ความคิดเห็นที่ 1 พวกที่ไม่ชอบนี่ มาจากจานบิน กับนมดำ รึเปล่า จากคุณ : ... เขียนเมื่อ : 19 พ.ค. 55 17:18:34 A:223.206.60.15 X: TicketID:103198

ความคิดเห็นที่ 2 ลัทธิจานบิน..เกณฑ์คนมาตั้งเพจ โจมตีอ่ะเปล่าคะ ????? จากคุณ : ขาวสวยหมวยสาว เขียนเมื่อ : 19 พ.ค. 55 17:29:46

ความคิดเห็นที่ 3 ครายอ่ะ จากคุณ : ธีรภัทร์2 เขียนเมื่อ : 19 พ.ค. 55 17:36:11

ความคิดเห็นที่ 4 แค่เสื้อแดง ก็ว่าแย่แล้วค่ะ นี่จานบินด้วยเรอะ!!! อืมๆๆ ศึกหนักค่ะหลวงพี่ จากคุณ : น้องพี่อิ้ว เขียนเมื่อ : 19 พ.ค. 55 17:36:50

ความคิดเห็นที่ 5 ชอบเรียกท่าน ว. ว่า เจ๊ หลวงเจ๊ อิเจ๊ เหมือนแบบเป็นกระเทย หรือแบบ คำว่าเจริญพร ก็เรียกเป็น เจริญพวง เป็นคำฮิตของพวกเค้าเลย ดูความเห็นที่ 107 แล้วกันนะครับ ผมมีข้อสงสัย แก้ไขเมื่อ 22 พ.ค. 55 01:31:16 จากคุณ : TheK1Ninja เขียนเมื่อ : 19 พ.ค. 55 17:38:05

ความคิดเห็นที่ 6 คห.4 แล้วทำไมเสื้อแดงถึงไม่ชอบอ่าคับ เห็นคุณคำผกา ก็ลงให้สัมภาษณ์อยู่ ว่าไม่ชอบ เพราะอะไรหรอครับ เกี่ยวอะไรกับเสื้อแดง ท่านไปพูดอะไรกระทบคนเสื้อแดงหรอ โพลสังคมบอกว่า ว.วชิรเมธี เสื้อเหลือง, พระพยอม เสื้อแดง http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1296389237&grpid=no&catid=19 ตรรกะแบ่งสีของพระคิดยังไงกัน อันนี้ไม่รู้ 555 แก้ไขเมื่อ 19 พ.ค. 55 17:43:19 จากคุณ : TheK1Ninja เขียนเมื่อ : 19 พ.ค. 55 17:39:21

ความคิดเห็นที่ 7 มีคนรัก ก็มีคนชังเป็นธรรมดา ขนาดพระพุทธเจ้ายังไม่พ้นคนนินทา แล้ว  ว.วชิรเมธี เป็นใคร???? จากคุณ : Ice-man เขียนเมื่อ : 19 พ.ค. 55 17:58:24

ความคิดเห็นที่ 8 จานบิน กับ เสื้อแดง ก็อันเดียวกันนี่ จากคุณ : เมาฟรีออริจินั่ล เขียนเมื่อ : 19 พ.ค. 55 18:32:05

ความคิดเห็นที่ 9 ผมไม่ใช่เสื้อแดงแน่ๆ..(มั่นใจมาก) แต่ก็ไม่ค่อยชอบฟังท่าน ว. สักเท่าไหร่... เนื้อหาก็ไม่เท่าไหร่เป็นคำสอยพื้นๆน่ะ..แต่ผมว่าน้ำเสียงท่านมีจริตยังไงก็ไม่รู้... เวลายิ้มก็เปิดเต็มที่ สงสัยผมคงไม่ร่วมสมัยกับเขา...เลยรู้สึกแปลกๆ...คงไม่ปาบไรนะพูดอย่างนี้... แก้ไขเมื่อ 19 พ.ค. 55 18:43:21 แก้ไขเมื่อ 19 พ.ค. 55 18:42:33 จากคุณ : ข้างบูรพา เขียนเมื่อ : 19 พ.ค. 55 18:42:02

ความคิดเห็นที่ 10 สันติอโศกกับเสื้อเหลืองก็กลุ่มเดียวกัน จากคุณ : ย้ง (suanplu) เขียนเมื่อ : 19 พ.ค. 55 18:42:14

ความคิดเห็นที่ 11 ธรรมดาคนเรามันจะมีความถือตัวอยู่  การที่พระท่านมาเทศน์ ก็ต้องย่อมไม่พ้นการพูดถึงเรื่องความไม่น่ารัก ความบกพร่อง ความเห็นผิดต่างๆ   ถ้าใครได้ฟังเรื่องที่กระทบใจตนเอง ก็มี 2 พวก พวกแรกคือ ไม่เห็นด้วย ไม่เข้าใจ ก็โกรธไปเลย ต่อต้านตอบโต้ไปเรื่อย เพราะไม่ต้องการยอมรับความจริงเหล่านั้น ส่วนพวกที่สอง คือเห็นด้วย และสำนึก เกิดความรู้สึกผิด และละอาย  ก็จะเกิดการแก้ไข ปกติแล้ว เท่าที่ทราบ ถ้าเราไม่เชิญ ไม่อาราธนาให้เทศน์ พระจะไม่เทศน์  คล้ายๆจะเป็นกฏระเบียบอะไรสักอย่างของพระ ไม่แน่ใจ  เพราะพระพุทธเจ้าท่านเห็นแล้วว่า การที่อยู่ดีๆจะไปสอนอะไรใครนั้น คนฟังเขาไม่พร้อม ไปสอนแล้วจะหัวแตกเอา เลยไม่อนุญาตให้พระไปเที่ยวสอนโยม โดยที่โยมไม่ได้เชิญ ต้องให้เขาเชิญ จึงจะสอนสั่งได้ ก็เพราะคนที่เชิญพระให้สอน หมายถึงเต็มใจ ตั้งใจจะฟังเขาสอน แต่โลกสมัยนี้ คนเชิญท่านสอนออกทีวี มันก็กระจาย คนพร้อมฟังบ้าง ไม่พร้อมฟังบ้าง  คนไม่พร้อมฟังก็ต้องแสดงอาการต่อต้านเป็นธรรมดา การไม่พร้อมยังหมายถึงสติปัญญาของผู้ฟังด้วย ว่าพอเหมาะพอสมกับสิ่งที่ได้ฟังหรือไม่ จากคุณ : My-Gift-Is-My-Song เขียนเมื่อ : 19 พ.ค. 55 18:42:53

ความคิดเห็นที่ 12 มีคนชอบก็ต้องมีคนเกลียดครับ จากคุณ : marchioness เขียนเมื่อ : 19 พ.ค. 55 18:43:52

ความคิดเห็นที่ 13 นินทาพระสงฆ์ที่ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบเป็นบาปนะครับ จากคุณ : Ter @ AFC เขียนเมื่อ : 19 พ.ค. 55 18:44:13

ความคิดเห็นที่ 14 ทั้งจานบินและสีเสื้อครับ ท่านเคยสั่งสอนและอบรม เรื่องเราคนไทย ต้องมีความ มีความรักและซื่อสัตย์ต่อแผ่น ไม่ขายชาติ ไม่เห็นประโยชน์ส่วนตน สถาบันอันเป็น ที่รักของคนไทยยทั้งชาติ เราควรเชิดชูและดำรงค์ไว้ ผู้ที่ประเสริฐแล้วควรไม่ใช่กำลัง ในการทำลายชีวิตและจิตสำนึกความเป็นคน ให้คำนึงถึงผลประโยชน์ส่วนรวมมาก กว่าผลประโยชน์ส่วนตัว และให้รู้จักความพอเพียง สิ่งที่ควรพัฒนาคือจิตใจและจิต สำนึกมากกว่าเทคโนโลยี่ ทำให้กลุ่มคนบางกลุ่มไม่พอใจ เพราะไปขัดขวางเส้นทาง ในการก้าวขึ้นสู่อำนาจการแสวงหาผลประโยชน์และ การมอมเมาประชาชน จากคุณ : ทามากิ เขียนเมื่อ : 19 พ.ค. 55 18:47:36 A:1.20.0.183 X: TicketID:355389

ความคิดเห็นที่ 15 ลัทธิจานบิน เค้าจะไปดาวนาแมก เลยไม่อยากให้ ท่าน ว. ไปด้วย จากคุณ : mak2010 เขียนเมื่อ : 19 พ.ค. 55 19:32:18

ความคิดเห็นที่ 16 ไอ้พวกนี้นรกกินกบาล จากคุณ : สิบทัพ เขียนเมื่อ : 19 พ.ค. 55 19:36:21

ความคิดเห็นที่ 17 พระที่ดี แม้นถูกวิจารณ์ ก็นิ่งสงบอย่างเยือกเย็น ธรรมะเข้าข่ม  ยังไงก็ไม่หมอง รอดูไป ว่าท่าน ว. ของพวกคุณๆ จะเป็นแบบที่ผมพิมพ์หรือเปล่า ถ้าดีจริง ก็ อย่าไปสนใจเสียงนกเสียงกา จากคุณ : คุณชายทหารไทย เขียนเมื่อ : 19 พ.ค. 55 20:21:16

ความคิดเห็นที่ 18 ผมเพิ่งได้สนทนาธรรมกับท่านเมื่อวันอังคารที่ผ่านมาครับ ผมไม่รู้หรอกว่ามีคนชอบ หรือ ไม่ชอบอย่างไร รู้แต่ว่าท่านฉลาดหลักแหลม และมีกุศโลบายในการสอนให้เข้่าใจง่ายๆ และที่สำคัญ ครองศีลได้มากกว่าคนอย่างผมถึง 222 ข้อ เพราะผมเองได้แค่ศีล 5 เผลอๆบางทีก็ไม่ครบ ท่านเป็นพระหัวก้่าวหน้า ที่รู้จัก "สตีฟ จ๊อบส์" พอๆกับรู้จักพระอานนท์ ท่านหยิบจับเรื่องยากๆมาสอนในแบบง่ายๆ ทำให้ผมผู้ซึ่งห่างวัดห่างวา "ย่อย" ในสิ่งที่ท่านสอนได้ง่ายขึ้น ผมมองว่าท่านเป็นพระที่หมุนตัวเองไปตามโลกครับ เพราะไม่ใช่พระประเภทบวชมาเพื่อให้มีข้าวกินเท่านั้น แต่หากศึกษาหลักธรรมตามวิถีของหลวงพ่อชา และ ท่านพุทธทาส เห็นท่านตัวเล็กบอบบางแบบนี้ แต่ท่านไปอยู่ที่สวนโมกข์และออกธุดงค์จาริกหาสัจธรรมมาแล้วนะครับ ตัวท่านเองเป็นคนรุ่นใหม่ ที่ร่ำเรียนจนจบปริญญาโท อีกทั้งยังใช้เทคโนโลยีมาประยุกต์ในการสอน หากท่านจะแสวงหาลาภ ยศ สรรเสริญ ผมว่าท่านทำได้สบายมาก แต่ที่ผ่านมาไม่เคยมีข่าวเสื่อมเสียในด้านนี้เลย ข่าวเกี่ยวกับตัวท่าน มักจะออกมาในทำนองเรื่องของ "สีเสื้อ" ซะมากกว่า การได้เข้่านมัสการท่าน ทำให้ผมผู้ซึ่งแต่แรกก็ไม่ได้นิยมท่านนักถึงกับเปลี่ยนความคิด เพราะถึงตอนนี้ ผมคิดว่าท่านมีความเป็น "ปราชญ์" อยู่พอสมควรเลยครับ การที่เราจะชอบ หรือไม่ชอบผู้ทรงศีลนั้น มันไม่ใช่เรื่องถูก หรือ ผิดอะไรดอกครับ เพราะตราบเท่าที่เรายังเป็นมนุษย์ เราไม่พ้นเรื่องโดนติฉินนินทาแน่ๆ ขนาดองค์พระปฏิมายังราคินเลย แล้วประสาอะไรกับพระธรรมดารูปหนึ่ง จึงไม่แปลกที่ท่าน ว.จะมีทั้งคนชอบ คนชัง ผมชอบท่านครับ จากคุณ : ตุ้ม (Toom McCartney) เขียนเมื่อ : 19 พ.ค. 55 20:34:10

ความคิดเห็นที่ 19 ไม่มีคำตอบครับเดี่ยวคนทำลายมันจะตายเองแหละ จากคุณ : ยังไงก็ไม่ผ่าน เขียนเมื่อ : 19 พ.ค. 55 21:05:09

ความคิดเห็นที่ 20 มารไม่มี บารมี ไม่เกิด ครับ จากคุณ : โลกสีน้ำเงินเข้ม เขียนเมื่อ : 19 พ.ค. 55 21:23:35

