|
ความแตกต่างของหมออุดมการณ์และหมอเอกชน หมออุดมการณ์ปีที่ 1 : เราจบใหม่ ทำงานให้รัฐ เราจะอดทน มาเพื่อประชาชน ผู้เจ็บไข้ได้ป่วย แม้จะต้องทำงานต่างจังหวัดไกลๆก็ตาม และนอนกลางวันหรือนอนข้ามวันก็ตาม หมอเอกชนปีปี่ 1 : จ่ายคืน4แสนให้รัฐ ทำเอกชนรับปีละ 2 ล้าน ขับ Benz วิ่งชิ้วดีกว่า ---------------------------------------------------------------------------------------------------------- หมออุดมการณ์ปีทื่ 2 : เริ่มกัดฟันสู้ มีเงินไปดาวน์รถได้แล้ว แต่ต้องทำงานอยู่เวรข้ามคืนเพื่อผ่อนรถ อยู่เวรจนไม่ได้พัก รถก็ไม่ได้ขับไปไหน ไม่มีเวลาหาแฟน พ่อแม่เป็นห่วงว่างานจะหนัก โทรมาถามสารทุกข์สุกดิบเกือบทุกวัน หมอเอกชนปีที่ 2 : ซื้อบ้านหลังใหญ่ พาพ่อแม่ไปกินข้าว หาแฟนเป็นทันตะหรือพยาบาล มีเวลาพาแฟนไปเที่ยวทุกวัน โทรมาชวนเพื่อนหมออุดมการณ์ ไปงานขึ้นบ้านไหม่และงานแต่งงาน พ่อแม่ดีใจที่ไม่ต้องทนเห็นลูกทนเหน็ดเหนื่อยในร.พรัฐต่างจังหวัด ---------------------------------------------------------------------------------------------------------- หมออุดมการณ์ปีที่ 3 : นึกในใจการที่เราไปอยู่เอกชน เราก็สามารถดูแลคนไข้ได้เหมือนกัน แม้จะเป็นคนไข้อีกกลุ่มหนึ่ง แต่เราก็ดูแลคนไข้ได้อย่างเต็มที่ ใช้ฝีมืออย่างเต็มความสามารถ ในขณะที่อยู่รพ.รัฐ งานก็หนักเงินก็น้อยยังไม่เกินแสน เสี่ยงก็เสี่ยง คนไข้เยอะทั้งวัน ตรวจคนไข้แบบลวกๆ เพื่อให้ตรวจได้ครบทุกคน จะลงแลปตรวจละเอียดเพิ่ม รพ.รัฐก็ไม่มีให้ส่ง (งบ รพ.น้อย) จะใช้ยานอกบัญชี ผอ.โรงบาลก็จะมาว่าเราฮั้วกับผู้แทนยา หากเราอยู่รัฐต่อแทนที่จะได้บุญกลับได้บาปมากกว่า เพราะเรารักษาคนไข้ได้ไม่เต็มความสามารถ หากเราไปเอกชน ได้ใช้ฝีมือดูแลคนไข้เต็มที่ก็ถิอว่าไม่ได้ละทิ้งอุดมการณแต่อย่างใด หมอเอกชนปีที่ 3: เพื่อนมาทำงานกะเราไหม โบนัสเยอะ รักษาฟรี งานไม่หนัก ทำวันละ 6 ชม.กว่าๆ ให้คำปรึกษาพวกเหนื่อยจิตใจ แถมบริษัทยาส่งไปดูงานเมืองนอกปีละ 2-3 ครั้ง แพลนว่าจะมีลูกคนแรกแล้ว มีเวลาให้ครอบครัวเยอะ คุณภาพชีวิตมั่นคงและดีเยี่ยม -------------------------------------------------------------------------------------- หมออุดมการณปีที่4: ป่ะเพื่อน เราขอไปอยู่กะนาย ใช้ทุนครบและ หมดเวรหมดกรรมแล้ว นศพ.