|
ผมมองว่า "สิงคโปร์" เคยเป็นแบบนั้นครับ
แต่เป็นสิงคโปร์ในยุคของ "ป๋าลี" ลี กวน ยู เมื่อนานมาแล้วครับ เพราะทุกวันนี้สิงคโปร์เปลี่ยนไปตามกระแสโลกาภิวัฒน์
ผมถึงใช้คำว่า "เคยเป็น" กับพวกเขา
มันมีตัวอย่างจากหลายๆประเทศ ที่ทำให้ประเทศ "เผด็จการหลบใน" ต้องตระหนัก กรณีของ "อาหรับสปริง" ที่เปลี่ยนทูนิเซีย และ อีจิปท์ ทำให้ประเทศอย่างสิงคโปร์ต้องระมัดระวังการจัดการภายในมากขึ้น
หากเราจะนิยาม เจงกิสข่าน ว่าเป็นบิดาของพวกมองโกล หรือ ฟิเดล คัสโตร เป็นสัญลักษณ์ของคิวบายุคไหม่แล้ว
ป๋าลี คนนี้ก็ไม่ต่างกันหรอกครับ เพราะป๋าแกเป็น บิดาแห่งสิงคปุระ อย่างแท้จริง ค่าที่ว่าป๋าแกนำพารัฐนาวาสิงคโปร์ฝ่าลมพายุมาได้อย่างสวยหรูยาวนาน
คุณูปการของป๋าที่มีให้กับชาวลอดช่อง เริ่มมาตั้งแต่ในยุคซัก 60 ต้นๆนั่นแหละครับ ซึ่งเป็นยุคที่ป๋าขึ้นแท่นเป็นผู้นำประเทศคนแรกของแดนลอดช่อง
ในช่วงแรกของการนั่งทำเนียบตึกไทยคู่ฟ้าของสิงคโปร์นั้น ดินแดนเทมาเส็กกำลังอยู่ในภาวะ ตั้งไข่ ในทุกๆองคพยพครับ ป๋าลีต้องบริหารประเทศทั้งด้านการเมือง เศรษฐกิจ และ สังคม
แต่ที่สำคัญที่สุดก็คือเรื่องของ ความมั่นคง ครับ
เพราะประเทศในแถบล่างของปลายด้ามขวานของเรา ล้วนแต่เป็นประเทศในเครือจักรภพ เป็นอาณานิคมของผู้ดีอังกฤษ
และเมื่อประกาศเอกราช เป็นตัวของตัวเอง ป๋าลีก็ตัดสินใจนำพาประเทศสิงคโปร์ของแก เข้าไปรวมกับ มาเลย์, ซาบาห์ และ ซาราวัค
และได้กลายมาเป็น สหพันธรัฐมาลายา
ก่อนที่จะ วงแตก ในอีก 2-3 ปีถัดมา และกลายเป็นประเทศสิงคโปร์แบบ เดี่ยวไมโครโฟน มาจนทุกวันนี้
ป๋าแกเป็นคนเด็ดขาดครับ ตลอดเวลาที่แกปกครองประเทศ แกจัดการเล่นงานฝ่ายตรงข้ามแบบถอนรากถอนโคน
ทั้งการฟ้องร้องหมิ่นประมาทกับนักการเมืองฝ่ายตรงข้าม ทั้งการจับกุมไปขับแบบไม่มีการดำเนินคดี โดยใช้กฎหมายความมั่นคง จนทำให้การเมืองในประเทศท่าเรือเล็กๆแห่งนี้นิ่งสงบ และบริหารได้ง่ายขึ้น
นี่แหละครับ..."ดูสงบ แบบแอบเผด็จการ" เหมือนที่คุณ จขกท.นิยามมาเลย
สิงคโปร์หลังการประกาศเอกราชของพวกเขา ก็มีสภาพไม่ต่างจากประเทศสารขัณฑ์ของเราหรอครับ เพราะมีการโกงกิน ทุจริต คอรัปชั่น กันอย่างมโหฬารเช่นกัน
แต่ ป๋าลี แกให้ยาแรงเลยครับ
ป๋าแกตั้งหน่วยงาน ปปช.เมืองสิงคโปร์ ตรวจสอบเรื่องการโกง และประกาศบทลงโทษคนโกงอย่างรุนแรงถึงขั้นประหารชีวิต อีกทั้งตั้งเงินเดือนข้าราชการให้สูงๆแพงๆไปเลย จะได้ไม่กินสินบน !!!
โห......ดูป๋าเขาทำซิ.....
ไปๆมาๆเกาะเล็กๆที่ไม่มีทรัพยากรอะไรเลย ได้กลายมาเป็นเมืองแถวหน้าของโลกนี้ มีความมั่นคงทางการเมือง ,มีความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สิน และมีเศรษฐกิจดีจนรายได้ต่อหัวที่พุ่งทะยานขึ้นไปอันดับต้นๆของโลกเลย
นั่งทำงานที่ตึก สิงคโปร์คู่ฟ้า มา 30 กว่าปี ป๋าแกก็คงรู้สึกว่าถึงเวลากลับบ้านไปเลี้ยงหลาน เล่นเปตองแล้ว ป๋าเลยลุกจากเก้าอี้ และส่งไม้ต่อให้ เฮียโก๊ะ โก๊ะ จ๊ก ตง มารับหน้าที่แทน
แต่ป๋าก็ไม่ได้หายไปไหนหรอกครับ เพราะตลอดเวลาที่ เฮียโก๊ะ เป็นนายกรัฐมนตรี ป๋าลีก็ยังทำหน้าที่เป็นเหมือนพวกบ้านเลขที่ 101 ของไทยเรา ที่ยังคงสามารถ สั่ง หรือมีอิทธิพลในการตัดสินใจในรัฐบาลของ เฮียโก๊ะ อยู่พอสมควร
ไม่รู้ว่าป๋าแกจะเหมือนอดีตผู้นำคนอื่นๆของเพื่อนบ้านหรือเปล่า ที่พอพ้นจากตำแหน่งแล้วก็ยังไม่ยอมออกจาก บ้านหลวง ที่อาศัยอยู่ระหว่างปฏิบัติหน้าที่ ...แหะ แหะ...
ก็อยู่กันมาด้วยดี ทั้งป๋าลี ทั้งเฮียโก๊ะ แหละครับ....
จวบจน โก๊ะ จ๊ก ตง พ้นจากตำแหน่งนายกฯ คราวนี้การเมืองสิงคโปร์ก็เลียนแบบการเมืองบ้านเราเลย
เพราะว่าได้ ลี เซียน ลุง ลุกชายของ ป๋าลี มาเป็นนายกฯคนถัดไป
โดยที่ ป๋าลี เขยิบขึ้นไปทำหน้าที่ CEO ของประเทศ และ เฮียโก๊ะ มือขวาคู่บารมีรับหน้าที่เป็น MD ของเมืองลอดช่อง
แหมมม.....ถ้าใครเป็นนายกฯ ลี เซียน ลุง คงจะปวดหัวดีพิลึก...!!!!
แต่ทั้งป๋าลี และ เฮียโก๊ะ ก็ช่วยกันทำงานประคับประคองประเทศได้เป็นอย่างดีครับ
อันว่า สภา ของเมืองลอดช่องนั้น เลือกตั้งกี่ครั้งต่อกี่ครั้งก็หาสส.ฝ่ายค้านทำยาได้ยากมาก เพราะ สส.รัฐบาลได้รับเลือกเข้ามาเป็นกอบเป็นกำในทุกๆยุคสมัย
จนโดนค่อนขอดว่าสิงคโปร์เป็น เผด็จการทางรัฐสภา
ชนิดที่ว่ารัฐบาลต้องแจกเก้าอี้เพื่อให้มี สส.ฝ่ายค้านเอาไว้ทำยาซักคนสองคนเลยครับ
ไม่งั้นมันก็จะทำงานกันไม่ได้ เพราะมันจะเป็นสภาที่ไม่มีฝ่ายค้าน
แต่แล้ว....ก็ถึงวันที่อำนาจของ ป๋าลี โดนท้าทาย จนทำให้ป๋าของชาวสิงคโปร์ผู้นี้ต้องออกมากล่าวคำว่า ผมพอแล้ว
ใช่ครับ.....สิงคโปร์เปลี่ยนไปครับ
เปลี่ยนไปแล้ว ในยุคของข้อมูลข่าวสารเดินทางได้เร็วแบบกระพริบตา โซเชี่ยล เน็ทเวิร์ค ต่างๆทำให้เกิดคนรุ่นใหม่ ที่มีองค์ความคิดใหม่ๆเกิดขึ้น และแน่นอนว่าคนรุ่นใหม่เหล่านี้อยากท้าทายอำนาจรัฐเก่าๆของ ป๋าลี ครับ
สิงคโปร์มีการเลือกตั้งทั่วไปเมื่อตอนกลางปี 54
ป๋าลีได้ ออกตัว เรียกคะแนนเสียงให้กับรัฐบาลของลูกชายว่า "คนสิงคโปร์จะต้องมานั่งสำนึกและเสียใจไปอักหลายต่อหลายปี หากคิดจะไปเลือก สส.พรรคฝ่ายค้านให้มาบริหารประเทศ !!!!!"