ความคิดเห็นที่ 21 ผมชอบท่านนะ ความรู้เยอะดี อ้างอิงความรู้จากผู้รู้หลากหลาย และที่ชอบมากที่สุดก็คือท่านชอบสั่งสอนเรื่องราวธรรมะจากท่านพุทธทาสครับ จากคุณ : มังกรขงเบ้ง เขียนเมื่อ : 19 พ.ค. 55 21:36:53

ความคิดเห็นที่ 22 เราคิดเหมือนคุณตุ้มและคุณขงเบ้งนะ  ท่านเป็นปราญช์  บางคำชาวบ้านไม่เข้าใจ  ก็เอาไปคิดต่างๆนาๆ จากคุณ : nuch_tre เขียนเมื่อ : 19 พ.ค. 55 22:31:20

ความคิดเห็นที่ 23 เราเฉยๆแต่เอนไปทางไม่ชอบเท่าไหร่    เราเคยเห็นท่านออกทีวีท่านพูดได้น่าเลื่อมใสมาก แต่ในความเป็นจริงสิ่งเหล่านั้นล้วนทำได้ยาก    ยกตัวอย่างเช่น    ท่านพูดว่า   ปัญญา นิยามของการเกิดปัญญา   ควรทำอย่างไร   คิดอย่างไร    ถามว่าคัพท์คำว่า ปัญญา   หลายคนคุ้นหูมากแต่จะมีใครไหม  ที่สามารถทำให้เกิดความกระจ่าง  มันก็เหมือน นามธรรม  ที่จับต้องไม่ได้    เฮ้อๆ   นานาจิตตัง จากคุณ : บัวใส เขียนเมื่อ : 19 พ.ค. 55 22:46:12

ความคิดเห็นที่ 24 อิฉันชอบนักมวยประเภท ออกหมัดน้อยแต่ต่อยหนัก ส่วนประเภทรัวหมัดสะเปะสะปะไปเรื่อยเพียงเพราะบ้ายอเห่อเสียงเชียร์ แบบนี้ขอผ่าน จากคุณ : อ่าวโตเกียว เขียนเมื่อ : 19 พ.ค. 55 22:50:16 A:125.203.118.71 X: TicketID:299625

ความคิดเห็นที่ 25 ผมเคยชอบท่าน ว.วชิรเมธี มานานแสนนาน แต่ทำไมใช้คำว่าเคย? พระรูปนี้เคยให้สัมภาษณ์สื่อ ในหัวข้อว่าอย่างมงายในวิทยาศาสตร์ (วิทยาศาสตร์มันงมงายได้หรือ?) พอผมฟังแค่ชื่อผมก็ยังไม่ตัดสินใจอะไร พระรูปนี้ก็เทศน์ไป   โดยความศรัทธาผมหายไปตอนที่พระรูปนี้ พูดว่า สิ่งใดที่วิทยาศาสตร์ยังพิสูจน์ไม่ได้ ใช่ว่าสิ่งนั้นไม่มีจริง(จริงของท่าน) ในอดีตเคยมีคนบินได้มาแล้ว(ใคร?) แต่ตอนนี้เรายังไม่รู้ว่าเค้าบินได้อย่างไร เราก็ไม่สามารถพิสูจน์ได้ว่าคนเราเคยบินได้จริง ทั้งๆที่คนเราบินได้ (อาจจะแฝงพวกคำที่มีนัยยะ แต่ผมลองแปรตรงๆดูแล้ว การที่อดีตคนเรานั้นจะบินได้ มันเป็นไปไม่ได้ ถ้าพูดอนาคตนั่นอีกเรื่อง ถ้าใครสงสัยลองไปถามห้องหว้ากอได้นะครับ มีคนที่นั่นไม่ชอบเยอะเหมือนกัน ปล.ที่ท่านบอกว่าอย่างมงายในวิทยาศาสตร์ เพราะท่านไม่รู้จักวิทยาศาสตร์จริงๆ วิทยาศาสตร์คือศา่สตร์แห่งความจริง มีกระบวนการในการศึกษา ทดลอง แล้วอยู่ๆบอกว่าคนบินได้นี่ ไม่รู้จะอธิบายยังไงง จากคุณ : JackRabbit เขียนเมื่อ : 19 พ.ค. 55 23:02:24

ความคิดเห็นที่ 26 คุณตุ้มได้ใจผมไปอีกแล้ว จากคุณ : Redrum เขียนเมื่อ : 19 พ.ค. 55 23:02:48

ความคิดเห็นที่ 27 เข้ามาอ่าน ครับ 555+ จากคุณ : Julia-RoboT.JR เขียนเมื่อ : 19 พ.ค. 55 23:45:28

ความคิดเห็นที่ 28 โดยส่วนตัว ไม่ได้ชอบ หรือไม่ ชอบ ท่าน ว. เพียงแต่ รู้สึกว่า คำสอนท่าน เข้าใจง่าย นำมาปฏิบัติตามได้ง่าย สำหรับคนไกลวัดอย่างเราๆ อ.ดร.สนอง วรอุไร ซึ่งท่านจบ ปริญญาเอกด้านวิทยาศาสตร์มาจากเมืองนอก ก่อนที่ท่านจะบวช ท่านก็ไม่เคยเชื่ออะไรไปมากกว่าวิทยาศาสตร์ แต่หลังจากบวชเรียน ท่านก็บอกว่า สิ่งที่เราไม่เห็น ไม่ใช่ว่าไม่มีอยู่จริง วิทยาศาสตร์ที่มาจากการพิสูจน์ของคน เพิ่งมีมาแค่ 2 -300 ปี แต่พุทธศาสนา เกิดมาแล้ว กว่า 2500 ปี ซึ่งสิ่งที่ท่าน ว.พูดถึงคนบินได้ ก็อาจจะเป็นจริงได้ เพราะมีบันทึกไว้ในประไตรปิฎก ซึ่งพูดถึงพระภิกษุที่เป็นเลิศในด้านต่างๆ(เอตทัคคะ) และการบินได้ก็เป็นหนึ่งในนั้น แต่ถ้าถามพวกเราว่าเป็นจริง มั้ย เราก็ตอบว่าไม่รู้ แต่ไม่รู้ไม่ได้หมายความว่าไม่มีจริง ดร.สนอง ท่านยกตัวอย่าง เรื่องนางฟ้า ซึ่งท่านเห็นด้วยจิตของท่านเอง และท่านก็บอกว่า มีอยู่จริง เพียงแต่วิทยาศาสตร์ยังหยาบเกินกว่าจะพิสูจน์ได้ จากคุณ : พิม (บุษบาเที่ยงคืน) เขียนเมื่อ : 20 พ.ค. 55 00:23:05

ความคิดเห็นที่ 29 แต่แรกๆ ก็ไม่รู้จักนึกว่าคงเหมือนๆ กับพระดังทั่วๆ ไป แต่หลังๆ นั่งฟังเรื่องที่ท่านพูด ท่านสอน ท่านโต้ตอบธรรม ท่านเก่งจริง ไหวพริบดี ความรู้แน่น ถ่ายทอดเรื่องยากๆ ได้ดี นับว่าเป็นปราชญ์ร่วมยุค  พรรษาท่านไม่มากแต่ สุดยอด จากคุณ : PiGsPy เขียนเมื่อ : 20 พ.ค. 55 01:44:21

ความคิดเห็นที่ 30 เรืองบินได้ มันมีสองแง่มุมนะ อันแรก เป็นเรื่องของผู้มีฤทธิ์ อย่างพระโมคคัลลา ที่เป็นสาวกเบื้องขวาของพระพุทธเจ้า อันที่สอง  อาจเป็นเรื่องที่มาจากตำนานเก่าแก่โบราณ  เช่นผมเคยอ่านเจอว่ามีภาพแกะสลักรปชาวมายาขับยานอวกาศ  อะไรแบบนี้ ที่ว่างงงายในวิทยาศาสตร์ คงหมายถึงสยบต่อความรู้ทางวิทยาศาสตร์โดยไม่ตั้งข้อสงสัย เช่น สมัยวิทยาศาสตร์สมัยศตวที่ 19 บอกว่าไม่มีอุกาบาต  เพราะหินตกจากฟ้าเป็นไปไม่ได้   ตอนนี้ก็รู้แล้วว่าไม่จริงครับ แก้ไขเมื่อ 20 พ.ค. 55 03:24:40 จากคุณ : Ter @ AFC เขียนเมื่อ : 20 พ.ค. 55 03:23:27

ความคิดเห็นที่ 32 ผมชอบที่ท่านหยิบยก เรื่องราวง่ายๆ มาเป็นตัวอย่าง ประกอบคำอธิบาย   แม้ท่าน อายุน้อย  แต่ความรอบรู้  นั้นมีมาก ที่สำคัญ  ผมไม่เคยเห็น "ท่านอวด ตัวแต่ประการใด" ขอให้ท่านได้ ทำเรื่องดีๆ ให้นานๆ ครับผม จากคุณ : ขอนเก่า เขียนเมื่อ : 20 พ.ค. 55 11:57:26

ความคิดเห็นที่ 33 เข้ามาอ่านค่ะ เพิ่งรู้นะเนี่ย ถึงเป็นพระเเล้วก็ยังโดนเเบบนี้ด้วย ดูรุนเเรงกันจัง คนสมัยนี้ จากคุณ : ยืมเพื่อน (SHeDAMe) เขียนเมื่อ : 20 พ.ค. 55 13:40:20

ความคิดเห็นที่ 34 แล้วการที่ ว. รู้เรื่อง สตีฟ จ๊อบ พอๆ กับ พระอานนท์ อย่างที่คุณตุ้ม บอกนี่ทำให้ ว. กลายเป็นคนที่น่าเลื่อมใส ได้ขนาดนั้นหรา ??? ว. เองบางทีสอนอะไร พูดอะไรที่ไม่ได้มีอยู่ในพระไตรปิฏก ... พระพุทธเจ้าไม่เคยตรัส หรือแม้กระทั้งไม่เคยพูดถึงเช่น ฆ่าเวลา บาปกว่าฆ่าคน อย่างมงายในวิทยาศาสตร์ เมื่อก่อนคนเหาะเหินเดินหาวได้ เงินงอกงามเพื่อธรรมงอกเงย บางทีคำที่ ว. สอน มันก็ดี มีประโยชน์ แต่ความ วันนาบี ความอยากจะดัง อยากจะเป็นซัมวัน ทำให้ ว. ไม่น่าเลื่อมใส ... ว. ไม่ใช่ปราชญ์ แต่เป็นเพียงผู้ที่ เอาคำพูดของคนอื่นมาเขียน และ พยายามแต่งคำสอนของตัวเองให้สวยหรู แต่บอกตรงๆ ไร้ความหมาย ผมไม่ได้เกลียด ว. รู้สึกเฉยๆ ไม่ได้เคารพอะไรด้วยซ้ำ ..... แต่รู้สึกว่าสิ่งที่ ว. ได้ทำ เช่นเอา ธรรมมะ (จริง ตามเนื้อหาในพระไตรปิฎก) ไม่สอนคนสมัยใหม่ เข้าสู่อินเตอร์เน็ต ผมชื่นชม ... แต่การคิดคำสวยหรูขึ้นมาเอง แล้วพอคนอื่นถามกลับว่า ทำไมถึงสอนแบบนี้ ..... ว. เองแทนที่จะรับฟัง กลับบอกคนที่ถามกลับว่า ใจอกุศล อคติ ไม่รู้จักใช้สมอง .... อย่างนี้หรือ ปราชญ์ทางศาสนา??? .... ผมว่าไม่ใช่อะ จากคุณ : -:- นายต้นไผ่ -:- เขียนเมื่อ : 20 พ.ค. 55 14:12:08

ความคิดเห็นที่ 35 ผมออกไปทางไม่เลื่อมใสนะ เพราะ 1 ชอบไปใช้คำพูดของคนอื่นโดยไม่ให้เครดิต 2 เวลาเทศน์เรื่อง สตีฟ จอบ น่ะมั่ว เอาซะประวัติจ๊อบเพี้ยนไปเลย 3 คนสอนบางอันประหลาดๆ เช่น  ฆ่าเวลาบาปกว่าฆ่าคน ปล เพจชอบท่าน ว ก้อมิใช่น้อยนะ     แต่ไม่กดไลค์ ไม่follow เพราะส่วนมากโพสกันอยุ่ คำเดียวอะ " สาธุ " แต่ผมกดไลค์ทุกแฟนเพจที่เกลียดท่านอะ จากคุณ : Arkkara เขียนเมื่อ : 20 พ.ค. 55 14:24:02

ความคิดเห็นที่ 36 เจริญพวง รับอีเวนท์บ่อยอ่ะไม่ชอบเลย ฆ่าเวลาบาปกว่าฆ่าคน จากคุณ : เมเหม่เม่เม้เหม๋ เขียนเมื่อ : 20 พ.ค. 55 15:22:56

