี้คู่ความยอมรับโดยมิได้โต้แย้งจำเลย คงฎีกาโต้แย้งเฉพาะรั้วบ้านที่รุกล้ำว่าเป็นส่วนหนึ่งของโรงเรือน ที่ได้รับความคุ้มครองตามมาตรา 1312 ซึ่งประเด็นดังกล่าว เห็นว่า รั้วบ้านที่รุกล้ำนั้นมิใช่การรุกล้ำของโรงเรือนหรือ ส่วนหนึ่งส่วนใดของโรงเรือนอันจะปรับใช้มาตรา 1312 ได้ ที่ศาลล่างทั้งสองวินิจฉัยให้จำเลยรื้อรั้วบ้านที่รุกล้ำ จึงชอบแล้ว ฎีกาของจำเลยในข้อนี้ฟังไม่ขึ้น จำเลยฎีกาอีกข้อหนึ่งว่า ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลย รื้อรั้วบ้านเป็นการพิพากษาเกินคำฟ้อง เพราะโจทก์ขอท้ายฟ้อง ให้จำเลยรื้อสิ่งปลูกสร้างที่รุกล้ำออกไปเท่านั้น เห็นว่ารั้วบ้าน ก็อยู่ในความหมายของสิ่งปลูกสร้างในที่ดินเช่นเดียวกับโรงเรือน ดังนั้นที่ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยรื้อรั้วบ้านที่รุกล้ำ จึงหาได้ เป็นการพิพากษาเกินคำฟ้องไม่ ฎีกาจำเลยข้อนี้ฟังไม่ขึ้นเช่นกัน ส่วนที่จำเลยฎีกาโต้แย้งว่า ที่ศาลล่างทั้งสองกำหนดค่าใช้ที่ดิน จำนวน 100,000 บาท สูงกว่าความเป็นจริงนั้น เห็นว่า ที่ดินของโจทก์อยู่ติดถนน ซึ่งโจทก์ไม่อาจใช้ประโยชน์จากส่วนที่ โรงเรือนรุกล้ำได้ทั้งบ้านเลขที่ 17 ก็มีสภาพมั่นคงแข็งแรง ทำให้จำเลยสามารถใช้ประโยชน์ได้เป็นเวลานานยากที่จะสลาย ไปตามสภาพ ค่าใช้ที่ดินที่ศาลล่างทั้งสองกำหนดมาจึงเป็นจำนวน ที่เหมาะสมแล้ว ฎีกาของจำเลยฟังไม่ขึ้น จำเลยฎีกาเป็นประเด็นสุดท้ายว่า จำเลยยังไม่ตกเป็นผู้ผิดนัด จึงไม่ต้องชำระดอกเบี้ยให้โจทก์นั้น เห็นว่า จริงอยู่คดีนี้ก่อนฟ้อง จำเลยยังไม่ตกเป็นผู้ผิดนัดแต่เมื่อโจทก์ฟ้องเรียกค่าใช้ที่ดินจากจำเลยแล้ว จำเลยปฏิเสธไม่ยอมชำระค่าใช้ที่ดินแก่โจทก์ย่อมถือว่าจำเลยตกเป็นผู้ผิดนัด นับแต่วันฟ้อง ที่ศาลล่างทั้งสองวินิจฉัยให้จำเลยชำระดอกเบี้ยในอัตรา ร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันฟ้อง จนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ จึงชอบแล้ว ฎีกาของจำเลยฟังไม่ขึ้น" พิพากษายืน แหล่งที่มา สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ ชื่อองค์คณะ ( วิชา มหาคุณ - วินัย วิมลเศรษฐ - พูนศักดิ์ จงกลนี )
แก้ไขเมื่อ 29 ม.ค. 55 13:16:02
จากคุณ |
:
นอนดูดาว (นอนดูดาว)
|
เขียนเมื่อ |
:
29 ม.ค. 55 13:14:54
|
|
|
|
|