การออกตัวของป๋าลีครั้งนี้ ว่ากันว่าเป็นการ ตบหน้า คนรุ่นใหม่ของสิงคโปร์
และทำให้สิงคโปเรี่ยนรุ่นใหม่ๆตอบโต้ป๋าแก ด้วยการแห่กันไปลงคะแนนเสียงกาให้ สส.ฝ่ายค้านถึง 6 คน !!!!
มิหนำซ้ำยังมีอยู่เขตเลือกตั้งหนึ่ง ที่ จอร์จ เยียว รมต.ต่างประเทศของสิงคโปร์ ต้องสอบตกพ่ายแพ้ให้กับ สส.พรรคฝ่ายค้านอีกต่างหาก
แต่คุณจอร์จ เยียว แกเป็น รมต.ต่างประเทศที่ใช้ได้ครับ อย่างน้อยแกก็ไม่ใช่คนประเภท อาหารดี ดนตรีไพเราะ แบบ รมต.ต่างประเทศปากไม่ดีของบางประเทศแน่ๆ
อย่าลืมว่าในประเทศที่มี สส.ฝ่ายค้านแค่ 2 คนนั้น การได้มาถึง 6 ที่นั่งในวันที่โลกหมุนเปลี่ยนผ่านทุกอย่างไป มันเป็นความชอกช้ำ และพ่ายแพ้ ในแบบที่รัฐบาลสิงคโปร์รับไม่ได้ครับ
และที่สำคัญที่สุด มันคือ สัญญาน บางอย่างจากคนรุ่นใหม่ ที่ส่งเตือนไปยังคนรุ่นเก่าว่าพวกเขาพรอ้มที่จะ คิดต่าง แล้ว !!!
หลังจากรู้สึกได้ถึงสัญญานที่คนรุ่นใหม่แสดงออกแล้ว ป๋าลี...ผู้ซึ่งเข้าใจแล้วว่าการเมืองมันก็ อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ก็ได้ประกาศพร้อมๆกับ เฮียโก๊ะ ในการที่จะยุติบทบาททั้งหมด ที่เกี่ยวข้องกับการเมือง และ การชี้นำสังคมของสิงคโปร์อย่างทันที
ป๋าลีพูดเป็นภาษาไทยว่า
ผมพอแล้ว ยุคสมัยมันเปลี่ยนไปแล้ว มันถึงเวลาของคนรุ่นใหม่ที่จะแบกภาระในการนำพาประเทศต่อไป
นี่แหละครับ.....สปิริตของป๋าลี....
ผมไม่ชอบประเทศสิงคโปร์ เพราะผมรู้สึกว่าพวกเขาเป็นหุ่นยนต์ เป็นเผด็จการ ที่ก้มหน้าก้มตาทำงานกันอย่างเคร่งเครียดไม่มีชีวิตชีวา
แต่หากจะมีซักเรื่องที่ผม นิยม พวกเขา และแสนจะอิจฉาพวกสิงคโปเรี่ยนอย่างจริงใจแล้ว สปิริต และ คุณภาพของผู้คน นี่แหละครับ...ที่ผมแสนจะอิจฉาพวกเขาซะจริงๆ
ขอบคุณป๋าลีที่แสดงออกถึงสปิริตแห่งสิงคโปร์ให้ประเทศใกล้ๆกันได้เห็นครับ !!!
จากคุณ |
:
ตุ้ม (Toom McCartney)
|
เขียนเมื่อ |
:
14 มี.ค. 55 11:12:59
|
|
|
|
|