ความคิดเห็นที่ 37 คนที่ต่อต้าน ล้อเลียน ด่าทอท่านว. มีกลุ่มเดียว คือกลุ่มเสื้อแดง เพราะเมื่อก่อนก็ไม่มีคนไปจาบจ้วงท่าน จนกระทั่ง.. จนกระทั่งท่านไปพูดในรายการพี่ดู๋สัญญาว่า ประชาธิปไตยไม่ใช่การปกครองที่ถูกต้องไปเสียหมด ที่ดีที่สุดคือธรรมาธิปไตย ตั้งแต่นั้น..เหล่าเสื้อแดงก็ตั้งต้นเป็นศัตรูกับท่าน ต่อมาอีกหลายปี คำผกา สาวเสื้อแดงผู้ป่วยอาการ exhibitionist ก็ออกรายการหวอยทีวี ตำหนิติเตียนท่านเรื่องที่เทศน์ว่า "ฆ่าเวลาบาปกว่าฆ่าคน" ไปหาดูในยูจู๊บได้เลยครับ อันเป็นที่มาของสาวกคำผกา เริ่มด่าท่านตามศาสดาหญิง การวิพากษ์พระด้วยปัญญา กับการด่าทอด้วยความ"เห็นผิด"ไม่เหมือนกัน ต้องแยก 2 สิ่งนี้ให้ออก แถมคนที่ไปด่าทอล้อเลียนท่าน ก็ใช่ว่าปัญญาสูงส่งหรือเห็นถูก แต่ด้วยความโกรธที่ท่านมาตำหนิความเชื่อของตนต่างหาก (ซึ่งท่านไม่ได้ตำหนิ ท่านแค่สอนประชาชนเฉยๆ ตัวเองรับเอง ร้อนเอง เต้นเองแท้ๆ) ส่วนคำผกาที่นำคำเทศน์ท่านไปตำหนิติเตียน  ก็ดูสติปัญญาและความประพฤติเธอได้ ว่าเธอ "เข้าใจธรรมะ"สักแค่ไหน  พฤติกรรมส่วนตัวเป็นเยี่ยงไร แล้วจขกท.จะรู้เองว่า..คำด่าทอเหล่านั้น ควรเอามาสงสัยหรือเป็นอารมณ์หรือไม่ครับ จากคุณ : ผึ้งน้อยพเนจร เขียนเมื่อ : 20 พ.ค. 55 16:24:28

ความคิดเห็นที่ 38 ขอพูดถึงพระอาจารย์พยอมก่อน มีคนว่าท่านเป็นแดง...คงเพราะเคยมีคนเสื้อแดงไปขอใช้สถานที่วัดสวนแก้ว มีคนถามพระอาจารย์พยอมว่า..ทำไมถึงยอมให้แดงใช้วัดจัด ท่านตอบว่า.."ใครขอก็ให้จัดทั้งนั้น...แต่สีเหลืองไม่เคยมาขอนี่" ..แล้วจะให้เข้าใจท่านแบบไหน...ก็แล้วแต่นะจ๊ะ ท่านว.วชีรเมธี ส่วนตัว..คิดว่าส่วนหนึ่ง"ท่านดูเด็กไปหน่อย"ที่จะเป็น"ผู้รู้แจ้งเห็นจริง" อันนี้ฟังมาจากวงสนทนาของอาจารย์สอนมหาวิทยาลัยแห่งหนึ่ง(ไม่ขอเอ่ยชื่อ) ผู้อัจฉริยะคนไหนก็ตาม..แต่ไม่เคยผ่านประสบการณ์ชีวิตหลายๆแบบ คงจะเป็นผู้รู้จริงได้ ไม่ และคงจะมานั่งพูดๆๆสอนๆๆแต่ทฤษฎี แต่ไม่เคยปฏิบัติจริงๆเลย..จึงเป็นแค่"นามธรรม" ท่านว. คงเป็นเพราะความแปลกใหม่,สดใส..พูดจาฉะฉาน จึงเป็นที่นิยม แต่ท่านพยอม(อันนี้เห็นจริง) วันหนึ่งผมไปเที่ยววัดสวนแก้ว...ถึงหน้าตูทางเข้า..เห็นมีรถผสมปูนคันใหญ่กำลังจะเทปูนลงหลุม..ทำฐานตึก ผมเห็นพระองค์หนึ่ง..ตัวดำๆ(เห็นด้านหลัง) เหงื่อโชกเปียกอังสะ(เสื้อชั้นในพระ)สาละวนกับการบอก,ชี้ตำแหน่งเทปูน พอเดินผ่านไปใกล้ๆ ท่านหันมา...อ้าว..พระอาจารย์พยอมนี่ และเคยอ่านประวัติท่านพยอม..ท่านบวชไปจำวัดกับท่านพุทธทาส(ไชยา) ชีวิตในทางธรรมและการดำเนินเส้นทาง..แต่ละท่านจึงแตกต่างครับ จากคุณ : ตาสาน เขียนเมื่อ : 20 พ.ค. 55 16:29:45

ความคิดเห็นที่ 39 แก้ไขเมื่อ 22 พ.ค. 55 23:12:56 แก้ไขเมื่อ 22 พ.ค. 55 21:18:55 จากคุณ : TheK1Ninja เขียนเมื่อ : 20 พ.ค. 55 17:39:44

ความคิดเห็นที่ 40 เราไม่ชอบธรรมะแดกด่วน ที่ส่งตามทวิตเตอร์ ก๊อบคำพูดของคนดังในอดีตหลายๆคนที่พูดเป็นภาษาอังกฤษหรือชาติอื่นๆ แล้วมาแปลงเป็นของตัวเอง ไม่ว่าจะเป็น คานธี หรือ ใครหลายๆคนที่เราเคยเจอ เราไม่ชอบหนังสือ ที่มาพูดเรื่อง รักๆ เราว่า หนทางของพุทธมันควรจะละซึ่ง รัก เราไม่ชอบพระที่มารับจ๊อบโฆษณา รถกะบะ หรือ ตามนิตยสารต่างๆ หรือแม้แต่ together we can เราไม่ชอบพระยิ้มแหกเห็นฟันทุกซีก เราชอบพระที่ไม่ยิ้ม สงบและเรียบร้อย เราไม่ชอบพระที่จิกกัดคน แต่ไม่เคยได้รับความกระจ่างที่แท้จริง แค่เอาหลักพูดเก่งแต่จับสาระไม่ได้เลย เราไม่ชอบพระที่ยังไม่ได้แน่จริงในทางโลก แต่:-)มาสอนสอนสอน พูดได้ทุกเรื่องแต่ไม่ได้ตอบโจทย์ตรงๆได้ ถ้าไม่ได้คิดตามวิเคราะห์ตาม มันก็หลงไปในคำพูดที่หาแก่นไม่เจอ หนทางของศาสนาพุทธมันมีคำสอนที่ให้เรานำกลับไปคิด ไมได้ฟังแล้วชอบและใช่กับทุกคนเสมอไป จากคุณ : lilycu เขียนเมื่อ : 20 พ.ค. 55 17:44:14

ความคิดเห็นที่ 41 อ่านแล้วขำอยู่เรื่องหนึ่งคือคนที่ไม่ชอบท่านต้องเป็นเสื้อแดงเท่านั้นหรือคะ 55555555 ไม่มีเรื่องคำสอนคำคมท่านเอามาถกกันเลยหรือ?? ส่วนตัวคิดว่าการวิจารณ์ทำให้เกิดคำถาม  ซึ่งนับว่าเป็นเรื่องดีคะ ไม่ว่าคุณจะมีความคิดอย่างไรกับสิ่งนั้นก็ตาม ทุกอย่างในโลกล้วนมีการเปลี่ยนแปลง ไม่มีอะไรเป็นนิรันดร์ บางทีการตื่นก็ต้องอาศัยคนอื่นปลุกนะ จากคุณ : สายสร้อย เขียนเมื่อ : 20 พ.ค. 55 17:57:50

ความคิดเห็นที่ 42 ไม่ชอบพระทำตัวเป็นดาราเป็นเซเล็บฯครับ แม้ไม่เคยได้คุยกันตรงๆ แต่ภาพที่ออกมาหลายอย่างไม่ชอบพอๆ กับพระหลายๆรูปที่เคยเห็น คำสอน สวยหรู ฟังดูพูดตามแล้วดูฉลาดถูกจริตชนชั้นกลาง แต่บางอันก็หารู้ไม่ว่ามีแต่เปลือก เอาคำพูดคนอื่นเค้ามาไม่ให้เครดิตก็มี จากคุณ : Soul To Squeeze เขียนเมื่อ : 20 พ.ค. 55 18:20:22

ความคิดเห็นที่ 43 ตกลงท่าน ว. เชื่ออย่างนั้นจริงๆหรือ ว่าคน บินได้ เหาะเหินเดินอากาศแบบชิวๆ ในอดีต แบบใครอยากบินก็บิน ผมว่ามัน.......... จากคุณ : TheK1Ninja ^ ^ แล้วคุณจขกท.แน่ใจหรือว่าไม่มีมนุษย์ที่ฝึกตนจนเหาะเหินเดินอากาศได้จริง? จากคุณ : ผึ้งน้อยพเนจร เขียนเมื่อ : 20 พ.ค. 55 19:16:27

ความคิดเห็นที่ 44 ผมไม่เห็นด้วยว่าควรจะพูดฟันธงออกสื่อว่า คนบินได้ ถ้ามีคนบินได้จริงๆ ในปัจจุบัน ก็น่าจะต้องมีคนทำได้นะครับ อย่างพระเก่งๆก็มีมากมาย ระดับอรหันต์ดังๆในไทย รวมทั้งในทิเบต อินเดีย หรือ ต่างชาติด้วย ประชากรเรามีตั้ง 7 พันล้านคน มากกว่าคนในอดีตเยอะมาก น่าจะมีให้เห็นบ้าง แต่ทำไมไม่มีเลย ผมว่าถ้า ท่าน วอ. หาสิ่งที่ยืนยันไม่ได้ ก็น่าจะใช้คำว่า อาจจะทำได้ หรือ อ้างอิงประวัติศาสตร์ว่ามีการบันทึก จะดีกว่าที่บอกว่า ชัวร์ ! ออกสื่ออ่าคับ ถ้าใช้คำว่าอ้างอิง จะดีกว่าคำว่า ฟันธงครับ เมื่อพูดต่อหน้าสื่อ เพราะคนจะสับสนได้ ผมไม่ได้ว่าท่านนะ เรื่องนี้อาจจะจริงก็ได้ ไปดู ความเห็น 107 ของผม ก็ตั้งคำถามในลักษณะเข้าใจท่านเหมือนกัน แก้ไขเมื่อ 22 พ.ค. 55 21:27:46 แก้ไขเมื่อ 21 พ.ค. 55 11:42:56 จากคุณ : TheK1Ninja เขียนเมื่อ : 20 พ.ค. 55 19:23:46

ความคิดเห็นที่ 45 กดไลท์ให้ คห.ที่ 18, 28 และ 37 ค่ะ สิ่งที่มนุษย์ยังไม่รู้ มีอีกมาก แต่ไม่ได้หมายความว่ามันไม่มีอยู่จริง .. มนุษย์อาจจะมีประสาทสัมผัสที่หยาบเกินกว่าจะรับรู้สิ่งต่างๆ ที่มีอยู่ในธรรมชาติ จากคุณ : ไม่รู้ตัวจริงๆ เขียนเมื่อ : 20 พ.ค. 55 19:52:22 A:118.174.167.187 X: TicketID:314056

ความคิดเห็นที่ 46 #1  นมดำคือใครครับ จากคุณ : ranat เขียนเมื่อ : 20 พ.ค. 55 22:48:00