ที่จบแพทย์ไหม่ๆ ไฟแรงอุดมการณ์สูง ก็จะวนลูปเป็นหมออุดมการณ์ปีที่ 1-3 เท่านั้น ( พอมาทำงานหนักๆ เอาเข้าจริง มักไม่เกิน 3 ปี ไปต่อเฉพาะทางหรือเอกชนกัน 99 % ) ------------------------------------------------------------------------------------------ ชีวิตจริงพนักงานบริษัทในประเทศไทย ทำงานในบริษัท เงินเดือนเป็นอย่างไร ความก้าวหน้าเป็นอย่างไร ? สมมุตินาย A ทำงานบริษัท รับเงินเดือนเริ่มต้น 15,000 ต้องทำงานประมาณ ขั้นต่ำ 7-14 ปี จึงจะมีเงินเดือนเป็น2เท่า หลังจากทำงานไปแล้วอย่างต่ำ 7 ปี ถ้าบริษัทขึ้นเงินเดือน10% ทุกปี จะรับเงินเดือนที่ 30,000 บ. แต่ถ้าบริษัทขึ้นปีละ 5% ทุกปี ต้องทำงานถึง 14 ปี จึงจะได้ 3 หมื่น (อัตราการขึ้นเงินเดือนบริษัทเอกชน ขึ้นเงินเดือนปีละ 5 - 10% ของเงินเดือน , มีโบนัส 1-3 เดือน) และถ้านาย A เริ่มทำงาน บริษัทจะโยนหนังสือมาให้นาย A อ่าน หรืออาจมีคนสอนให้นาย A ซึ่งนาย A มีเวลา 3 เดือน หากทดสอบความรู้ไม่ผ่าน หรือประพฤติตนแบบลาป่วย-มาสายบ่อยๆเข้า นาย A อาจถูกบอกเลิกจ้างใน 3 เดือน ดังนั้นนาย A ต้องทำให้นายจ้างพอใจได้มากที่สุด จึงจะทำ ให้บริษัทต่อสัญญาจ้างแบบถาวร ซึ่งพอนาย A ได้เป็นพนักงานประจำแล้ว พอทำงานได้ 2-3 ปี นาย A จึงเริ่มฉลาดขึ้น เพราะเงินเดือนขึ้นปีละ 10% หรือพันกว่าบาท กับเวลาที่เสียไปนั้นไม่คุ้มค่า นาย A จึงคิดหางานใหม่ เพื่อเพิ่มเงินเดือนให้เร็วขึ้นอย่างน้อย 30 - 100 % นาย A ต้อง ใช้เวลาหางานอย่างต่ำ 1 เดือน และอาจเรียกเงินเดือนที่ใหม่ได้ถึง 2 - 3 หมื่นบาท เมื่อนาย A ทำงานได้ 5-10 ปี จะพบสัจธรรมที่ว่า ความรู้ที่ได้รับ เป็นความรู้จำกัดที่ใช้ในบริษัทเท่านั้น ที่ไม่สามารถเอาไปใช้ได้ในชีวิตประจำ และมีประโยชน์ต่อบริษัทเท่านั้น เพราะเป็นความรู้ที่เรียนมา ด้วยตนเองในเวลา 3 เดือน และความรู้เหล่านั้น สามารถนำเด็กจบใหม่ มาฝึกและทำแทนตนได้ใน 3 เดือนเช่นกัน แม้ตนจะทำงานถึง 10 ปีก็ตาม ก็เป็นงานที่ทำเหมือนเดิม แต่ให้ผิดพลาดน้อยลง เช่น นาย A อาจเขียนโปรแกรม ก. ได้อย่างถนัด.. 10 ปีผ่านไป โปรแกรม ก.ตกรุ่น โปรแกรม ข. เกิดขึ้น ทำให้นาย A ต้องกลับมาศึกษา เช่นเดียวกับเด็กจบใหม่ แม้จะมีเงินเดือนมากกว่าเด็กจบใหม่ 2 เท่า แต่นาย A จะถูกกดดันจากนายจ้าง เพราะเรียนรู้ได้ช้าตามอายุ จึงไม่สามารถแข่งขัน กับเด็กจบใหม่ได้ อนาคตของนาย A คือ ต้องย้ายงานเป็นที่ 3 ที่ 4 ที่ 5......