PANTIP.COM : U12042937 ใครไม่พอใจระบบประกันสังคมตรงไหนมาแชร์ข้อมูลกัน [ข่าวชาวบ้าน]

ความคิดเห็นที่ 23

ขออนุญาตแสดงความเห็นส่วนตัวในเรื่องที่ จขกท. ข้องใจก่อนนะครับ เพราะเท่าที่อ่าน น่าจะเป็นในเรื่องของประโยชน์ทดแทนกรณีชราภาพ ทั้ง 3 ข้อเลย
----------------------------------------
[color=blue]1. เนื่องจากมีความคิดเห็นถึงการมอบเงินชราภาพ ในกรณีที่ผู้ประกันไม่มีญาติ ถ้าเกิดผู้ประกันตายก่อน 55ปี ถ้าไม่มีลำดับญาติมารับผลประโยชน์ในส่วนนี้ ทางประกันสังคมจะยึดเงินเข้าประกันสังคม แล้วบังคับให้เราส่งมา แบบนี้เหมาะที่ไหนกันคะ อยากให้ช่วยเป็นกระบอกเสียงให้ความยุติธรรมกับผู้ประกันตนหน่อยนะคะ ในหน้า 11 นะคะ http://www.sso.go.th/wpr/uploads/uploadImages/file/journal-SSO-Vol-3-2555.pdf[/color]

ถ้าผปต.(ผู้ประกันตน) เสียชีวิตก่อนอายุครบ 55 ปีบริบูรณ์ สิทธินี้จะตกกับทายาทชอบด้วยกฏหมายครับ ดังนั้นหากไม่มีทายาทชอบด้วยกฏหมายตามมาตรา 77 แห่ง พรบ.ประกันสังคม จึงไม่สามารถจ่ายออกไปได้ และเรื่องนี้ก็เลยเป็นสาเหตุของการฟ้องร้อง ขึ้นโรงขึ้นศาลกันหลายครั้ง สุดท้ายศาลท่านพิจารณาแล้วว่า ประโยชน์ทดแทนกรณีนี้มิใช่มรดก เมื่อกำหนดให้จ่ายเฉพาะ"ทายาทชอบด้วยกฏหมาย" จึงไม่สามารถนำไปจ่ายให้กับบุคคลอื่นได้ ดังนั้นถึงผปต.จะทำหนังสือแสดงเจตจำนง หรือพินัยกรรม ก็ตาม เงินส่วนนี้ก็ไม่อยู่ในข่ายเป็นมรดกตามพินัยกรรมหรือหนังสือแสดงเจตจำนง นั้นๆ (ว่ากันเฉพาะ ม.33 และ ม.39 ก่อนนะครับ) ก็เลยเป็นประเด็นกันอีกว่า งั้น ผปต.ที่โสด บิดา มารดาเสียแล้ว ก็ชวด ไม่ได้รับเงินนี้นั้นสิ??? ใช่เลยครับ ไม่ได้รับ ดังนั้นทางออกของเรื่องนี้ กรณีนี้ สปส.คงต้องไปพิจารณาในเรื่องผู้มีสิทธิที่จะได้รับเงินกรณีชราภาพใหม่ว่าจะยืดหยุ่นออกไปอีกได้แค่ไหน และเนื่องจากลักษณะแห่งทรพย์หรือตัวประโยชน์ฯนี้ มันไม่เป็นมรดก จะเอาประมวลแพ่งฯมาเทียบเคียงก็ไม่สามารถใช้ได้ จึงมีทางเดียวคือต้องแก้กฏหมายเรื่องทายาท (ม.77) ในพรบ.ประกันสังคมนี่แหละครับ
-----------------------------------------------------------------------------------

2. เงินส่งสมทบในส่วนนี้ที่ส่งไปในแต่ละเดือนมันเป็นจำนวนเงินมาก ที่มากกว่าการทำประกันชิวิตซึ่งผลตอบแทนที่ได้กลับมาจากประกันสังคมนั้นสู้ของประกันชีวิตไม่ได้เลยแม้แต่นิดเดียว ยกตัวอย่างเช่น
เราเงินเดือน 15000 บาท ส่งเดือนละ 750 บาท ในกรณีอยากจะทำฟันเบิกได้ 2 ครั้ง/ปี และครั้งละ 300 บาท/ครั้ง ถามว่า มันพอหรอ ไม่เคยพอเลยนะคะ อยากให้เลิกบังคับให้ผู้ประกันส่งเงินสมทบได้แล้วเพราะว่าสิทธิต่างๆ คุณก็ไม่ได้ให้เขามีสิทธิ์เลือกเหมือนประกันชีวิต....