ความคิดเห็นที่ 47 ตอบ เท่าที่พอทราบมา.. นะครับ คำว่า " เจริญพวง " มาจากที่ท่าน วอ.เป็นพระบวชเณรมาตั้งแต่เด็ก แต่ก็สามารถเขียนหนังสือที่มีเนื้อหาเกี่ยวกับเรื่องรักๆใคร่ๆ เช่นมหัศจรรย์แห่งรัก ออกมาวางขายได้.. จึงกลายเป็น คำพูดล้อเลียนระหว่างคำว่า "เจริญพร" กลายเป็น "เจริญพวง " ช่วงที่การเมืองกำลังทวีความรุนแรง พันธมิตรออกมาแสดงพลัง ท่าน วอ.เทศผ่านสื่อต่างๆใช้วาทกรรมเหน็บแนม ท่านทักษิณ ใช้คำพูดกำกวมให้คนฟังคิดไปเองว่าเป็นใคร เช่น ถ้าผู้นำของชาติโกหกปิดบังความจริงก็จะพาชาติล่มจม  เทศเอาธรรมมะแขวะโยงไปเรื่องการเมือง.. ท่านวอหากินอยู่กับสื่อในเคลือเนชั่น ของคุณสิทธิชัย หยุ่น และมีความสัมพันธ์อันดีต่อกัน ซึ่งสื่อทางฝั่งนี้ เป็นคนล่ะขั้วกับทางฝั่งคนเสื้อแดง พอหลังจากได้ออกสื่อต่างๆ ช่วงแรกๆยังไม่ดังเท่าไร 5-6 ปีก่อน ..พอเริ่มมีชื่อเสียง ท่านวอ จึงเป็นพระยุคแรกๆที่เข้าสู่ระบบอินเตอเน็ต ทวิสเตอร์ เฟสบุ๊ค มีวาทกรรมคิดตรรกะเปรียบเปรยแปลกๆ นำเสนอผ่านระบบโซเชี่ยลเน็ตเวิร์คซึ่งสั้นและกระชับ จึงขาดใจความสำคัญ นำมาเผยแพร่ เช่น ฆ่าเวลาบาปกว่าฆ่าคน ไหว้พระเป็นแสนไม่ได้บุญเท่าไหว้พ่อแม่ อย่าเชื่อวิทยาศาสตร์ คนสมัยก่อนบินได้ ..อะไรประมาณนี้ครับ ท่านวอกลายเป็นเซเลปคนดัง ต้องคอยหมั่นสร้างกระแส ถ่ายปกลงนิตสารชื่อดังต่างๆ มีการโพสท่าทางแอคติ้ง ที่เกินเลยจากความเป็นพระ เช่น กอดกับวู๊ดดี้ กอดเด็กๆ  นั่งกินข้าวในห้าง ใช้เครื่องแต่งกายแปลกๆเช่น ใส่หมวก มีผ้าคุมไหล่ ซึ่งไม่เหมือนพระอื่นๆทั่วไป ท่านวอจึงเป็นกลายเป็นตัวแทน ในการนำเสนอเรื่องราวของพระที่ปฏิบัติตนไม่เหมาะสมที่พบเจอในโลกอินเตอร์เน็ต เช่นพระตุ๊ด เกย์ พระช๊อปปิ้ง ยิงปืน เล่นสงกรานต์ จากคุณ : ZorRor เขียนเมื่อ : 20 พ.ค. 55 23:56:37

ความคิดเห็นที่ 48 ... จากคุณ : ZorRor เขียนเมื่อ : 21 พ.ค. 55 00:01:07

ความคิดเห็นที่ 49 ไม่แดง ไม่เหลือง ไม่สลิ่ม ไม่แม้กระทั่งจะเลือกศาสนา แต่การใช้คำพูดหรือคำสอนที่ผ่านกระบวนการคิดของตนเอง คนเดียว ผ่านประสบการณ์ของตนเองคนเดียว แล้วมาแปลงให้ เป็นประโยคสั้นๆที่ดูคมคาย ดูดี แต่ผู้ฟังไม่อาจเข้าใจสิ่งนั้นได้จริงๆ โอเคคุณอาจจะบอกว่าอยู่ที่ประสบการณ์ อยู่ที่ระดับความคิด ความศรัทธา แต่บางคราวการเกิดความศรัทธาแบบผิดๆก็ทำให้เกิดความเชื่อที่เป็นความงมงายได้ง่ายๆ อย่างที่พบเห็นสงครามกลางเมือง สงครามศาสนา แม้แต่ความไม่สงบภาคใต้บ้านเราเองก็เถอะ ท่าน ว. บวชตั้งแต่อายุ 14  ถ้าผมจำไม่ผิดนะครับ แล้วท่านจะเข้าใจเรื่องทางโลกดีถึงขนาด ไปสอนเรื่องรักใคร่ได้เชียวหรือ ปัจจุบันเราเสพติดความง่าย ข้อความที่เข้าใจง่าย ข้อความที่ตีความง่าย แต่ทั้งหมดแล้ว หากเราไม่เจอกับตัวเอง หากไม่ผ่านมาด้วยประสบการณ์ของตนเอง เราไม่มีทางรู้ถึงความรู้สึก หรือเข้าใจอย่างแท้จริงได้เลย... จากคุณ : Lizard (laorvarakul) เขียนเมื่อ : 21 พ.ค. 55 00:17:45

ความคิดเห็นที่ 50 นมดำ = คำ ผกา จากคุณ : พลอยพลอย (32keliolp) เขียนเมื่อ : 21 พ.ค. 55 00:27:51

ความคิดเห็นที่ 51 รู้สีกเทศน์เอาใจแม่ยกน่าดู จะเป็นพระทองแท้ ต้องมีหลักการ แม้ความตายจะมายืนอยู่ข้างหน้าก็ไม่หวั่นไหว จากคุณ : oeton เขียนเมื่อ : 21 พ.ค. 55 00:38:14

ความคิดเห็นที่ 52 เพจอื่นไม่แน่ใจนะฮะ แต่เพจวอร์ วชิร่า เมทัล เนี่ย ผมคิดว่าไม่มีอะไรไปมากกว่าลูกทะลึ่งของการเอาชื่อท่าน ว. แกมาแผลงเล่นเฉยๆ น่ะฮะ (จำได้ว่าเพจนี้มาคู่กับ ส. ศิวร็อคฮัะ) จากคุณ : new kid in town เขียนเมื่อ : 21 พ.ค. 55 10:02:58

ความคิดเห็นที่ 53 เคยชอบ ท่าน ว. มากครับ ยอมรับว่าท่านเป็นพระรุ่นใหม่จริงๆ หลักแหลมมาก แต่หมดศรัทธา ก็เพราะเรื่องคนบิน ที่รายการวุ๊ดดี้น่ะหละครับ สุดโต่งเกินไป จากคุณ : Neopom เขียนเมื่อ : 21 พ.ค. 55 10:08:24

ความคิดเห็นที่ 54 ผมมองว่าแค่เด็กเมื่อวานซืน โกนหัวบวชตั้งแต่อายุน้อยๆ จะประสีประสาอะไรกับทางโลก   แต่กลับทำตัวรู้มาก  คำพูดคำสอนอะไรก็ง่ายๆพื้น ได้อ่าน ได้ฟัง ก็ไม่ได้ลึกซึ้งเป็นองค์ความรู้ใหม่อะไรเหมือนที่พระผู้ใหญ่ท่านเทศน์  แต่ทำไมอวยกันจัง สงสัยพวกไอ้ที่อวย เรื่องแค่นี้คิดไม่ได้เหรอ ทำไมโง่จัง ต้องให้เด็กโกนหัวมาสอนถึงจะเชื่อ อีกอย่าง อาศัยกระแสสื่อสร้างตัวเองให้ดัง จากคุณ : Captain_A เขียนเมื่อ : 21 พ.ค. 55 10:14:31

ความคิดเห็นที่ 55 เฉยๆกะชีค่ะ แต่สาวกชีมากกว่า กดไลท์แล้วยังกะจะได้บุญอย่างนั้น จากคุณ : witta_mariah_mymom เขียนเมื่อ : 21 พ.ค. 55 10:22:51

ความคิดเห็นที่ 56 รู้จักละทางโลกรึเปล่า? จากคุณ : สร้างเสริมประสบการณ์ชีวิต เขียนเมื่อ : 21 พ.ค. 55 10:35:16

ความคิดเห็นที่ 57 ดูเพจนี้ซิครับ http://www.facebook.com/vorvinmor รูปตัดต่อตรึม แทบช๊อค จากคุณ : หางแหลม เขียนเมื่อ : 21 พ.ค. 55 10:52:02

ความคิดเห็นที่ 58 ผมก็ไม่ค่อยปลื้มนะ เหมือนท่าน fake  ไงชอบกล จากคุณ : pasygon เขียนเมื่อ : 21 พ.ค. 55 10:53:24

ความคิดเห็นที่ 59 ผมชอบพระที่ปฏิบัติจริง ว่าตรง ๆ ก็คือสายกรรมฐาน วัดป่า พระบ้านเนี่ย ยกมือไหว้ไม่ลงครับ เพราะมีทั้งเดินห้าง สุบบุหรี่ นั่งเล่น net ที่วัด วัดรวยหน่อยก๋นอนตากแอร์ดู UBC  มีคนขับรถ กุฏิ ใหญ่ กว่าบ้านผมอีก จากคุณ : pnux เขียนเมื่อ : 21 พ.ค. 55 10:55:19

ความคิดเห็นที่ 60 บอกตามตรง คำยังไม่คมพอ ที่จะทำให้รุ่นใหญ่ หรือกระทั่งคนที่เกิดมาก่อน สัมผัสมาก่อน เขาเชื่อได้อ้ะ การที่สาวกจะประดิษฐ์คำสวยหรู เติมแต่งจากศาสดา มันทำได้ แต่ก็ต้องออกมาแบบลึกซึ้งมากกว่านี้ ไม่ใช่ขอให้ฉันเกิด ฉันเอาทั้งนั้น ขึ้นปก ออกทีวี ไปมันเรื่อยยยยย เปรียบเทียบกับรูปอื่น ๆ ที่ปฎิบัติให้เห็น แบบนั้นไม่ต้องประดิษฐ์ เทศนาด้วยถ้อยคำธรรมดา ก็ฟังไพเราะซาบซึ้งมากกว่ากันเป็นไหน ๆ ครับ จากคุณ : gaz เขียนเมื่อ : 21 พ.ค. 55 11:00:46

ความคิดเห็นที่ 61 เสรีภาพทางการแสดงออกน่ะครับ :) จากคุณ : กิตติพล เขียนเมื่อ : 21 พ.ค. 55 11:01:36

ความคิดเห็นที่ 62 "คนสมัยก่อนเหาะเหินเดินอากาศได้" "ฆ่าเวลาบาปกว่าฆ่าคน" "อย่างมงายในวิทยาศาสตร์" วิทยาศาสตร์ไม่ได้สอนให้งมงายแต่สอนให้พิสูจน์ว่าจริงหรือไม่จริง ผมไม่รู้หรอกว่าคนสมัยก่อนมันเหาะได้ เพราะเกิดไม่ทัน แต่พระ ว. ก็พูดแบบไม่มีหลักฐานอ้างอิงเลยซักนิด สรุปแล้วผมว่าผมงมงายในเหตุผลทางวิทยาศาสตร์น่ะดีแล้ว จากคุณ : jubchay เขียนเมื่อ : 21 พ.ค. 55 11:16:08

