สภาเด็กฯ'เหลว 70% ไม่สัมฤทธิ์ผล ผู้นำขาดวิสัยทัศน์-มีอคติกับเด็ก
|
|
เมื่อวันที่ 23 เม.ย. ในการประชุมวิชาการสร้างพลเมืองปรองดอง... สภาเด็กฯท้องถิ่น ที่คณะครุศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย รศ.ดร.สมพงษ์ จิตระดับ ผอ.ศูนย์วิจัยและนวัตกรรมเด็กที่มีความต้องการพิเศษ คณะครุศาสตร์จุฬาฯ กล่าวว่า กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) มีนโยบายให้มีการจัดตั้งสภาเด็กและเยาวชนตำบลในปี 2553-2554 ให้ครบทุกตำบลจำนวน 7,422 แห่งแต่จากการศึกษาวิจัยสภาเด็กฯ ตำบล 40 อบต.ใน 10 จังหวัดปรากฏว่ามีถึง 70% ที่ไม่ประสบผลสำเร็จ เนื่องจากผู้นำอบต.ขาดวิสัยทัศน์ มีอคติกับเด็ก ขาดกิจกรรม เน้นแต่จัดอีเว้นท์ เด็กเองก็ติดเรียน ขาดรูปแบบขาดการริเริ่ม ขาดโอกาสและขาดการสนับสนุน มีเพียง 30% ที่ประสบความสำเร็จ แต่ต้องล้มเหลว 2-3 ครั้งก่อนเพื่อเกิดการเรียนรู้ และดำเนินการอย่างค่อยเป็นค่อยไป
นอกจากนี้ จากการลงพื้นที่ยังพบเด็กเยาวชน 3-4 แสนคนทั่วประเทศขาดการดูแลเพราะผู้ใหญ่ไม่ใส่ใจจึงเกิดปัญหาเด็กเยาวชนกลุ่มเสี่ยงมากมาย สำหรับองค์ประกอบที่จะทำให้สภาเด็กฯตำบลประสบความสำเร็จอยู่ที่มีนักคิด ตีโจทย์เป็นมีทีมงาน มีพี่เลี้ยงแนะนำ มีผู้บริหารเข้าใจกล้าเปิดโอกาส มีการประชุมเครือข่ายพี่น้องมีระบบธรรมาภิบาล แลกเปลี่ยนเรียนรู้ มีระบบประเมิน
อย่างไรก็ตาม รศ.ดร.สมพงษ์ กล่าวต่อว่า ระบบการศึกษาไม่สามารถสร้างประชาธิปไตยได้ หากยังเน้นการแกร่งแย่งแข่งขัน กวดวิชา แต่ประชาธิปไตยจะเกิดจากตัวเด็กเองที่ผ่านการทำกิจกรรมที่ต้องเริ่มจากระดับ ท้องถิ่นโดยเฉพาะการทำงานในระดับสภาเด็กฯตำบล ซึ่งจะทำให้เด็กไม่มีเวลาเล่นเกมมั่วสุม ติดยาเสพตดิ มีเพศสัมพันธ์ ทั้งนี้การฟังเสียงเด็กและทำงานร่วมกับเด็กจะทำให้เด็กและเยาวชนเติบโตเป็น ผู้ใหญ่ที่ไร้ความขัดแย้งรุนแรง ทั้งยังแก้ปัญหาด้านเด็กและเยาวชนอย่างยั่งยืนลดกลุ่มเสี่ยง ซึ่งเป็นต้นเหตุแห่งปัญหาของเด็กและเยาวชนลงได้
ด้านนายวัลลภ ตังคณานุรักษ์ เลขาธิการมูลนิธิสร้างสรรค์เด็ก กล่าวว่า เวลานี้สังคมมุ่งแก้ปัญหาเด็กเยาวชนที่เน้นเรื่องยาเสพติดความรุนแรง การมีเพศสัมพันธ์ และเด็กติดเกมขณะที่กลุ่มเด็กเยาวชนด้อยโอกาสถูกลืม อย่างไรก็ตามแม้มิติทางการเมืองทุกพรรครวมถึงสภาผู้แทนราษฎร ถือเยาวชนเป็นฐานเสียงใหญ่แต่ยังได้รับการส่งเสริมน้อย ในส่วนของมหาวิทยาลัยกลับพบกิจกรรมนักศึกษาตกต่ำ เป็นพลังที่หายหรืออ่อนล้าเต็มที เอ็นจีโอเน้นความสำคัญกับเด็กแต่เรื่องเยาวชนมีการดำเนินการกันน้อย อย่างไรก็ตาม ตนเชื่อมั่นว่าสภาเด็กฯ เป็นพลังขับเคลื่อนสำคัญในการสร้างความปรองดอง โดยเกิดจากพื้นฐานการทำงานร่วมกัน เพื่อมุ่งสร้างอุดมคติในสังคม
นอกจากนี้ ตนคิดว่าสภาเด็กฯ กับการเมืองแยกกันไม่ได้ เพราะการเมืองคือการจัดสรรผลประโยชน์ร่วมกันในชาติ ดังนั้นสภาเด็กฯ ต้องอยู่กับการเมืองให้ได้ และคิดต่างกันได้ สำคัญอย่าคิดเหมือนผู้ใหญ่ที่มุ่งแต่จะฆ่ากัน ต้องเรียนรู้การอยู่ร่วมกันและเรียนรู้การออกจากความขัดแย้ง มุ่งเน้นสันติวิธี หากเรียนรู้ความเท่าทันการเมือง ก็สามารถนำสู่การเมืองเชิงปรองดองได้ ทั้งนี้สภาเด็กฯต้องร่วมกันสร้างการเมืองสีขาวรู้จักใช้สิทธิทางการเมือง ตรวจสอบติดตามการเมืองให้มาก เช่น ส.ส.ในสภาฯ ดูเว็บโป๊ปล่อยได้อย่างไรเป็นภาระของสภาเด็กฯ ที่ต้องตรวจสอบเช่นกัน และต้องมีส่วนร่วมในการผลักดันกฎหมายต่างๆ และต้องมีมีกองทุนส่งเสริมการทำ กิจกรรมของเด็กและเยาวชนเชิงสร้างสรรค์ที่ปลอดจากการเมือง ไม่ใช่เป็นกองทุนที่เป็นฐานเสียงทางการเมือง เช่นกองทุนพัฒนาบทบาทสตรี.
http://www.thairath.co.th/content/edu/255170
จากคุณ |
:
หมาป่าดำ
|
เขียนเมื่อ |
:
24 เม.ย. 55 16:57:18
|
|
|
|