...... คุณอาจคิดได้เช่นนี้ ไม่ผิดใดๆครับ แต่อยากให้คุณลองมองถึง ผปต.ทั้งระบบ ลูกจ้างในระบบประกันสังคม ไม่ได้มีแต่คนเงินเดือน 15,000 บาท นะครับ จะว่าไปมากกว่า 80 % ของลูกจ้างในระบบ เป็นเพียงลูกจ้างรายวัน รับค่าจ้างขั้นต่ำตามประกาศกระทรวงแรงงานตามแต่ละท้องที่ประกาศเท่านั้น อย่างกรุงเทพ สมุทรปราการ นครปฐม ก็วันละ 215 บาท (ก่อน 1 เม.ย. 55 ,สำหรับหลัง 1 เมษายน 55 ก็ยังมีอีกหลายร้อยหลายพันสถานประกอบการที่ยังไม่ได้ขึ้นค่าแรงเป็น 300/วัน ตามรัฐสั่ง)
และหากมองย้อนไป อย่างพะเยา ศรีสะเกษจะได้เพียงวันละ 159-160 บาทเท่านั้น

...... คุณคิดว่า ผปต.เหล่านี้ ต้องมีภาระอะไรบ้าง เค้ามีความสามารถที่จะทำประกันชีวิต ประกันสุขภาพให้กับตนเองได้จริงๆนั้นหรือ

..... โดยหลักการและแนวคิดของการประกันสังคมนั้น จะอยู่ใต้หลักการ "เฉลี่ยทุกข์ เฉลี่ยสุข" เราทำได้มาก เราสมทบมาก เราทำได้น้อย เราก็สมทบน้อย เงินสมทบมัน ก็จะรวมกันเป็น "กองทุน" ขึ้นมา โดยเงินสมทบนี้จะมาจาก 3 ฝ่ายคือ ลูกจ้าง นายจ้าง และรัฐบาล และเงินจาก "กองทุน" นี้ ก็จะนำไปจ่ายในประโยชน์ทดแทนกรณีต่างๆของกองทุนประกันสังคม ซึ่งปัจจุบันมีอยู่ 7 กรณี คุ้มครองกันตั้งแต่เกิดจนตาย นั่นคือ กรณีเจ็บป่วย คลอดบุตร ทุพพลภาพ เสียชีวิต สงเคราะห์บุตร ชราภาพ และว่างงาน (มีประกันชีวิตไหนมีประโยชน์เท่านี้บ้าง) สปส.มิได้ให้เลือกสิทธิจริงครับ เพราะ สปส.จะคุ้มครองคุณ(ผปต) ในทุกๆสิทธิที่ พรบ.ประกันสังคมคุ้มครอง โดยมิได้เรียกเก็บเงินสมทบเพิ่มเติมเลย กรณีคุณมีความสามารถที่จะทำหลักประกันทางสังคมชนิดต่างๆเพิ่มขึ้น สปส.ก็มิได้จำกัดสิทธิคุณไว้เช่นกัน และไม่ไปรอนสิทธิในส่วนนั้นๆด้วย เพียงแต่อยากให้เข้าใจว่า ผปต.ในระบบประกันสังคม ส่วนใหญ่ไม่มีความสามารถที่จะทำหลักประกันทางสังคมเพิ่มเติมได้(ประกันชีวิต หรืออื่นๆ) การบังคับลูกจ้างในระบบให้เข้าสู่ระบบประกันสังคม ส่วนหนึ่งก็มีสาเหตุจากเรื่องนี้ เพราะเมื่ออยู่ในระบบเดียวกัน ก้ต้องพึ่งพาอาศัยกัน อืม คุณอาจคิดว่า งั้นฉันทำงานได้ค่าจ้างเยอะ โดนหักเงินสมทบมาก กว่าคนได้ค่าจ้างรายวัน ก็เสียเปรียบน่ะสิ ก็อยากบอกว่าก็ไม่ใช่ทุกกรณีนะครับ ตัวอย่างเช่น กรณีขาดรายได้ กรณีเงินสงเคราะห์การหยุดงานเพื่อการคลอดบุตร กรณีว่างงาน กรณีชราภาพ เหล่านี้ คุณมีค่าจ้างมาก คุณก็ได้ประโยชน์ทดแทนกลับในจำนวนที่สูงเช่นกัน อีกประการ หากคุณต้องประสบเหตุที่ต้องใช้เงินจำนวนมากๆในการรักษาพยาบาล เช่นโรคร้ายแรง โรคไต ทุพ หรืออื่นๆ หากคุณเข้ารับการรักษาในระบบประกันสังคม ถึงค่ารักษานั้นจะเป็นล้าน หรือสิบล้าน สปส.ก็จ่ายให้นะครับ คุณลองคิดดูแล้วกันว่า ประกันสุขภาพที่เค้าคุ้มครองโรคร้ายแรง รวมถึงกรณีทุพพลภาพให้คุณด้วยเค้าจะคิดเบี้ยประกันคุณเท่าใด หรือหากคุณต้องใช้ค่ารักษาสัก 1-2 ล้านบาทในการรักษาพยาบาล เบี้ยประกันของประกันชีวิต/สุขภาพนั้นๆ จักสูงสักเพียงใด แต่เมื่อเรารวมเงินเป็นกองทุนที่มาจากลูกจ้างทุกระดับ เราก็สามารถนำมันมาเฉลี่ยจ่ายและช่วยเหลือกันในมวลหมู่สมาชิกของกองทุนประกันสังคมได้ โดยที่เงินสมทบไม่ได้สูงมากนัก หากคิดถึงประโยชน์ทดแทนที่จะได้กับทุกๆคนในกองทุน เรื่องนี้ก็ขอฝากไว้ให้ตรองดูครับ ดังนั้นส่วนตัวในข้อนี้ ผมไม่เห็นด้วยกับคุณ จขกท เลยสักนิด
----------------------------------------------------------------------------------------