ความคิดเห็นที่ 63 เมื่อคราวเสื้อเหลืองชุมนุม จากบทความ “ความเป็นกลาง = ความเป็นก้าง” (จากเนชั่นสุดสัปดาห์) ฉบับวันที่ 11 กรกฎาคม 2551 หน้าที่ 54 ว.วชิรเมธี ยังกล่าวด้วยว่า “ความเป็นกลาง” ที่คนส่วนใหญ่ รวมถึง นักวิชาการ สื่อมวชนอ้างถึงนั้นเกิดจากความไม่รู้ “การอยู่เฉยๆ ไม่เรียกว่า การวางตนเป็นกลาง แต่ควรเรียกว่า วางตนเป็น ‘ก้าง’ คือ คอยขวางไม่ให้สิ่งดีๆ เกิดขึ้นในสังคม ... น่าเป็นห่วงมากที่ในสังคมไทยของเราคิดกันตื้นๆ ว่า การวางตนเป็นกลาง คือ การอยู่เฉยๆ และก็คนกลุ่มใหญ่พยายามขยายแนวคิดนี้ออกไปจนทำท่าจะเห็นดีเห็นงามกันทั้ง ประเทศ” ดังนั้นคำกล่าวที่ว่าพระสงฆ์ไม่ควรจะยุ่งเกี่ยวกับการเมืองโดยสิ้นเชิงนั้น ว.วชิรเมธี จึงเห็นว่าเป็นสิ่งที่ไม่ถูกต้อง เมื่อคราวเสื้อแดงชุมนุม จาก พระมหาวุฒิชัย "สังคมที่ใช้อารมณ์นำทาง เป็นสังคม "กลียุค" จากไทยรัฐออนไลน์ Q : การที่เราเห็นปรากฏการณ์พระสงฆ์เข้าไปยุ่งเกี่ยวกับการเมืองในมากมายในยุคนี้ พระอาจารย์มีความคิดเห็นอย่างไร…? A : พระสงฆ์สามารถมีส่วนร่วมทางการเมืองได้ ในฐานะผู้ถ่ายทอดธรรมะให้แก่นักการเมือง ไม่ใช่ผู้ที่เข้าไปคลุกคลีตีโมงกับการเมือง ตรงนี้ต้องชัด นักการเมืองซึ่งเป็นมนุษย์ปุถุชนคนหนึ่ง ให้รู้จักว่า อะไรดีอะไรชั่ว อะไรคือประโยชน์ตน อะไรคือประโยชน์ท่าน หน้าที่ของพระสงฆ์ในทางการเมืองมีแค่นั้น เมื่อไหร่ก็ตามที่พระสงฆ์ก้าวล่วงเข้าไปถึงขั้นคลุกคลีตีโมง หรือลงไปเล่นการเมืองเสียเอง ถือว่าเลยจุดที่พระธรรมะวินัยจะอนุญาตแล้ว ไม่ถูกต้อง Q : เล่นการเมืองไปถึงขั้นคลุกคลีตีโมงที่พระอาจารย์กล่าวหมายความต้องถึงขั้นไหน...? A : 1. เข้าไปเป็นกุนซือให้กับนักการเมือง 2. เข้าไปร่วมวางยุทธศาสตร์ให้กับนักการเมือง 3. เข้าไปมีส่วนได้ส่วนเสียให้กับนักการเมือง ถ้าทำ 3 ขั้นนี้เมื่อไหร่ ถือว่าทำหน้าที่เลยสิ่งที่พระธรรมวินัยอนุญาต อันนี้อันตรายมาก พระสงฆ์เกี่ยวข้องกับการเมืองได้ในสถานะเดียวเท่านั้น คือผู้ถ่ายทอดหลักธรรมสำหรับนักการเมืองเท่านั้น ถ้าเลยไปถึงลงเล่นการเมืองเมื่อไหร่ ถือว่าทำผิดพระวินัยทันที ถามว่าตกนรก ตกนรกแน่นอน Q : ตามหน้าสื่อต่างๆ มีพระบางรูปบอกว่า อาตมาชื่นชอบนักการเมืองคนนี้ๆ เหลือเกิน เป็นโชคดีของประเทศที่ได้นักการเมืองคนนี้ๆ มาดูแลประเทศ กระทั่งเทศนาเชียร์ให้คนอื่นๆ ที่มาทำบุญคล้อยตาม กลับกันกลับเทศนาตำนิด่าทอคนที่ไม่เห็นด้วยกับตนเอง อย่างนี้ผิดไหมพระธรรมวินัยไหม A : ผิดแน่นอน สามารถแบ่งความผิดอย่างนี้มี 2 แบบ 1. ผิดวินัย หรือผิดตามกฏหมาย ซึ่งอาจจะไม่มาก แต่ผิดในแง่ของเจตนารมณ์ของการเป็นพระแล้วผิดรุนแรง เพราะการที่คุณเป็นพระบอกอยู่แล้วว่าเป็นการหันหลังให้กับการเมือง คุณยังเข้าไปคลุกคลีอยู่ถือว่าไม่ถูกต้อง เจตนารมณ์คือคุณกล้าออกมาจากวิถีชีวิตแบบชาวโลก แต่ถ้าคุณยังลงมาคลุกคลีตีโมงทางการเมืองกับชาวโลกอยู่ ไปมีส่วนได้ส่วนเสียส่วนปลุกเร้า หรือแสดงความชื่นชมนักการเมืองอย่างออกนอกหน้าเกินไป จนทำให้มีผลเสียหรือดีคนใดคนหนึ่งถือว่าไม่ถูกต้องหมดเลย ท่าทีอย่างนี้ถือว่าไม่ผิดวินัย แต่มันเป็น “โลกวัชชะ” “โลกวัชชะ” แปลว่าชาวโลกติเตียน ซึ่งอาจไม่ผิดวินัยร้ายแรง แต่อยู่ในวิสัยที่ชาวโลกรับไม่ได้ คือวินัยอาจบัญญัติไว้ไม่ถึง เพราะพระธรรมบัญญัติไว้ในยุคหนึ่งสมัยหนึ่ง แต่พระพุทธเจ้าเปิดช่องเอาไว้ให้ แต่ถ้าชาวโลกไม่ยอมรับ ถือว่าไม่ถูกต้อง นี่เรียกว่าไม่ผิดโดยกฎหมาย แต่ผิดโดยเจตนารมณ์ ฉะนั้น แสดงความชื่นชม สนับสนุนนักการเมือง หรือช่วยเหลือ อย่างนี้ก็ไม่เหมาะไม่ควรด้วยประการใดๆ ทั้งสิ้น เริ่ดไหมละ เจริญพวง แก้ไขเมื่อ 21 พ.ค. 55 12:18:27 จากคุณ : มหายมยักษ์ เขียนเมื่อ : 21 พ.ค. 55 12:16:54

ความคิดเห็นที่ 64 ภิกษุ ว มีปัญหาทั้งเรื่องกับเสื้อแดง เรื่องกลอนพาไปกล่าวเพี้ยนๆ มีเรื่องกล่าวตู่อิทธิฤทธิ์โดยตนไม่พิสูจน์ จะถือว่าผิดในการกล่าวอุตริมนุษยธรรมก็ใช่ แล้วก็ได้ทำเรื่องขัดแย้งกับวินิจฉัยทางแพทย์เรื่องแก้เกย์แก้แต๋ว คนไม่ชอบท่าน มีเยอะแน่ และอย่ามั่วถั่วเรื่องมีแต่เสื้อแดง การเอาทัศนคติทางศาสนามาผูกกับสีเสื้อมีแต่ทำให้เสื่อม เหมือนความพยายามโยงสถาบันเข้ากับสีเสื้อ แล้วเป็นไง สถาบันโดนหมาปากเปราะเห่าใส่นี่ไอ้คนเอาไปผูก ดูแลอะไรป้องกันอะไรได้บ้าง แล้วถามคนอื่นๆบ้างไหมเขารู้สึกยังไงที่โดนเอาสิ่งที่เคารพมาเป็นโล่อย่างนี้ เหมารวมน่ะมันทุเรศ เอาโดยสรุปคือ มีคนไม่ชอบท่านเยอะแน่ แต่ที่น่าห่วงก็การล้อเลียนเกินเหตุ ยังไงนั่นก็ภิกษุ ตำหนิหรือว่าอะไรก็ควรไว้หน้าผ้าเหลืองมั่งนั่นละครับ จากคุณ : Darth Prin เขียนเมื่อ : 21 พ.ค. 55 12:38:55

ความคิดเห็นที่ 65 บางความเห็นที่บอกว่าคนที่ไม่ชอบ ไม่ศรัทธาในคำสอนของพระรูปนี้อาจเป็นเพราะสติปัญญายังไม่ถึงพร้อม คิดอย่างนั้นจริงหรือคะ ? และบางพวกที่บอกว่าพวกเสื้อแดง พวกจานบินเท่านั้นที่ไม่ชอบ ไม่ศรัทธาในพระรูปนี้ คิดอย่างนั้นจริงหรือคะ ? ประเทศนี้มีคนอยู่แค่สองกลุ่มเหรอ เหลือง แดง หรือคุณจะบอกว่าพวกคุณไม่มีเสื้อ ? ถ้าพวกคุณคิดว่าพวกคุณไม่เหลือง ไม่แดง แล้วทำไมคนที่ไม่ชอบ ไม่ศรัทธา จะต้องเป็นคนมีสีด้วย เบื่อไหมกับตรรกะ ไร้สาระแบบนี้ ไม่เห็นด้วยกับตน จะต้องเป็นคนเสื้อโน้นเสื้อนี้ ? ตอบคำถามเจ้าของกระทู้นะคะ ไม่ชอบ เพราะคำสอนของท่าน โดยเฉพาะสุภาษิตนี่มันเข้าถึงยากค่ะ แปลไทยเป็นไทยได้ยากมาก จะสอนคนให้เข้าใจธรรมะ ทำไมต้องประดิษฐ์ คนเข้าใจก็มีอยู่ แต่คนไม่เข้าใจ ท่านจะไม่ใยดีเลยหรือ หรือจะมีแต่คนเสื้อแดงกับพวกจานบิน ที่ไม่เข้าใจ (ตามตรรกะของหลายคนในนี้) จากคุณ : กล้วยปั่นพิทักษ์โลก เขียนเมื่อ : 21 พ.ค. 55 12:55:05

ความคิดเห็นที่ 66 "ฆ่าเวลาบาปไม่น้อยกว่าฆ่าคน" เป็นคำสอนที่ดี ถ้าออกมาจากปากฆารวาส(จะว่าไปหลวงแจ้แกก็ไปก๊อปเขามาอีกที) "เงินงอกงาม เพื่อธรรมงอกเงย" คำสอนแปลข้อความเขามา แต่ไม่แปลความหมายให้คนอื่นฟังจะเทศน์สั้นเอาเท่รึไง "อย่างมงายในวิทยาศาสตร์" สอนให้ไม่มีเหตุมีผล "พระเหาะได้" บ้าไปแล้ว สาธุ.... จากคุณ : pujjuso เขียนเมื่อ : 21 พ.ค. 55 13:11:21

ความคิดเห็นที่ 67 เจริญporn จากคุณ : Arkkara เขียนเมื่อ : 21 พ.ค. 55 13:25:53

ความคิดเห็นที่ 68 พระพุทธเจ้าตรัสไว้ว่ามีใครบ้างไม่ถูกนินทา คนดังในสังคมล้วนถูกด่าตามปริมาณกองเชียร์นั่นแหละครับ คุณเลือกเชื่อที่จะด่า หรือ เชียรร์ ผมว่ามันไม่เกี่ยวกับสีการเมืองอะไรหรอก จากคุณ : F-MISSILE เขียนเมื่อ : 21 พ.ค. 55 14:42:48

ความคิดเห็นที่ 69 กับท่าน ว.วชิรเมธี ผมรู้สึกได้ว่า ท่านผู้นี้ ไม่ได้โด่งดังแบบที่เป็นตัวของตัวเอง ท่านผู้นี้ โด่งดังจากการลอกเลียนคนอื่น เอาง่าย ๆ อย่างชื่อ ว.วชิรเมธี นั้น เอาแบบมาจากไหน ก่อนหน้าที่จะมี ว.วชิรเมธี มี ป.อ.ปยุตฺโต ที่แจ้งเกิดจากการเขียนผลงานทางวิชาการ/เป็น columnist และใช้เครดิต ป.ธ.๙ นาคหลวง เป็นใบเบิกทาง ว.วชิรเมธี ก็ดุจเดียวกัน แจ้งเกิดด้วยการเขียนหนังสือ/เป็น columnist แล้วใช้เครดิต ป.ธ.๙ เป็นใบเบิกทาง ชื่อ ว.วชิรเมธี (มาจาก วุฒิชัย วชิรเมธี) มาทีหลัง ชื่อ ป.อ.ปยุตฺโต (มาจาก ประยุทธ์ อารยางกูร ปยุตฺโต) มาก่อน ตั้งคล้าย ๆ กัน คงไม่ใช่ความบังเอิญ จงใจให้คล้ายกันเลยแหละ วิทยานิพนธ์ปริญญาโทของ ว.วชิรเมธี ก็ based on ผลงานของ ป.อ.ปยุตฺโต และในงานเขียนของ ว.วชิรเมธี ที่กล่าวถึง ป.อ.ปยุตฺโต จะกล่าวถึงด้วยความชื่นชมอย่างมาก ๆ เป็นไปได้ ว่า ป.อ.ปยุตฺโต เป็น idol ของ ว.วชิรเมธี แต่การสร้างชื่อเสียงแบบวัดรอยเท้า idol ของตัวเอง มันไม่ใช่ของจริงหรอก ว.วชิรเมธี อย่างเก่งก็ดังเพราะเป็น ป.อ.ปยุตฺโต 2 ไม่ได้ดังเพราะเป็น ว.วชิรเมธี ไม่เหมือนท่าน ป.อ.ปยุตฺโต ที่มีชื่อเสียงได้เพราะเป็นตัวท่านเอง และเป็นชื่อเสียงที่ยั่งยืนจริง ๆ เหมือนของท่านพุทธทาส ของท่านปัญญานันทะ ฯลฯ ขอให้ท่าน ว.วชิรเมธี จงมีชื่อเสียงด้วยการ copy ป.อ.ปยุตฺโต ต่อไป เจริญพวง แก้ไขเมื่อ 21 พ.ค. 55 15:00:40 จากคุณ : ABP@BDZ เขียนเมื่อ : 21 พ.ค. 55 14:58:12

ความคิดเห็นที่ 70 """ แก้ไขเมื่อ 21 พ.ค. 55 15:14:40 จากคุณ : โมโม่แม่น้องมายด์ เขียนเมื่อ : 21 พ.ค. 55 15:06:32

ความคิดเห็นที่ 72 ... แก้ไขเมื่อ 21 พ.ค. 55 15:13:16 จากคุณ : โมโม่แม่น้องมายด์ เขียนเมื่อ : 21 พ.ค. 55 15:08:16

