พี่โด่งบอกว่า
1) การรับสารภาพของอากง เป็นสิ่งที่ทนายแนะนำ เพราะจะทำให้ติดคุกน้อยกว่าการยืนหยัดต่อสู้ความจริง
2) หากศาลยังไม่ตัดสินถึงที่สุด ตามกฎหมายยังถือว่า อากงบริสุทธิ์ และ อากงติดคุกอยู่ในฐานะคนบริสุทธิ์ จนตาย (ยังมีคนที่ติดอยู่ในคุกในสภาพนี้อีกเป็นจำนวนมาก โดยเฉพาะคนไม่มีวาสนา)
3) กระบวนการยุติธรรมไทยปัจจุบัน ให้อำนาจเจ้าหน้าที่รัฐมาก เปิดช่องให้ผู้มีอำนาจ ผู้มีวาสนา ผู้ถือกฎหมาย เจ้าหน้าที่รัฐ มากมาย ด้วยคำว่าดุลยพินิจ ซึ่งบ่อยครั้งดุลยพินิจ ทางราชการกับดุลยพินิจของประชาชนไม่ตรงกัน ในกรณีของอากง ศาลใช้ดุลยพินิจว่ากลัวอากงหลบหนี จึงไม่ให้ประกัน ในขณะเวลาเดียวกัน สนธิ ลิ้มทองกุล ศาลให้ประกัน ทั้งที่อัตราโทษ 85 ปี มากกว่า อากง ถึง 70 ปี (อากงโทษจำคุก 15 ปี) เราคงไม่ตำหนิดุลยพินิจของศาล (เพราะห้ามวิจารณ์)
มีข้อที่ผู้เขียนอยากให้พิจารณาดังนี้ :
1) คดีนี้จำเลยไม่ได้รับสารภาพ การพิจารณาพิพากษาลงโทษจำเลยเกิดจากการนำสืบพยานหลักฐานของโจทก์ทั้งสิ้น อีกทั้งจำเลยยังคงใช้สิทธิในการอุทธรณ์คดีต่อศาลด้วย
2) เมื่อศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษจำคุกจำเลยแล้วเหตุใดจำเลยยังได้รับการสันนิษฐานว่าเป็นผู้บริสุทธิ์จนกว่าคดีจะถึงที่สุดตามหลัก Presumption of Innocence หลักการทั้งสองขัดแย้งกันเองหรือไม่
คำตอบคือ : ฟังผิวเผินอาจเป็นปรปักษ์กันเอง ความจริงคือข้อสันนิษฐานว่าจำเลยเป็นผู้บริสุทธิ์ เป็นหลักการสากลของกฎหมาย ส่วนเนื้อหาข้อเท็จจริงแห่งคดีนั้นศาลจะพิพากษาอย่างไรเป็นเหตุผลเฉพาะคดีตามพยานหลักฐานที่ทั้งสองฝ่ายโต้แย้งต่อสู้คดีกัน ถ้าจะพิพากษาลงโทษจำเลย โจทก์ก็ต้องนำสืบพิสูจน์ให้ศาลเชื่อโดยสนิทใจว่าจำเลยเป็นคนร้ายที่กระทำความผิดตามฟ้องโจทก์ แต่หากพยานหลักฐานไม่พอฟังลงโทษหรือมีข้อสงสัยตามสมควรว่าจำเลยได้กระทำผิดหรือไม่ ก็ต้องยกประโยชน์แห่งความสงสัยนั้นให้แก่จำเลยและศาลต้องพิพากษายกฟ้องปล่อยจำเลยไป
หรือถ้าคดีใดโจทก์สามารถนำสืบพิสูจน์จนให้ศาลเห็นและเชื่อได้ว่าจำเลยมีเจตนาชั่วร้าย จำเลยในคดีนั้นก็สมควรที่จะได้รับโทษานุโทษตามความเหมาะสมแก่พฤติการณ์แห่งคดี ทั้งนี้เพื่อปกป้องคุ้มครองปัจเจกชนซึ่งเป็นผู้เสียหายคุ้มครองความสงบเรียบร้อยของสังคมและประเทศชาติ ประชาชนและสถาบันพระมหากษัตริย์อันเป็นเสาหลักความมั่นคงของประเทศให้มีความปลอดภัย แต่ถ้าคำตอบสุดท้ายศาลสูงพิพากษากลับคำพิพากษาศาลล่างว่าจำเลยไม่มีความผิดแล้ว ข้อกล่าวหาทั้งปวงและผลแห่งคำพิพากษาของศาลชั้นต้นย่อมถูกลบล้างไป จำเลยย่อมพ้นมลทินเป็นผู้บริสุทธิ์