3. ในกรณีที่เราจะต้องออกจากระบบประกันสังคม จึงอยากให้ทำการคืนเงินเลย เพราะในหลายๆคนก็ออกไปประกอบอาชีพอิสระ บางรายก็ไปเป็นข้าราชการซึ่งมีสวัสดิการอยู่แล้ว จึงไม่อยากให้เลือกระบบบังคับคืนเงินในอายุ 55 ปี เพราะจะได้นำเงินไปลงทุนทำอะไรก็ได้ อยากให้ยกเลิกการคืนตอนอายุ 55 ปีแล้วได้แล้วคะ

.....ประเด็นของเรื่องนี้คือ กรณีชราภาพเป็นเงินออม และมีวัตถุประสงค์เพื่อให้แรงงานเมื่อเกษียณแล้ว มีหลักประกันทางสังคมว่าเค้าจะมีเงินใช้ในการดำรงชีพได้ในจำนวนหนึ่งตลอดไปจนกว่าจะเสียชีวิต(บำนาญชราภาพ) สำหรับบำเหน็จชราภาพนั้นจ่ายเป็นเงินก้อน มีกติกาต่างจากบำนาญเพียงจำนวนงวดเงินสมทบกรณีชราภาพ ดังนั้นคุณต้องเข้าใจลักษณะของประโยชน์ทดแทนตัวนี้ก่อนว่า "มันไม่ใช่เงินเพื่อการลงทุน" แต่มัน"เป็นเงินเพื่อให้เกิดหลักประกันทางสังคมแก่แรงงานผู้สูงวัย" ในหลายๆประเทศที่มีประโยชน์ทดแทนกรณีชราภาพ ก็ไม่มีประเทศไหนเลยนะครับ ที่จะจ่ายกรณีชราภาพเมื่อ ผปต. ออกจากงาน ,เรื่องของตัวเลขอายุ ภายหน้าอาจมีการเปลี่ยนแปลง แต่คงไม่ใช่ออกงานแล้วจ่ายให้แน่ครับ เพราะมันผิดวัตถุประสงค์ของประโยชน์ทดแทนชราภาพนี้อย่างสิ้นเชิง แรงงานยังหนุ่มยังสาว(เรียกกันว่าอยู่ในวัยทำงาน) ยังพอจะหาเงิน หาทุนจากทางอื่นได้อีกหลายทางครับ ไม่ควรจะมากระทบกับหลักประกันชีวิตอันนี้เลย เมื่อคุณแก่ลง ชราลง คุณจะเปลี่ยนงานใหม่ มันไม่ใช่เรื่องง่ายแล้วนะครับ หรืออาจทำไม่ได้เลยด้วยซ้ำไป กรณีว่างงาน+ชราภาพจึงจะเข้าไปเสริมเป็นหลักประกันทางสังคมให้อีกประการนอกจากสวัสดิการของรัฐอันพึงได้แล้ว