ความคิดเห็นที่ 73 สังเกตได้ว่า ผลงานช่วงแรกเท่านั้น ของ ว.วชิรเมธี ที่พยายาม ให้กระแสตัวเองเป็นแบบ ป.อ.ปยุตโต แต่คงเป็นแค่ของก็อบจีนแดงกระมั้ง เพราะอย่างเรื่องการสร้างวัด ถ้าได้ฟัง ป.อ.ปยุตโต ท่านก็เน้นว่าเรื่องการสร้างวัด ไม่ใช่ หน้าที่ของพระ แต่เป็นหน้าที่ของญาติโยม เขาจะสร้างให้อยู่อย่างไรก็ควรจะอยู่อย่างนั้น แต่เรื่องนี้ ว.วชิรเมธีไม่เห็นทำตามคำสอนของท่านเลย ไร่เชิญตะวัน นี้ใหญ่แค่ไหน ลงทุนไปเท่าไหร่ คนเชียงรายเขารู้ทั้งนั้น ปีที่แล้วยังมีแพนเค้ก มาเป็นประธานกฐิน จัดใหญ่โตมโหฬาร เอาพ่อตัวเองนั่งเสลียงเป็นเจ้าทางเหนืออีก สงสัยท่าน ว. จะเสพย์ละครช่องเจ็ด ศิลามณีมากไปหน่อย จากคุณ : มหายมยักษ์ เขียนเมื่อ : 21 พ.ค. 55 15:08:53

ความคิดเห็นที่ 74 ท่านว.เคยศึกษาธรรมะของท่านพุทธทาส ท่านพุทธทาสบอกว่า " หมาเห่าภูเขาทอง" จากคุณ : โมโม่แม่น้องมายด์ เขียนเมื่อ : 21 พ.ค. 55 15:10:18

ความคิดเห็นที่ 75 พระเซเลบ 5555555555555555555555555555555555555555555555+ จากคุณ : แก้มอ้น เขียนเมื่อ : 21 พ.ค. 55 16:23:21

ความคิดเห็นที่ 76 อยากเชิญพระวอ มามาสเตอเบท เอ้ย ดีเบทเรื่องธรรมมะคะ ปล ทำไมถึงมองว่า พี่เบิร์ด,อั้ม อธิชาติเป็นเกย์ พระวอ อ้อยกว่า อีก แล้วไซร้มองไม่ออก ปล สอง ล้อเล่นพระเจ้าค่ะ ให้อภัยลูกช้างด้วยเด้อ จากคุณ : ข้ามากับเป็ด เขียนเมื่อ : 21 พ.ค. 55 17:15:38

ความคิดเห็นที่ 77 ไม่ชอบท่าทางพูดจาของท่านรู้สึกว่าท่านมีมายามากไปหน่อย คนเลยจับได้ว่าไม่เนียน แล้วก็มีรูปที่ท่านท้าวคางเอามือซ้อนคางไว้ทั้ง 2 มือ แล้วหลับตาพรื้มมันดูตลกๆ ค่ะ จากคุณ : เจ้าแม่ดอกหอม (เจ้าแม่ดอกหอม) เขียนเมื่อ : 21 พ.ค. 55 17:19:30

ความคิดเห็นที่ 78 อย่างที่บอกไว้ข้างต้น มีคนรักย่อมมีคนเกลียด ไม่ได้เลื่อมใส ไม่ได้นับถือศาสนาไหนเป็นหลัก ไม่ได้เสื้อสีไหนทั้งนั้น แต่อะไรที่สอนว่าดีก็จำไว้เป็นคำสอนเตือนสติตัวเอง ไม่ให้เบียดเบียนผู้อื่น อะไรที่ไม่นำพาก็ปล่อยวางไว้ไม่สนใจ แค่นี้ก็พอ จบ ทำเป็นรับไม่ได้อย่างนั้นอย่างนี้ จะอะไรกันนักหนา /เพลียกับพุทธศาสนิกชนบางคน จากคุณ : Rybio_K เขียนเมื่อ : 21 พ.ค. 55 17:23:40

ความคิดเห็นที่ 79 ตลกเบาๆ กับคนที่โจมตีท่าน ว. ด้วยการบอกว่าสาวก สาธุๆๆๆๆๆ โดยไม่คิดคติตรองอะไรเลย แต่ในขณะเดียวกัน คนเหล่านี้ก็ ยี้ๆๆๆๆๆๆ โดยไม่คิดตริตรองอะไรเช่นกัน ผมคิดว่าวิธีที่ดีที่สุด คือคิดหาเพชรที่อยู่ในหัวคากคกให้เจอ แม้บางประโยคของท่านมันจะแปร่งๆ ประหลาดๆ แต่ก็มีหลายประโยคหลายข้อความที่เกิดประโยชน์ต่อคนจำนวนมากจริงๆ ไม่ใช่หรือครับ แล้วเราทำลายล้างกันไปเพื่ออะไร? ทำไมไม่ใช้สติปัญญาที่มีเลือก คัดเลือกว่าคำสอนไหนถูก คำสอนไหนดี ก็น้อมรับมาปฏิบัติ อันไหนไม่ตรงใจ ไม่คิดว่ามีประโยชน์ก็บางอุเบกขาใส่ไปเสีย ทั้งนี้ก็อิงจากกาลามสูตรนั่นแหละครับ จากคุณ : หมาแพนดี้ (pcplant) เขียนเมื่อ : 21 พ.ค. 55 17:41:42

ความคิดเห็นที่ 80 ไม่ชอบ ! และไม่ใช่เสื้อแดง ไม่ชอบคนเพ้อเจ้อ เจริญพวง !!! จากคุณ : ชีวิตนิรันดร์ เขียนเมื่อ : 21 พ.ค. 55 17:49:00

ความคิดเห็นที่ 81 อืมมมมมมมม.... กระทู้นี้ อ่านแล้วได้คิดหลายอย่าง ก็ยังดีที่ วิพากษ์ บนหลักเหตุผลอยู่บ้าง ผมให้ความเห็นแบบ คนเคยมีโอกาสทำงานกับ ท่าน ว แล้วกันนะ แรก ๆ ผมเคยไม่ค่อยชอบท่านเท่าไหร่ แต่ พอได้รู้จักท่านมากกว่าแค่ที่เห็นตามสื่อได้รู้อะไรมากกว่าที่เห็นตาม "เขาเล่าว่า" หรือเป็น "สารที่ถูกส่งต่อมา" การเปิดใจเพื่อให้เห็นจริง ก็ทำให้ผมลด อคติ เกี่ยวกับ ท่านลงไปเยอะนะ บางคนชอบว่าท่านสอนเรื่องลึกซึ้ง แต่ผมว่าท่านสอนเรื่องพื้น ๆ นะ รู้จักความทุกข์ รู้จักตัวเอง ฯลฯ เอาแค่ใช้ชีวิตยังไงให้มีความสุข ไม่ได้ไปไหนไกล ถึงขั้น จะหลุดพ้น จะนิพพาน อะไรด้วยซ้ำ (ท่านพุทธทาส ท่านชอบชวนนิพพาน ท่าน ป.อ. ปยุตโต ท่านชอบสอนทฤษฏี) ผมมองว่า มันก็หลายแนวทางนะ เลือกเสพกันไป ตามจริต ของแต่ละคน (บางคำสอนผมว่า แปร่ง ๆ ไม่ถูกก็มีนะ ส่วนใหญ่จะเป็นเวลาเทศน์สด) ส่วนเรื่องที่ออกตามสื่อ เอาเท่าที่รู้หลาย ๆ เรื่อง ก็ไม่ใช่เจตนา แล้วถึงกับเสียพระเพราะ โดนหลอกใช้เป็นเครื่องมือไปด่าคนอื่น ก็เยอะ ที่จริงถ้าไม่ใส่ อคติว่า มาจากผู้จัดการเวลาพูดถึงผู้นำประเทศ มันก็คือ ธรรมะทั่ว ๆ ไป ใช่มั๊ย ถ้าเวลาเปลี่ยน หนังสือพิมพ์ที่ลงข้อความเหล่านั้นเปลี่ยน เป็น โลกวันนี้ หรือ สื่อเสื้อแดง ความหมายมันก็เปลี่ยนไปใช่ไหม ? พอท่าน ว. หรือ พระพยอม ถูกแต้มสีเข้าใส่แล้ว เวลาเทศน์ อะไรที่มันกลาง ๆ มันก็เหมือน โดนใส่สีไปด้วย ทั้ง ๆ ที่จริง ๆ ก็กลาง ๆ เอาไปประยุกต์ได้ตลอด แต่หลัง ๆ การเมืองทำ เสียพระ ก็เพราะ การหยิบ Quote มาใช้นี่แหละ ผิดที่ผิดเวลา ก็เป็นเรื่องแล้ว เรื่องพูดเมื่อปีที่แล้วกับเหตุการณ์นึง มาปีนี้ใช้กับอีกเหตุการณ์นึง ก็ทำเสียพระไปหมด ยิ่งคำนินทา ที่มาจากพวกที่คิดว่าตัวเอง อยู่ใกล้ แต่จริง ๆ แล้วไม่ได้ใกล้เคียงอะไรเลยนี่ยิ่งเลวร้ายไปใหญ่ (ฮา) เอาเป็นว่า ในความเห็นผม ท่านก็ ปฏิบัติดี ปฏิบัติชอบ ในทางพุทธศาสนา ไม่ได้มี เรื่องอะไรที่ไม่เหมาะกับ เพศบรรพชิต แต่จะไปโต้ตอบ กับคนไม่ชอบไหม ? ผมว่ามันก็ไม่ใช่เรื่องอะไรที่จะไปโต้ตอบนะ มันเป็นเรื่องของกรรม (เพราะฉะนั้นใครจะวิจารณ์ท่านอย่างไร ตามสบายคำพูดของท่าน ย่อมเป็นของท่านนะ) คือบางที ผมว่าบางคนก็อคติเกิ๊น ไปจินตนาการเอาเอง ว่าพระพุทธศาสนา ต้องเป็นอย่างนั้น อย่างนี้ ศีล 227 ข้อมีอะไรบ้าง แต่ละข้อมีความหมายยังไงบ้าง เข้าใจหรือเปล่า ก็ไม่รู้ พระพุทธเจ้าเอง ก่อนจะเสด็จดับขันฑ์ปรินิพพาน ท่านก็ว่า จะศีลหรือ พระไตรปิฏกก็เปลี่ยนได้ ทั้งนั้นแหละ เอาตามพอเหมาะ เอาให้ดับทุกข์ ถึงนิพพานได้ก็แล้วกัน แต่พอดีของไทย เราว่าตาม เถรวาท คือ คำสั่งสอนจากพระผู้ใหญ่ เถระ + วาทะ ให้ยึดถือตามที่ปฏิบัติกันมา (มีความเปลี่ยนแปลงน้อยมากแล้วสืบทอดมาได้ 2500 กว่าปีนีสุดยอดนะ) คือจะบอกว่า ตึงเกินไป ก็ไม่ใช่พุทธศาสนาหรอกนะครับ สายกลาง พอดี ๆ เนี่ยะแหละพุทธศาสนา หลัก ๆ คือ พอดีที่เรารู้ตัวมีสติ พวกตึง ๆ นี่ นิกายพระเทวทัต ที่พระพุทธเจ้าไม่อนุญาตนะ (คือผมว่าคำว่า พอดี สายกลางของแต่ละคนก็ไม่เหมือนกันอีกล่ะ) จากคุณ : MaJinSKi เขียนเมื่อ : 21 พ.ค. 55 17:55:29

ความคิดเห็นที่ 82 ไม่ชอบคำสอนของท่านครับ อ่านดูผ่านๆเหมือนจะสั่งสอนให้เป็นคนดีอยู่ในศีลในธรรม แต่ลองวิเคราะห์ดูสิ คำสอนที่สวยหรูแต่ละอย่างจะแฝงด้วย hidden agenda ไม่ว่าการเหยียดวิทยาศาสตร์ (อย่างมงายในวิทยาศาสตร์, วิทยาศาสตร์เกิดทีหลัง มันเป็นใคร?) การสร้างความชอบธรรมให้กับการปราบผู้ชุมนุม (ฆ่าเวลาบาปยิ่งกว่าการฆ่าคน) การดูถูกเสรีชนเรียกร้องมนุษยธรรม (คนทั่วไปเรียกร้องสิทธิมนุษยชน แต่ผู้อิ่มด้วยปัญญาเรียกร้องสิทธิที่จะไม่ทุกข์) อารมณ์ทางเพศกับผู้มีปัญญา? (ผู้มีปัญญาย่อมไม่ถูกกามอารมณ์แผดเผา) อีกเยอะครับจากทวิตเตอร์ของท่าน ในขณะที่ผู้ที่นับถือท่านเคยนำคำสอนท่านมาคิดวิเคราะห์มั้ย เหมือนท่านกำลังจำกัดนิยามของคำว่าคนมีปัญญาในแบบของท่านเอง อะไรที่ไม่ตรงกับแบบของท่านมักจะแฝงด้วยการดูถูกใน hidden agenda ตามที่กล่าวมา นี่ยังไม่พูดถึงความเชื่อที่แตกต่างของศาสนาอื่นๆอีกนะ ตรรกะของท่านก็ดูวิบัติในหลายเรื่อง สมควรที่จะศึกษาในด้านตรรกะศาสตร์ก่อนที่จะมาประดิษฐ์คำสอนสวยหรูให้คนสาธุๆๆกันโดยไม่คิดวิเคราะห์ สุดท้าย...เจริญพวงแคร่ะ จากคุณ : Oro ro_125 เขียนเมื่อ : 21 พ.ค. 55 17:59:07