3) "ที่ใดมีมนุษย์ ที่นั้นมีสังคม ที่ใดมีสังคม ที่นั้นมีกฎหมาย ด้วยเหตุนั้น ที่ใดมีมนุษย์ ที่นั้นจึงมีกฎหมาย" (Ubi homo, ibi societas. Ubi societas, ibi ius. Ergo ubi homo, ibi ius) เป็นภาษิตที่กล่าวถึงความสัมพันธ์อันแน่นแฟ้น ระหว่างกฎหมายกับสังคม เพราะกฎหมายนั้นเกิดขึ้นจากสังคมและเพื่อสังคม ไม่อาจมีสังคมไหนจะธำรงอยู่ได้โดยไม่รู้สึกต้องการกฎเกณฑ์สำหรับจัดระเบียบพฤติการณ์ในสังคม เป็นการบ่งบอกว่า มนุษย์จำต้องมีกฎเกณฑ์เพื่อการใช้ชีวิต เพราะมนุษย์คือสัตว์สังคม เพราะมนุษย์จำต้องใช้ชีวิตร่วมและมีปฏิกิริยาตอบโต้กับมนุษย์ผู้อื่น
เมื่อเรามีกฎเกณฑ์ เราก็ต้องปฏิบัติตามกฎเกณฑ์
จริงอยู่ว่าคดีนี้จำเลยยื่นคำร้องขอปล่อยชั่วคราว 8-9 ครั้ง โดยชี้แจงเหตุผลถึงปัญหาสุขภาพ แต่ศาลไม่อนุญาต โดยให้เหตุผลว่าเกรงจะหลบหนี อีกทั้งในเรือนจำก็มีสถานพยาบาลอยู่แล้ว นั้น หากพี่โด่งเห็นว่าคำสั่งขอศาลเช่นนี้ไม่ถูกต้องตามหลักวิชาการ หลักความยุติธรรม (ซึ่งผู้เขียนก็ไม่เห็นด้วยในกรณีคำสั่งไม่อนุญาตปล่อยชั่วคราวเช่นกัน) พี่โด่งก็สามารถนำมาวิพากษ์วิจารณ์ได้ ตามหลักวิชาการ เพราะรัฐธรรมนูญมาตรา 50 กำหนดให้เสรีภาพทางวิชาการได้รับความคุ้มครอง แต่สิ่งที่เห็นในปัจจุบัน คนที่ไม่เห็นด้วยกับดุลยพินิจของศาลในเรื่องการไม่อนุญาตปล่อยชั่วคราว กลับด่าศาลอย่างสาดเสียเทเสียเป็นวงกว้าง แต่กลับไม่มีนักวิชาการที่ออกมาวิพากษ์วิจารณ์ หรือดำเนินการเรียกร้องเรื่องดังกล่าวอย่างจริงจังเต็มรูปแบบและวิธีการตามกฎหมายกำหนด (เช่น การฟ้องตรงต่อศาลรัฐธรรมนูญ ตามมาตรา 212) จะมีก็แต่ตั้งโต๊ะอภิปรายกันเป็นหย่อม ๆ อดข้าว หรือชุมนุมเพื่อให้การจราจรติดขัด สร้างความเดือดร้อนรำคาญอันเป็นการละเมิดสิทธิคนอื่นเท่านั้น การวิพากษ์วิจารณ์ด้วยเหตุผลอย่างจริงจัง จะเป็นสิ่งที่อุดช่องว่างแห่งความบกพร่องในกระบวนการได้มากกว่าการชุมนุมสร้างความเดือดร้อนรำคาญให้คนอื่นที่ไม่เกี่ยวข้อง
ดังนั้น การที่พี่โด่งบอกว่า เราคงไม่ตำหนิดุลยพินิจของศาล (เพราะห้ามวิจารณ์) นั้น ไม่ถูกต้อง