สุดท้ายเมื่อลาออก จากบริษัท นาย A ยิ่งหางานยาก เพราะบริษัทอื่น ย่อมมีโปรแกรมของตนเอง โปรแกรม ค,ง,จ...ฮ ทำให้นาย A ต้องหางาน อาจเรียกเงินเดือนเท่าเด็กจบใหม่ 15000 บาท ซึ่งแน่นอนด้วยอายุที่มาก การเรียนรู้ของนาย A ย่อมลดลง บริษัทเหล่านั้น เริ่มลังเลที่จะรับนาย A เข้าทำงาน หรือต่อรองเงิน ดังนั้นนาย A อาจต้องตกงานหรือหางานนานหลายปี เพราะมีแต่ทักษะเฉพาะที่ใช้ได้กับบริษัทเก่า แต่ไม่สามารถนำไปใช้ได้กับที่อื่นๆ ได้อีกต่อไป..... นี่คือชีวิตจริงของวิศวกรและสาขาอื่นๆ แต่ถ้านาย A อยู่บริษัทแรกนาน 8 - 10 ปี และผลการทำงานเข้าตานายจ้าง มีวินัยสูง ทำงานดึกได้ พูดภาษาที่สองหรือสามได้ นายจ้างอาจเลื่อนให้นาย A เป็นผู้จัดการ ซึ่งจะมีเงินเดือน 5-6 หมื่นบาท ตอนอายุ30เศษๆ และถ้าโชคดีอาจได้เงินเดือน 1 แสนบาท หากพูดและฟังภาษาที่สองได้คล่อง แต่ก็ไม่มีอะไรรับประกันได้ว่านาย A จะได้เลื่อนต่ำแหน่งเมื่อไร ?? ทำให้นาย A คิดได้ต่อว่า นาย A จะต้องมีวินัย เชื่อฟัง เคารพ ให้เกียติร ชมเชย อ่อนน้อม ซื่อสัตย์ ต่อนายจ้าง เพราะความก้าวหน้าของนาย A ขึ้นอยู่กับคนเพียงคนเดียว คือ นายจ้างนั่นเอง จากตัวอย่างจริงที่ยกมา คุณอยากมาทำสิ่งนี้หรือเปล่า กับงานออฟฟิศแบบนี้ไหม ?? คุณอยากให้อนาคตของคุณ ถูกคนที่คุณไม่ได้อยากรู้จัก มากำหนดอนาคตคุณหรือเปล่า? ------------------------------------------------------------------------------------- ชีวิตจริงหมอทำคลีนิคผิวหนังอย่างวุฒิศักดิ์-นิติพล ขณะเดียวกันที่นาย B ซึ่งเรียนจบแพทย์ 6 ปี ต้องฝ่าฟันความลำบากทั้งจากการสอบเข้า การเรียน การอยู่เวรแบบข้ามคืน และเจอทุกประสบการณ์จากคนไข้ ได้ตัดสินใจลาออก โดยไม่ทำงานใช้ทุน และจ่ายเงินคืนแก่รัฐ 4 แสนบาท เพื่อมาทำงานเป็นแพทย์ผิวหนังตามคลีนิค โดยทางคลีนิคจะ ส่งไปเรียนต่อในประเทศหรือต่างประเทศเป็นเวลา 4 เดือน และกลับมาทำงานที่คลีนิคในกรุงเทพ ด้วยเงินเดือนเริ่มต้นขั้นต่ำอยู่ที่ 2 แสนบาท โดยทำหน้าที่รับผิดชอบในคลีนิคพร้อมผู้ช่วยอีก6คน ถามว่านาย B เป็นคนไม่ดี หรือเลว หรือทำผิดกฏหมายหรือไม่ ? ที่ไม่ใช้ทุนและมาเป็นหมอเอกชน ตอบได้อย่างง่ายๆ ไม่มีตรงไหนผิดและไม่มีใครมาตัดสินว่าไม่ดี