ความคิดเห็นที่ 83 อืมสงสัยเราคงเป็นสาวกจานบินไปซะแล้วอ่ะ เหอๆ >,< เจริญพวง จากคุณ : เมเหม่เม่เม้เหม๋ เขียนเมื่อ : 21 พ.ค. 55 18:13:34

ความคิดเห็นที่ 84 พระ เซเลป ก็งี้แหละ จากคุณ : Devy in the nice เขียนเมื่อ : 21 พ.ค. 55 18:22:17

ความคิดเห็นที่ 85 ผมนับถือพุทธศาสนาที่คำสอน ส่วนนักบวช ก็แค่คนๆ หนึ่ง ยิ่งรู้สึกแบบนี้ชัดขึ้น หลังจากผ่านการบวชมาแล้ว สำหรับท่าน ว. ก็นะ จากคุณ : ศิลปินเปิดหมวก เขียนเมื่อ : 21 พ.ค. 55 18:24:08

ความคิดเห็นที่ 86 การสอนธรรมะต้องเขาถึงคนทุกหมู่เหล่าไม่ใช่จะมาเจาะจงสอนแต่คนมีสติปัญญาคนรวยคนมีอันจะกิน ใครอ่านแล้วไม่เข้าใจคำพูดสวยหรูของพระว. ก็หาว่าเขาโง่เขลา ตกลงจะเป็นผู้ส่งสารหรือจะตั้งตัวเป็นผู้รู้อยุ่เหนือคนอื่น จากคุณ : Desolation Angel เขียนเมื่อ : 21 พ.ค. 55 18:25:02

ความคิดเห็นที่ 87 ความเห็น 47 ขอรับ ขอแก้ไขที่มาของคำว่า เจริญพวง นิดนึงนะครับ มาจาก FB ของคนนี้ ขอรับ http://www.facebook.com/vorvinmor  แล้วเบื่อ ว. เอามาใช้ก็เลยดังน่ะครับ แก้ไขเมื่อ 21 พ.ค. 55 18:48:04 จากคุณ : จักราชแห่งมรกตนคร เขียนเมื่อ : 21 พ.ค. 55 18:36:19

ความคิดเห็นที่ 88 ผมไม่ใช่เสื้อแดง ไม่ใช่สาวกจานบิน แต่ผมไม่ชอบพระที่ดูพยายามจนเกินไปอะครับ - -" จากคุณ : ฉันชอบกินปูหลนที่พ่อฉันทำ เขียนเมื่อ : 21 พ.ค. 55 18:42:21

ความคิดเห็นที่ 89 โลกจริงๆ ไม่ได้สวยเหมือนธรรมะของท่านว.เลยไม่ค่อยเลื่อมใสเท่าใดนัก แล้วยิ่งมาเจอคนที่เหยียดหยามพวกที่ไม่ชอบท่านว.ว่าโง่บ้าง ปัญญาไม่ถึงบ้าง สาวกจานบินบ้าง เสื้อแดงบ้าง ยิ่งไม่ชอบใหญ่เลยครับ ส่วนตัวไม่เคยกดไลค์เพจแอนตี้ท่านว. เพราะเห็นว่าต่อให้เราไม่ชอบแต่ไม่ควรล้อเลียนขนาดนั้น แต่วันนี้เห็นทีจะต้องลองกดไลค์ดูซักเพจ สองเพจแล้วครับ จากคุณ : ต้อมติ้ว เขียนเมื่อ : 21 พ.ค. 55 18:46:03

ความคิดเห็นที่ 90 อีกอย่างผมว่าพวกที่ไม่ชอบท่านวอเป็นพวกมองโลกด้วยความเป็นจริง การสอนให้มองโลกที่สวยงามไม่ทำให้อยู่รอดในสังคมได้ครับ จากคุณ : ต้อมติ้ว เขียนเมื่อ : 21 พ.ค. 55 18:47:17

ความคิดเห็นที่ 91 ผมว่า อะไรดี เราก็เก็บไว้ครับ และนำมาใช้ ไม่ได้มี่ใครเพอเฟค คำสอนท่านเราก็รับที่เราอยากรับ อันไหนคิดว่าท่านสอนผิดเราก็ไม่รับ ไม่ว่ามันจะเป็นการกอปใครมา ผมว่ามันเป็นการเผยแพร่มากกว่า บางอย่างในสิ่งที่คุณไม่รู้ เก็บความไม่ชอบไว้มันก็ความทุกข์ใจของเรา สู้เราเก็บสิ่งดีๆมาพัฒนาตนเองไม่ดีกว่าหรอครับ จากคุณ : ฟังแล้วคิดอ่านแล้วคิด เขียนเมื่อ : 21 พ.ค. 55 19:04:11 A:183.89.8.247 X: TicketID:360265

ความคิดเห็นที่ 92 เรื่องเหาะเหินนี่ มีในคำภีร์จริงครับ ลองไปหาอ่านเรื่อง พระปิณโฑลภารทวาชะ ดู อยู่ใน พระไตรปิฎก เล่มที่ ๗  พระวินัยปิฎก เล่มที่ ๗ จุลวรรค ภาค ๒ แต่เชื่อคำภีร์ไปหมด ก็เสียคนได้เหมือนกันนะ ท่าถึงได้สอนให้ใช้กาลามสูตรไง ผมเคยชอบหลวงพี่เหมือนกันนะ แต่หลังๆนี่ ไม่ไหวแล้ว จากคุณ : เป็ดสวรรค์ เขียนเมื่อ : 21 พ.ค. 55 19:05:26

ความคิดเห็นที่ 93 ท่านเป็นพระที่ดีสอนดีและทันสมัยครับใครว่าร้ายก็รับบาปไป จากคุณ : โชติช่วงชัชวาล เขียนเมื่อ : 21 พ.ค. 55 19:05:37

ความคิดเห็นที่ 94 รัฐธรรมนูญไม่ได้ห้ามวิจารณ์พระ จากคุณ : Nongkhai_tong (Nongkhai_tong) เขียนเมื่อ : 21 พ.ค. 55 19:05:43

ความคิดเห็นที่ 95 มันอยู่ที่คำสอน ไม่ใช่คนสอน สอนดีมีเหตุผลคนก็ชื่นชม สอนอะไรบิดๆเบี้ยวๆ คนที่เค้าใช้หลักเหตุผลเค้าก็ค้านก็ติ ตำหนิก็เท่านั้น คนติเค้าก็เลือกติเฉพาะ คำสอน หรือการปฎิบัติตนที่ไม่เข้าท่า หรืออะไรแบบที่ว่าปากว่าตาขยิบแค่นั้น ส่วนอะไรที่ดีๆอยู่แล้วผมก็ไม่เห็นมีใครว่า พระที่เค้าสอนดีมีหลักการ มีเหตุผลก็ไม่เห็นมีใครไปว่าอะไร พระที่เค้าไม่หากินกับศาสนา กับศรัทธา เค้าก็ไม่มีใครไปต้านไปค้าน จากคุณ : Mr.Kim Henry เขียนเมื่อ : 21 พ.ค. 55 19:07:32

ความคิดเห็นที่ 96 พุทธาปทานก็ฉันนั้นเหมือนกัน ครั้นให้สำเร็จได้ด้วยอปทานที่เป็นฝ่ายกุศลแล้ว เพื่อที่จะให้พุทธาปทานนั้นนั่นแลพิสดารออกไป ด้วยอำนาจอปทานที่เป็น ฝ่ายอกุศลบ้าง จึงตั้งหัวข้อปัญหาไว้ดังนี้ว่า การทำทุกรกิริยา ๑ การกล่าวโทษ ๑ การด่าว่า ๑ การกล่าวหา ๑ การถูกศิลากระทบ ๑ การเสวยเวทนาจากสะเก็ดหิน ๑ การปล่อยช้างนาฬาคิรี ๑ การถูกผ่าตัดด้วยศาสตรา ๑ การปวดศีรษะ ๑ การกินข้าวแดง ๑ ความเจ็บปวดสาหัสที่กลางหลัง ๑ การลงโลหิต ๑ เหล่านี้เป็นเหตุฝ่ายอกุศล. บรรดาข้อปัญหาเหล่านั้น ในปัญหาข้อที่ ๓ มีวินิจฉัยดังต่อไปนี้. การกล่าวยิ่ง คือ การด่า ชื่อว่า อัพภักขานะ. ได้ยินว่า ในอดีต กาล พระโพธิสัตว์เกิดในกำเนิดที่ไม่ปรากฏชื่อเสียง เป็นนักเลงชื่อว่า มุนาฬิ เพราะกำลังแรงที่คลุกคลีกับคนชั่ว จึงได้ด่าพระปัจเจกพุทธเจ้า นามว่า สุรภิ ว่า ภิกษุนี้ทุศีล มีธรรมอันลามก. เพราะวจีกรรมอันเป็น อกุศลนั้น พระโพธิสัตว์นั้นไหม้อยู่ในนรกหลายพันปี ในอัตภาพครั้ง สุดท้ายนี้ เกิดเป็นพระพุทธเจ้า ด้วยกำลังแห่งความสำเร็จบารมี ๑๐ ได้ เป็นผู้ถึงลาภอันเลิศและยศอันเลิศ. พวกเดียรถีย์กลับเกิดความอุตสาหะขึ้น อีก คิดกันว่า พวกเราจักยังโทษมิใช่ยศ ให้เกิดแก่พระสมณโคดมได้ อย่างไรหนอ พากันนั่งเป็นทุกข์เสียใจ. ครั้งนั้น ปริพาชิกาผู้หนึ่งชื่อว่า สุนทรี เข้าไปหาเดียรถีย์เหล่านั้น ไหว้แล้วยืนอยู่ เห็นเดียรถีย์ทั้งหลายพากันนิ่งไม่พูดอะไร จึงถามว่า ดิฉัน มีโทษอะไรหรือ ? พวกเดียรถีย์กล่าวว่า พวกเราถูกพระสมณโคดม เบียดเบียนอยู่ ท่านกลับมีความขวนขวายน้อยอยู่ ข้อนี้เป็นโทษของท่าน นางสุนทรีกล่าวว่า เมื่อเป็นอย่างนั้น ดิฉันจักกระทำอย่างไรในข้อนั้น เดียรถีย์ทั้งหลายกล่าวว่า ท่านจักอาจหรือที่จะทำโทษมิใช่คุณให้เกิดขึ้น แก่พระสมณโคดม. นางสุนทรีกล่าวว่า จักอาจซิ พระผู้เป็นเจ้า ครั้น กล่าวแล้ว จำเดิมแต่นั้นมา ก็กล่าวแก่พวกคนที่ได้พบเห็นว่า ตนนอน (พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย อปทาน เล่ม ๘ ภาค ๑ - หน้าที่ 223) ในพระคันธกุฎีเดียวกันกับพระสมณโคดมแล้วจึงออกมา ดังนี้ โดยนัย ดังกล่าวมาแล้วด่าบริภาษอยู่ ฝ่ายพวกเดียรถีย์ก็ด่าบริภาษอยู่ว่า ผู้เจริญ ทั้งหลาย จงเห็นกรรมของพระสมณโคดม. สมจริงดังที่พระผู้มีพระภาค- เจ้าตรัสว่า ในชาติอื่นๆ ในครั้งก่อน เราเป็นนักเลงชื่อว่ามุนาฬิ ได้ กล่าวตู่พระสุรภิปัจเจกพุทธเจ้าผู้ไม่ประทุษร้าย. เพราะวิบากของกรรมนั้น เราจงท่องเที่ยวไปในนรกสิ้น กาลนาน เสวยทุกขเวทนาหลายพันปี. ด้วยเศษกรรมที่เหลือนั้น ในภพสุดท้ายนี้ เราจึงได้รับ การกล่าวตู่ เพราะเหตุแห่งนางสุนทรี. ในปัญหาข้อที่ ๔ มีวินิจฉัยดังต่อไปนี้. การด่า การบริภาษโดยยิ่ง คือโดยพิเศษ ชื่อว่า อัพภักขานะ. ได้ยินว่า ในอดีตกาล พระโพธิสัตว์เกิดในตระกูลพราหมณ์ เป็นผู้ศึกษา เล่าเรียนมาก คนเป็นอันมากสักการบูชา ได้บวชเป็นดาบส มีรากเหง้า และผลไม้ในป่าเป็นอาหาร สอนมนต์พวกมาณพจำนวนมาก สำเร็จการ อยู่ในป่าหิมพานต์. ดาบสรูปหนึ่งได้อภิญญา ๕ และสมาบัติ ๘ ได้มา ยังสำนักของพระโพธิสัตว์นั้น. พระโพธิสัตว์นั้นพอเห็นพระดาบสนั้น เท่านั้น ถูกความริษยาครอบงำ ได้คำว่าพระฤาษีผู้ไม่ประทุษร้ายนั้นว่า ฤาษีนี้หลอกลวง บริโภคกาม และบอกกะพวกศิษย์ของตนว่า ฤาษีนี้ เป็นผู้ไม่มีอาจาระเห็นปานนี้. ฝ่ายศิษย์เหล่านั้นก็พากันด่า บริภาษอย่าง นั้นเหมือนกัน . ด้วยวิบากของอกุศลกรรมนั้น พระโพธิสัตว์นั้นจึงได้ เสวยทุกข์ในนรกอยู่พันปี ในอัตภาพหลังสุดนี้ ได้เป็นพระพุทธเจ้า ถึง (พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย อปทาน เล่ม ๘ ภาค ๑ - หน้าที่ 224) จากคุณ : โชติช่วงชัชวาล เขียนเมื่อ : 21 พ.ค. 55 19:14:13