....กรณีเหตุผลที่คุณว่า บางคนออกงานแล้วทำอาชีพอิสระ หรือเป็นข้าราชการซึ่งมีสวัสดิการอยู่แล้ว นั่นก็ถูกส่วนหนึ่ง แต่ก็ต้องเข้าใจด้วยว่า เงินกรณีชราภาพก็มิได้ถูก ริดรอน หรือริบเข้ากองทุนฯแต่อย่างใด แต่จำเป็นที่จะต้องเก็บไว้จ่ายตามวัตถุประสงค์ของตัวประโยชน์ทดแทนเอง รวมถึงหลักการแห่งการประกันสังคมและกองทุนด้วย เมื่อถึงเวลา ผปต.หรือผู้มีสิทธิก็สามารถมารับได้ตามเงื่อนไขเช่นกัน

.... เบื้องต้นก็ขอให้ความเห็นไว้เพียงนี้นะครับ
แก้ไขเมื่อ 06 พ.ค. 55 06:31:46

จากคุณ : KTHAI

เขียนเมื่อ : 6 พ.ค. 55 06:29:42

ความคิดเห็นที่ 26

@ คห.24
----------------------
.... ก่อนอื่น ต้องขอโทษครับ เพราะอ่นจากเนื้อความในหัวกระทู้อย่างเดียว (จริงๆ ก็มาไล่อ่านความเห็นอื่นๆในภายหลังด้วยแล้ว...)

..... ผมได้อธิบายเรื่องกรณีไม่มีผู้มีสิทธิตามมาตรา 77(2) แล้วว่า หากไม่มีผู้มีสิทธิชอบด้วยกฏหมาย จนท.ไม่สามารถจ่ายประโยชน์ทดแทนนี้ได้ และผมก็เห็นด้วยกับคุณครับ
ว่าไม่ควรจะริบเงินจำนวนนี้กลับเข้ากองทุน ในเมื่อมันเป็นเงินออมของผปต. แต่มันก็ไม่ใช่มรดก จึงเอาประมวลแพ่งฯมาเทียบเคียงแบบเงินสงเคราะห์ตายไม่ได้ ผมถึงได้บอกว่ามันต้องแก้ที่ตัวกฏหมาย พรบ.ประกันสังคม กันเลย ซึ่งการจะแก้กฏหมายระดับ พรบ. มันก็ไม่ใช่เรื่องง่ายนัก เอาเป็นว่าผมเห็นด้วยกับคุณครับ และไม่เห็นด้วยที่จะให้สิทธิเฉพาะทายาทชอบด้วยกฏหมายเท่านั้น สปส.ต้องคิดครับว่าปัจจุบัน มีกรณีที่ไม่มีผู้มีสิทธิตามที่กม.กำหนดมากมาย ซึ่งคงไม่ยุติธรรมนักในการไม่จ่ายเค้าเพียงเหตุผลนี้เท่านั้น (ไม่มีทายาทตามกฏหมาย)....