เพราะทุกอย่างที่ทำ คือ การลงทุน การเสียสละะความอุตสาหะ การสอบ การใช้เวลาเรียนที่นานกว่า และค่าเทอม-ค่าใช้ทุนที่มากกว่า ในขณะที่คนส่วนใหญ๋ไม่ต้องการเสียสละสิ่งเหล่านี้ ทำให้เกิดความแตกต่างสุดท้ายที่เงินเดือน หากนาย A มารู้ถึงเงินเดือนที่นาย B ได้รับ ถามว่านาย A จะไม่คิดแม้เลยซักนิดหรือไม่สนใจว่า สิ่งที่นาย A ทำอยู่มันแตกต่างจากนาย B มากเกินไป หรือนาย A อาจจะไม่รู้เหมือนคนอีกมากมาย ซึ่งถ้านาย A รู้ก่อนที่จะมาเรียน มองเห็นอนาคตตนเองได้ก่อน เพราะมีแบบอย่างหรือรู้มาก่อน ถามว่านาย A จะยอมมาทำงานแบบนี้ ยอมรับเงินเดือนแค่นี้หรือเปล่า? ตอบได้เลยโดยไม่ต้องคิด ไม่มีทางมาทำแน่นอน แต่ถึงนาย A จะรู้ตอนนี้ แต่ไม่สามารถกลับไปแก้ไขอะไรได้อีกแล้ว สิ่งเดียวที่นาย A ทำได้ คือ ยอมรับสภาพ โดยบอกว่าตนชอบสาขานี้ รักที่สิ่งที่เรียนมา โดยยกข้อดี ของตนเอง เช่น นาย A อาจทำงานสบายกว่านาย B , มีเวลาว่างในที่ทำงานมากกว่านาย B แต่ความสูญเสียแฝง ที่นาย A ไม่รู้ คือ นาย A สูญเสียรายได้ส่วนต่างถึง 10 เท่าเมื่อเทียบกับ B นาย A สูญเสียเวลาทำงานในชีวิตมากกว่านาย B ถึง 10 ปี , นาย A สูญเสียความรู้ที่ควรจะได้ เมื่อนาย A เปลี่ยนงานบ่อยเข้า จะสูญเสียความภาคภูมิใจในตนเองและพ่อแม่สูญเสียความเชื่อมั่น นาย A สูญเสียความมั่นคงในชีวิตและหน้าที่การงาน เพราะงานของตนสามารถเอาใครมาทำแทนได้ ภายหลังนาย A ตระหนักได้ว่าการทำงานทั้งชีวิต ก็เพื่อช่วยกลุ่มคนร่ำรวย(นายจ้าง)ให้รวยยิ่งขึ้น แต่นายจ้างนั้น กลับขึ้นเงินเดือนให้นาย A เพียงน้อยนิด และมองว่า สามารถหาคนมาแทนที่นาย A ด้วยค่าจ้างที่ต่ำกว่าได้ตลอดเวลา แต่ถ้านายA ไม่ตระหนักถึงสิ่งเหล่านี้ นายA อาจถามนาย B ต่อว่า ทำไมคุณไม่เสียสละ ทำไมคุณเห็นแก่เงิน ทำไมคุณไม่ไปใช้ทุนต่างจังหวัด ทำไมคุณมาทำเอกชน? นาย B เลยย้อนถามกลับ นาย A ว่า " คุณไม่ได้ทำงานเพื่อเงิน คุณเรียนกันมาเพื่ออะไร แล้วคุณจะมาทำงานให้เหนื่อยทำไม " " แล้วที่คุณทำงานให้เอกชน มันต่างจากผมตรงไหนหรือ หรือต่างกันที่เงินเดือน10เท่า " " ทำไมคุณไม่มาเสียสละเหมือนที่ผมทำบ้างล่ะ ว่าแต่คุณจบอะไรมาหรือ ?" " ตอนคุณเอนทรานซ์ คะแนนคุณเป็นไง? มันบอกถึงความตั้งใจและความอดทนคุณได้ " " อนาคตของคุณ คุณไม่ได้สร้างขึ้นมากับมือคุณหรอ คุณไม่ได้กำหนดด้วยสองมือคุณ?" " ทำไม คุณบอกให้คนอื่น ต้องทำแบบนั้นแบบนี้ ทั้งที่คุณไม่เคยคิดจะทำ แม้แต่นิดเดียว " " แล้วทำไมความคิดของคุณถึงเห็นแก่ตัวแบบนี้ แล้วทำไม ผมจะเห็นแก่ตัวเองบ้างไม่ได้ " " คุณเป็นใคร มีสิทธิอะไรมาตัดสินคนอื่น คุณเคยทำอะไร? เพื่อคนอื่น บ้างหรือเปล่า " " ทำไมคุณชอบอ้างตัวอย่างถึงเศรษฐีที่รวยล้นฟ้า คุณได้เป็นเหมือนพวกเขาแล้วหรือ ?" " ตอนคุณเรียนต่อ คุณไม่ได้ศึกษาเงินเดือน ค.ก้าวหน้าของงาน สิ่งที่คุณต้องออกไปทำ หรือแค่อาศัยเหตุผลง่ายๆ เหมือนคนอีกเป็นแสนๆ คือ แค่ชอบ แล้วตอนนี้เป็นไงล่ะ ? " "คุณไม่เคยสงสัยเลย?ทำไมผมถึงไม่เรียนคณะที่คุณเรียน แม้คะแนนผมจะติดได้สบาย" " ค.แตกต่างของผมกับคุณ คือ ผมจะกลายเป็นผู้เชี่ยวชาญ แต่่คุณเป็นแค่ผู้ลอกเลียน " " คุณยังไม่รู้ตัวอีกหรือ ว่าคุณกำลังสูญเสียอะไร ? " เงินเดือนของสาขาอาชีพสาขาต่างๆ UPDATE 2555 1. สาขาวิทยาศาสตร์ > นักวิจัย ตรวจสอบ,วิเคราะห์,แปรผลข้อมูล ผลิตภัณฑ์-สิ่งมีชีวิต ทำงานในแล๊บ,โรงงาน - เงินเดือนรัฐ-เอกชน ปริญญาตรี ขั้นต่ำ 12,000 บาท , ปริญญาโท ขั้นต่ำ 18,000 บาท > นักวิจัย นักเรียนทุน กพ. ศึกษาตรีถึงเอก ใช้ทุนรับราชการในหน่วยงานต่างๆ เช่น Nectec - เงินเดือนรัฐ ปริญญาเอก เริ่มต้นที่ 30,000 บาท > โปรแกรมเมอร์ วิทย์คอม ตรวจสอบครีเอท ประยุกต์ใช้ภาษาคอมต่างๆเพื่อผลิตซอฟแวร์ - เงินเดือนเอกชน ปริญญาตรี ขั้นต่ำ 15,000 บาท , ปริญญาโท ขั้นต่ำ 20,000 บาท 2. สาขาวิศวกรรม > วิศวกรคอมพิวเตอร์ โปรแกรมเมอร์ ทดสอบ หาจุดผิด เขียนโปรแกรม ทำรายงานผล - เงินเดือนเอกชน ปริญญาตรี ขั้นต่ำ 15,000 บาท , ปริญญาโท ขั้นต่ำ 25,000 บาท > วิศวกรไฟฟ้า ควบคุม ตรวจสอบ บำรุงรักษา แก้ไข อุปกรณ์ระบบไฟฟ้าในโรงงาน-บริษัท - เงินเดือนเอกชน ปริญญาตรี ขั้นต่ำ 15,000 บาท , ปริญญาโท ขั้นต่ำ 22,000 บาท > วิศวกรเคมี ตรวจสอบ วิเคราะห์ แปรผล ระบบสารเคมี-ปิโตรเลียม ในโรงงาน-บริษัท - เงินเดือนเอกชน ปริญญาตรี ขั้นต่ำ 18,000 บาท , ปริญญาโท ขั้นต่ำ 22,000 บาท > วิศวกรเครื่องกล ออกแบบเครื่องทำความเย็น ทดสอบมอเตอร์หม้อน้ำ วาดแบบระบบการผลิต - เงินเดือนเอกชน ปริญญาตรี ขั้นต่ำ 16,000 บาท , ปริญญาโท ขั้นต่ำ 20,000 บาท > วิศวกรโยธา ควบคุมงานถนน,อาคาร ประมาณราคา เคลียร์แบบ ใช้โปรแกรมวาดแบบ - เงินเดือนเอกชน ปริญญาตรี ขั้นต่ำ 15,000 บาท , ปริญญาโท ขั้นต่ำ 20,000 บาท เงินเดือนโดยเฉลี่ยของวิศวกรส่วนใหญ่บนกราฟแจกแจงปกติ (Z=0) คือ 18,000 บาท 3. สาขาเภสัช > เภสัชกร ตรวจสอบ สั่งยา เช็คสต๊อก ควบคุมรายการเข้าออกยา ในโรงงาน-บริษัท-ร้านยา - เงินเดือนเอกชน ปริญญาตรี ขั้นต่ำ 20,000 บาท บวกเดิอนละ 5,000 - 7000 บาท (ค่าแขวนป้ายชื่อเภสัชในร้านยา) > ผู้แทนยา สั่งยา เช็คสต๊อก อำนวยความสะดวกแก่แพทย์ เสนอขายยาแก่แพทย์-โรงบาล - เงินเดือนเอกชน ปริญญาตรี เงินเดือนรวมค่าคอมมิชชั่นและอื่นๆ ขั้นต่ำ 40,000 บาท บวกเดิอนละ 5,000 - 7000 บาท (ค่าแขวนป้ายชื่อเภสัชในร้านยา) 4. สาขาสัตวแพทย์ > สัตว์แพทย์ ตรวจโรคความผิดปกติ รักษา จ่ายยา ผ่าตัดเล็ก สัตว์ต่างๆ เช่น สุนัข แมว วัว - เงินเดือนรัฐหรือเอกชน ขั้นต่ำ 15,000 บาท 5. อักษรศาสตร์-ครุศาสตร์-วารสารศาสตร์ > นักแปล ล่ามภาษาต่างๆ แปลภาษาอื่นเป็นภาษาอังกฤษ สื่อสารให้ข้อมูลแก่ชาวต่างชาติ - เงินเดือนเอกชน ปริญญาตรี ขั้นต่ำ 20,000 บาท , ปริญญาโท ขั้นต่ำ 25,000 บาท > อาจารย์โรงเรียนรัฐ ทำหน้าที่สอน ออกข้อสอบ ดูแลนักเรียนในคาบ ประชุมผู้ปกครอง - เงินเดือนรัฐ ปริญญาตรี 15,000 บาท , ปริญญาโท 17,000 บาท > แอร์โฮสเตด ทำหน้าที่ให้บริการบนเครื่องบิน เสริฟอาหาร ยกสัมภาระ ดูแลลูกเรือ - เงินเดือนเอกชน ปริญญาตรี ขั้นต่ำรวมค่าชม.ทำงานบนเครื่องบิน 40,000 บาท 6. บริหารธุรกิจ-บัญชี-รัฐศาสตร์ และสายศิลป์อื่นๆ > เจ้าหน้าที่ธนาคาร บริการฝาก-ถอนเงิน เปิด-ปิดบัญชี ให้ข้อมูลต่างๆแก่ลูกค้า - เงินเดือนธนาคารต่างๆ ปริญญาตรี ขั้นต่ำ 13,500 บาท, ปริญญาโท ขั้นต่ำ 20,000 บาท > นักบัญชี ทำบัญชีผ่านทางซอฟแวร์ในคอม ปิดงบดุล คิดภาษี คำนวณค่าใช้จ่ายต่างๆ - เงินเดือนเอกชน ปริญญาตรี ขั้นต่ำ 15,000 บาท , ปริญญาโท ขั้นต่ำ 20,000 บาท > ฝ่ายบุคคล-บริการลูกค้า คัดเลือกพนักงาน ทำนัดหมายตารางงาน ให้บริการลูกค้าต่างๆ - เงินเดือนเอกชน ปริญญาตรี ขั้นต่ำ 13,000 บาท , ปริญญาโท ขั้นต่ำ 20,000 บาท เงินเดือนโดยเฉลี่ยของคนส่วนใหญ่บนกราฟแจกแจงปกติ คือ 15,000 บาท 7. นิติศาสตร์ > อัยการรัฐ วินิจฉัยพยานหลักฐานสำนวนของตำรวจสั่งฟ้อง สอบปากคำโจทย์จำเลยในศาล - เงินเดือนรัฐ ปริญญาตรี 16,720 บาท > ทนาย วินิจฉัยพยานหลักฐานจากอัยการสั่งฟ้อง สอบปากคำผู้ต้องหา-พยานในศาล - เงินเดือนเอกชน ปริญญาตรี ขั้นต่ำ 16,000 บาท 8. แพทย์-ทันตแพทย์โรงบาลรัฐ (จบใหม่ ใช้ทุน) - เงินเดือนประกอบด้วย 8 ส่วน 1. เงินเดือน 15,000 บาท 2. ค่าไม่ทำคลีนิค 10,000 บาท 3. เงินประจำต่ำแหน่ง (พตศ.) 5,000 บาท 4. เงินค่ากันดารระดับ 1-2 ขึ้นกับจังหวัดใช้ทุน 10,000 หรือ 20,000 บาท 5. เงินค่าอยู่เวรหลังเวลาราชการและเสาร์อาทิตย์ เฉลี่ย เดือนละ 10,000 - 20,000 บาท 6. เงินค่าเบี้ยเลี้ยงเหมาจ่าย เดือนละ 2,000 - 5,000 บาท 7. เงินค่าเสี่ยงภัย หากปฏิบัติงานใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ เดือนละ 20,000 บาท 8. ค่าแขวนป้ายชื่อแพทย์ในคลีนิคเพื่อรับรอง เดือนละ 10,000 บาท (option) โดยเฉลี่ยหมอรัฐจะรับเงินเดือนในช่วง 4 หมื่น - 1 แสนบาท แต่ปัญหา คือ งานที่หนัก และการอยู่เวรแบบข้ามคืน และมีความเสี่ยงจากการผ่าตัด จึงเป็นอีกสาเหตุที่ทำให้หมอส่วนใหญ่ในระบบ หันไปทำงานให้เอกชนแทน... เพราะเงินเดือนเฉลี่ยรวมของโรงบาลเอกชนสำหรับหมอจบใหม่ 120,000 บาท ขึ้นไป อาชีพสาขาขาดแคลน ช่วงอายุผู้ปฏิบัติงาน 25-30 ปี ( โรงพยาบาลเอกชน ) 1. ทันตแพทย์ ทำหน้าที่ อุดฟัน-ถอนฟัน-ขูดหินปูน เงินเดือนในโรงพยาบาลเอกชน-คลีนิค ขั้นต่ำที่ 90,000 บาท 4 สาขาที่ทำเงินเดือนได้ ขั้นต่ำ 150,000 ถึง 500,000 บาท แต่มีความเสี่ยง แม้แพทย์จะมีประสบการณ์หลายปี 1. สูตินรีแพทย์ แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านการทำคลอดและตรวจโรคในสตรี ( แพทย์ OB-GYN ) โอกาสเสี่ยงคนไข้เสียชีวิตระหว่างทำคลอดที่ 5 % เงินเดือนในโรงพยาบาลเอกชน ขั้นต่ำที่ 200,000 บาท บวกค่าทำหัตถการ(DF)ของสูตินรีแพทย์หลัก ได้รับ 50% ของค่าผ่าตัด 2. ศัลยแพทย์ แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านการผ่าตัดอวัยวะภายในทั่วไป ( แพทย์ SUR ) โอกาสเสี่ยงคนไข้เสียชีวิตระหว่างผ่าตัดที่ 10 % โอกาสเสี่ยงคนไข้เสียชีวิตหลังผ่าตัดที่ 1 % เงินเดือนในโรงพยาบาลเอกชน ขั้นต่ำที่ 250,000 บาท บวกค่าทำหัตถการผ่าตัดของศัลยแพทย์หลัก ได้รับ 50% ของค่าผ่าตัด ส่วนศัลยแพทย์รอง(ผู้ช่วยผ่าตัด)ได้รับได้ไม่เกิน 25% ของค่าผ่าตัด 3. วิสัญญีแพทย์ แพทย์ผู้เชี่ยวชาญใช้ยาสลบ-ยาชาและควบคุมปริมาณยาสลบตลอดการผ่าตัด