..... ส่วนเรื่องของกรณีอื่นๆ ผมเห็นด้วยว่ามันมีรายละเอียดเยอะ ถ้าจะว่าไปตัวผมก็มีประสบการณ์ตรงในหลายๆเรื่องกับสปส. ไม่ว่าทางตรงหรือทางอ้อม ทั้งเรื่องดีๆและเรื่องแย่ๆ อืมเห้นคุณกล่าวถึงเรื่องกรณีเจ็บป่วยรับการรักษาพยาบาลมา ลองอ่านความรู้สึกของผปต.ที่ได้รับการรักษาจากร.พ.หลวงพ่อทวีศักดิ์ฯ ซึ่งเป็นร.พ.ในโครงการประกันสังคมโรงหนึ่งในหน้าก่อนสุดท้ายจากเอกสารที่คุณอ้างอิงหรือยังครับ

..... ผมยอมรับนะครับว่าร.พ.ที่ให้บริการผู้ป่วยไม่ดีนั้นก็มี แต่ที่ดีก็มีมาก ซึ่งการเลือกสถานพยาบาลเป็นสิทธิของผปต. ซึ่งสปส.มิได้บังคับ (ต่างจากบัตรทองนะครับ ไม่เทียบดีกว่าเด๋วยาวอีก.....) ผมถึงบอกว่าลองมองในมุมกว้างว่า พวกเราคนในกองทุนประกันสังคมกำลังช่วยเหลือซึ่งกันและกัน ในประโยชน์ทดแทนกรณีต่างๆ ผมเองตอบแทนสปส.ไม่ได้ว่า ทำไมต้องบังคับ แต่ผมมองในแง่ดีว่า หากไม่ทำให้กองทุนมีพื้นฐานที่มั่นคงก่อน มันจะล้มได้ง่าย การกระจายความเสี่ยงออกไปทั้งระบบจะทำให้เรียกเก็บเงินสมทบได้ในอัตราที่ต่ำลง ไม่กระทบกับผปต.มากนัก และก็ยอมรับด้วยว่าการประกันชีวิต/สุขภาพของภาคเอกชนนั้นน่าสนใจกว่า เพราะเค้าจ่ายในลักษณะจ่ายตามจริงแต่ไม่เกินวงเงินที่กำหนด ในขณะที่ปกส.ไม่ใช่ สปส.ไม่มีรพ.ของตัวเอง ไม่มีหมอของตัวเอง ไม่มียาของตัวเอง การจ่ายจ่ายเป็นเหมารายหัวแบบเดียวกับบัตร 30 บาทเป๊ะ จ่ายให้แล้ว สถานพยาบาลก็เอาไปบริหารจัดการเอง โดยสปส.มีอำนาจในการจัดการเพียงตรวจสอบให้ได้มาตรฐานตามที่รพ.ได้แจ้งไว้ในการเข้าร่วมโครงการ และมีอำนาจลงโทษเพียงให้ออกจากโครงการประกันสังคมเท่านั้น (ในกรณีรพ.รัฐ อาจสามารถส่งเรื่องถึงสธ.และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการดำเนินการต่อไป)

..... ดังนั้นในประเด็นว่า ควรเป็นภาคบังคับหรือสมัครใจ สำหรับสังคมไทยปัจจุบัน คุณภาพชีวิตคนส่วนใหญ่ยังเป็นแบบนี้ ผมยังเห็นว่ายังควรคงไว้เป็นภาคบังคับครับ หากประชากรเรา ประเทศเราเริ่มเจริญขึ้น มีความแข็งแกร่งเชิงสังคมและเศรษฐกิจ (จิตใจด้วย) ที่ดีกว่านี้ ค่อยมาว่ากันใหม่ครับ คุณปอย อาจมีประสบการณ์ไม่ดีกับการบริการของรพ.หรืออื่นๆของสปส. ถ้าในแง่การรักษาพยาบาล ขอให้ร้องเรียนกับผอ.รพ.ได้เลยครับ หรืออาจติดต่อกับงานประสานการแพทย์ของสำนักงานประกันสังคมในทุกๆจังหวัดหรือเขตพื้นที่ในกทม.ทุกๆเขตได้ครับ ถ้าในแง่การบริการอื่นๆ ก็ขอให้ติดต่อกับผู้อำนวยการ/ประกันสังคมจังหวัดนั้นๆ ได้เลยครับ ผมขอบอกตรงนี้เลยครับว่า สปส.เป็นหน่วยงานที่คุณสามารถเข้าถึงผู้บริหารระดับสูงได้ง่ายสุดๆครับ

...... อืม ผมเคยพูดว่ามันเป็นลักษณะของการช่วยเหลือซึ่งกันและกัน และก็เคยบอกว่ากว่าร้อยละ80 เป็นคนที่ไม่สามารถหาหลักประกันทางสังคมอื่นได้นอกจากปกส. ก็อาจมีคนแย้งว่าแล้วจะให้คน 20 คน มาคอยอุ้มคน 80 คนไปตลอดหรือ ตรงนี้ก็อยากอธิบายว่า มิใช่ครับ เราทุกคนช่วยกัน พวกเราที่เป็นผปต.ต่างช่วยเหลือซึ่งกันและกันครับ...

....แล้วเรื่องของมูลค่าทรัพย์ปัจจุบันกับอนาคต ไม่ใช่ว่าผมไม่ทราบนะครับ แต่คุณพอทราบคำว่าหลักการและเหตุผลหรือไม่ครับ ในการที่เราจะร่างกฏระเบียบใดๆขึ้นมาใช้ เราต้องให้หลักการกับมันก่อนแล้วจึงใช้เหตุผลประกอบ ในเมื่อหลักการของกรณีชราภาพมันเป็นเช่นนี้คือ "หลักประกันทางสังคมแก่แรงงานผู้สูงวัยและไม่สามารถทำงานในสถานประกอบการต่อไปได้" ประโยชน์ทดแทนกรณีชราภาพจึงเป็นคำตอบหนึ่งในหลายๆคำตอบ ตามที่คุณอ้างถึงแหละครับ การออมทำได้หลายวิธี ดังนั้นก็ทำหลายๆอย่าง (ตามความสามารถที่มี) จะดีกว่ามั้ยครับ

..... เคยไปตรวจเยี่ยมสถานประกอบการ มีคนงานประมาณ 4-50 คน ผมถามเค้าว่าได้เงินค่าจ้างกันเท่าใด เค้าบอกว่าบางเดือนก็ 5000 กว่า บางเดือนก็ถึง 7000 ก็มีแล้วแต่มีโอทีมากน้อย (เท่ากับเงินค่าจ้างที่เค้าหวังจริงๆเนี่ยคือโอทีเลยครับ เพราะเค้าบอกถ้าไม่มีโอที หรือโอทีน้อย เดือนนั้นๆจะลำบากมาก ดีแต่ว่าโรงงานนั้นทำแฟลตให้คนงานอยู่พักในราคาถูก (มีทั้งไทย+พม่า)) อืมนอกเรื่องเยอะเลย คือจะบอกว่า ผมได้มีโอกาสคุยกับเจ้าของโรงงาน เค้าบอกเลยว่า ถ้าไม่มีประกันสังคม เค้ากล้าท้าเลยว่าน้อยคนจะมีเงินเก็บ ไม่ไปลงเหล้า ก็เล่นหวย ดังนั้นผมก็เลยคิดว่าการบังคับออม และมีกติกายังไม่ให้นำออกมาใช้ได้มันก็มีข้อดีในตัวของมันอยู่เช่นกัน ใช่ว่าจะเลวร้ายไปเสียหมด ก็ขอเล่าให้ฟังน่ะครับ

..... ผมว่าเอกสารที่คุณนำมานั้น มีเรื่องของสปส.ที่น่าสนใจหลายเรื่องนะครับ น่าจะลองศึกษาให้ดีนะครับ โดยเฉพาะเรื่องหนึ่งที่อยากแนะนำกับคนทำงานทุกๆคน "กองทุนเงินทดแทน" ครับ ลูกจ้างมากมายยังไม่เคยได้ยินชื่อกองทุนนี้เลย ทั้งๆที่สิทธิและประโยชน์ของกองทุนนี้ อยู่ใกล้ตัวเค้าในแทบทุกขณะที่เค้าทำงานด้วยซ้ำไป

..... สุดท้าย ผมน้อมรับคำวิจารณ์ ทั้งชมและติติงในทุกๆประการ เสนอให้กับหน่วยงานทราบต่อไป เท่าที่มดงานตัวหนึ่งมันจะทำได้ ขอบคุณครับ

จากคุณ : KTHAI

เขียนเมื่อ : 7 พ.ค. 55 15:33:58