แพทย์ AME โอกาสเสี่ยงคนไข้เสียชีวิตระหว่างให้ยาสลบผ่านสายที่ 0.5 % เงินเดือนในโรงพยาบาลเอกชน ขั้นต่ำที่ 150,000 บาท บวกค่าทำหัตถการของวิสัญญีแพทย์ ไม่เกิน 10% ของค่าผ่าตัด 4. จักษุแพทย์ แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านตรวจรักษาโรคตาและผ่าตัดต้อทุกชนิด เลเซอร์ตา(lasik) แพทย์ OP โอกาสเสี่ยงเกิดผลข้างเคียงต่อการผ่าตัดสายตา 1% เงินเดือนในโรงพยาบาลเอกชน ขั้นต่ำที่ 250,000 บาท บวกค่าหัตถการในการทำเลเซอร์ตา 20,000-30,000 บาท ต่อหนึ่งคนไข้ 6 สาขาที่ทำเงินเดือนได้ 100,000 ถึง 300,000 บาท โอกาสเสี่ยงคนไข้เสียชีวิตระหว่างทำการรักษาที่ 0 % 5. อายุรแพทย์ แพทย์ผู้เชี่ยวชาญการตรวจโรคในผู้ใหญ่และการจ่ายยา ( แพทย์ MED ) เงินเดือนในโรงพยาบาลเอกชน ขั้นต่ำที่ 150,000 บาท 6. จิตแพทย์ แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านตรวจและฟื้นฟูสภาพจิตใจ เงินเดือนในโรงพยาบาลเอกชน ขั้นต่ำที่ 120,000 บาท 7. แพทย์โสต-ศอ-นาสิก แพทย์ผู้เชี่ยวชาญตรวจโรคด้านหู-ตา-คอ-จมูก ( แพทย์ ENT ) เงินเดือนในโรงพยาบาลเอกชน ขั้นต่ำที่ 200,000 บาท 8. รังสีแพทย์ แพทย์ผู้เชี่ยวชาญใช้รังสีเอ็กซ์วินิจฉัยโรคและเอ็กซเรย์ อัลตร้าซาวน์ MRI และ CT สแกน เงินเดือนในโรงพยาบาลเอกชน ขั้นต่ำที่ 120,000 บาท 9. กุมารแพทย์ แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านการตรวจโรคในเด็กแรกเกิดถึง 18 ปี ( แพทย์ PED ) เงินเดือนในโรงพยาบาลเอกชน ขั้นต่ำที่ 200,000 บาท 10. แพทย์ผิวหนัง แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านการตรวจสภาพผิวหนัง การทำทรีทเม้นหลายชนิด เงินเดือนในโรงพยาบาลเอกชนและคลีนิค ขั้นต่ำที่ 200,000 บาท 11. แพทย์เวชปฎิบัติทั่วไป แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านการตรวจโรคทั่วไป และการรักษาเบื้องต้น ( แพทย์GP ) เงินเดือนในโรงพยาบาลเอกชนและคลีนิค ขั้นต่ำที่ 120,000 บาท 12. แพทย์ออร์โธปิดิกส์ แพทย์ผู้เชี่ยวชาญการตรวจโรคทางกายภาพกายวิภาคของกระดูกและข้อในผู้สูงอายุ เงินเดือนในโรงพยาบาลเอกชนและคลีนิค ขั้นต่ำที่ 150,000 บาท
จากคุณ |
:
อย่าเลือกผิด
|
เขียนเมื่อ |
:
3 ก.พ. 55 01:25:07
A:125.24.47.179 X: TicketID:346985
|
|
|
|
|