ความคิดเห็นที่ 97 ไปไหนก็เจอนะครับไป้คนประเภทที่ว่าอะไรสอนไม่ดีก็ปล่อยผ่านไปทำไม่รู้ไม่ชี้ แบบนี้ล่ะครับมันถึงเจริญขึ้นๆประเทศไทย เพราะคนแบบนี้มันยังมีอยู่ในสังคมไทย เคร่งครัดในพุทธ แต่อะไรไม่ดีบอกปล่อยไป อันนี้คงเป็นศรัทธาแบบไม่ลืมหู ลืมตา ส่วนเรื่องในคัมภีร์ จะเอาไรกับมันครับ ใช่ว่าจะไม่เคยสังคายนา ชำระมันซักครั้งเสียเมื่อไร เมื่อพุทธกาลผ่านมา2500 ปีหากคำสอนใดพิสูจน์ได้ว่าไม่จริงก็เห็นสมควรต้องเปลี่ยนไปตามยุคสมัย และความเป็นจริงของสังคม ไม่ต้องห่วงหรอกครับ ยังมีเวลาอีกกว่า 2500ปีที่ศาสนาพุทธจะยังคงดำรงอยู่ จากคุณ : Mr.Kim Henry เขียนเมื่อ : 21 พ.ค. 55 19:19:11

ความคิดเห็นที่ 98 พุทธเซเลบ!?!? จากคุณ : ปลาเก๋าพเนจร เขียนเมื่อ : 21 พ.ค. 55 19:26:02

ความคิดเห็นที่ 99 บางทีรู้สึกพระว.สอนมั่ว คำสวยเท่านั้น ไม่ได้ดูโลกความจริง อคติ แต่ส่วนใหญ่หมั่นไส้สาวกพระว. ที่สาธุ แต่ไม่เข้าใจ กดไลค์ แต่ไม่ปฏิบัติตาม ทำตัวน่าเกลียดยิ่งกว่าคนไม่นับถือพระว.ซะอีก พระว.พูดอะไรก็เชื่อ ไม่ใช้กาลามสูตร จากคุณ : กวางดาวรักสันโดษ เขียนเมื่อ : 21 พ.ค. 55 19:31:21

ความคิดเห็นที่ 100 แก้ไขเมื่อ 22 พ.ค. 55 23:14:06 แก้ไขเมื่อ 22 พ.ค. 55 21:21:24 แก้ไขเมื่อ 21 พ.ค. 55 19:42:20 จากคุณ : TheK1Ninja เขียนเมื่อ : 21 พ.ค. 55 19:35:45

ความคิดเห็นที่ 101 เข้าถึงทุกชนชั้น จากคุณ : อยากจีบลูกสาวเจ้าของร้านขายปืน เขียนเมื่อ : 21 พ.ค. 55 19:56:19

ความคิดเห็นที่ 102 พระเจ้าก็ไม่ละเว้น ระวัง นรกแดกกระบาล จากคุณ : นางมารปากร้าย (หมาน้อย 4 ตัว) เขียนเมื่อ : 21 พ.ค. 55 19:56:21

ความคิดเห็นที่ 103 ก่อนที่จะเชื่อว่าคนบินได้จริงหรือเปล่า ขอถามคนไม่เชื่อก่อนว่า..แล้วท่านเชื่อเรื่อง ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว เรื่องทำชั่วตกนรก ทำดีขึ้นสวรรค์รึป่าว แล้วเชื่อเรื่อง มีนรกกับสวรรค์จริงรึป่าว ของพวกนี้วิทยาศาสตร์ ก็พิสุจน์ยังไม่ได้เหมือนกันนิ ตกลงว่าไง ถ้าบอกว่าไม่เชื่อ ก็สมเหตุสมผลที่จะไม่เชื่อเรื่องคนบินได้ แต่ถาบอกว่าเชื่อ แล้วเอาเหตุผลอะไรมาอธิบาย ระหว่างเรื่อง คนบินได้กับเรื่องมี นรก-สวรรค์ ผมว่าคนบินได้ ในความหมายที่กล่าว คงหมายถึง การนั่ง วิปัสสนา กรรมฐาน จนถึงขั้นถอดจิต ไปไหนต่อไหนได้อะไรทำนองนี้ คงไม่ใช่เหาะร่อนไปมาอวดผู้คน แบบ ไอรอนแมน หรอกครับ ผมเคยอ่านเจอ ในลิงค์นึงขอก๊อปข้อความมาลงนะครับ" เคยมีคนบอกว่าในหลวงท่านถอดจิตได้ ถ้าหากไม่ติดพระราชกรณียะกิจใดๆ ในหลวงท่านจะนั่งสมาธิตั้งแต่ 6 ทุ่มถึง 6 โมงเช้าทุกวัน  ฟังทีแรกยังไม่อยากเชื่อเลย  แต่ได้อ่านหนังสือของหลวงพ่อฤๅษีลิงดำที่ได้พูดถึงในหลวงว่า  ท่านมีสมาธิดีมาก  ท่านเป็นลูกศิษย์หลวงพ่อฤๅษีลิงดำ  ตามธรรมดาหลวงพ่อพระราชพรหมยาน ( หลวงพ่อฤๅษีลิงดำ ) แห่งวัดท่าซุงจะอัดเทปถวายในหลวง  เพื่อนำไปเปิดขณะปฏิบัติธรรม  เท่าที่ทราบมาท่านเอาเทปของหลวงพ่อฤๅษีลิงดำที่อัดถวายแขวนคอแล้วเดินจงกรมที่พระราชวังไกลกังวล หัวหิน  บางครั้งท่านก็นั่งสมาธิโดยจับเสียงคลื่นเป็นอารมณ์กรรมฐานในหลวงท่านทรงแนะนำให้บุคคลใกล้ชิดได้ปฏิบัติธรรมด้วย เช่น พระราชวงศ์ องคมนตรี องครักษ์ หรือแม้แต่บุคคลที่ใกล้ชิดท่าน มีหลายพระองค์บอกว่าในหลวงเป็นผู้ทรงฌานคนหนึ่ง  เวลาท่านไปไหนพระเถระชั้นผู้ใหญ่หลายองค์ขยับแล้วขยับอีก  แต่ในหลวงท่านเพียงแค่กระพริบตาอย่างเดียว นั่งนิ่งไม่ขยับเขยื้อนเลยได้เป็นชั่วโมงๆ  พลตำรวจเอกที่เคยเป็นองครักษ์ของท่านคนหนึ่งก็เคยพูดว่า  ในหลวงท่านเคยเล่าให้ฟังว่า ท่านเคยนั่งสมาธิเห็นร่างของท่านเป็นเนื้อแดงๆ ลอกออกจนเห็นกระดูกสีขาวๆ มีผู้ปฏิบัติธรรมท่านหนึ่งเล่าให้ฟังว่า  ในหลวงท่านเคยถอดจิต ( จะเรียกว่าถอดจิตก็ไม่ถูกเสียทีเดียว  เพราะโอเลี้ยงหายไปครึ่งแก้ว ) มหาท่านหนึ่งที่มีบารมีมากสามารถต่อรองกับพระยายมเพื่อนำคนที่ตกนรกแล้วขึ้นมาได้  ในหลวงท่านถอดจิตมาหาก็เพราะต้องการให้ช่วยอดีตนายกรัฐมนตรีท่านหนึ่งที่เป็นเชื้อพระวงศ์ขึ้นจากนรก  แต่ท่านนี้ไม่ยอมช่วยเพราะเหตุไม่ถูกกับอดีตนายกฯ คนนี้ แต่ที่น่าแปลกก็คือ  ถ้าในหลวงท่านถอดจิตมา ( มาแค่จิตอย่างเดียว  ร่างกายไม่ได้มาด้วย ) โอเลี้ยงคงไม่หายไปครึ่งถ้วยหรอกครับ  เพราะเจ้าของบ้านให้คนไปซื้อมาถวายในหลวง  แต่ที่นี่หายไปครึ่งแล้ว  แสดงว่าในหลวงท่านหายตัวได้ครับ!  ในหลวงท่านฝึกสมาธิจนถึงขั้นอภิญญา  ซึ่งลูกศิษย์สายหลวงพ่อฤๅษีลิงดำมีหลายคนทำได้ไม่ใช่เรื่องแปลกประหลาดอะไร  เพียงแต่ว่าเขาไม่ค่อยแสดงฤทธิ์เท่านั้นเอง แต่ถ้าท่านรู้มากกว่านี้ ก็คือ ในหลวงท่านเป็นพระโพธิสัตว์ใหญ่ ( พระโพธิสัตว์ คือ บุคคลที่ปรารถนาจะเป็นพระพุทธเจ้าในอนาคต )  และท่านก็มีบารมีมากพอที่จะเป็นพระพุทธเจ้าในอนาคตแน่ๆ แล้ว ( ต่อจากหลวงปู่ ท.....  และสมเด็จ ต..... )  ดังนั้นจึงไม่ใช่เรื่องแปลกอะไรเลยที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวจะหายตัวได้ พระสมาธิของพระเจ้าอยู่หัว โดย พล.ต.อ.วิสิษฐ์  เดชกุญชร  คัดลอกจาก  http:www.ybat.org “ ด้วยพระเมตตาแห่งองค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพล อดุลยเดช ที่ทรงสละความสุขส่วนพระองค์เพื่อพสกนิกรชาวไทย  พระองค์ประดุจพระผู้สร้างแผ่นดิน  ทรงเป็นดั่งผู้มองชีวิต มอบความรุ่งเรือง มอบความเจริญงอกงามภายในหัวใจคนไทยทั้งแผ่นดิน “ หากเราได้มีโอกาสศึกษาพระบรมราโชวาทแห่งองค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช  เราจะเข้าใจได้อย่างแจ่มชัดด้วยคำสอนที่พระองค์ทรงพระราชทานให้แต่ละข้อ แต่ละอย่างนั้น  ล้วนเกิดขึ้นจากการที่พระองค์ทรงไตร่ตรองพิเคราะห์ถึงปัญหานั้นอย่างถ่องแท้แล้วว่าจะเป็นหนทางแห่งการแก้ปัญหา  การดับทุกข์ได้ด้วยสมาธิ  ธรรมดาสภาวะจิตอันเป็นสมาธินั้นเกิดขึ้นได้อย่างไร  เกิดขึ้นจากการบังคับควบคุม  เกิดขึ้นจากนความผ่อนคลาย  หรือเกิดขึ้นจากสภาวะคับขันต่อการแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นตรงหน้า  จะทำต้องให้เร่งรวบรวมสติให้มั่น ไม่ว่าสมาธิจะเกิดขึ้นอย่างไร  สมาธิเป็นของดี  เป็นของที่เกิดขึ้นได้จากการฝึกฝน  เป็นของที่มีอยู่ในกายและในจิตอันพร้อม  เป็นของเข้าใจได้  เป็นของเข้าใจง่าย  และใช้ได้กับทุกคน ทุกเพศ ทุกวัย และความเข้าใจอันแจ่มชัดที่แสดงให้เห็นว่าสมาธิเองก็มิใช่ของที่เกิดขึ้นโดยลำพังหรือใช้โดยลำพัง  แต่สมาธิที่ดีจะยังประโยชน์แก่ผู้อื่นได้มากหากผู้ใช้สมาธิรู้จักการปฏิบัติที่ถูกต้อง  ถูกต้องทั้งแก่ตนเอง  ทั้งแก่ผู้อื่น  ดังที่ได้ศึกษาจากรอยพระจริยาวัตรแห่งองค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพล อดุลยเดช  อันได้แสดงไว้ถึงเรื่องราวของ “ พระสมาธิ “ ผู้ที่เคยเฝ้าทูลละอองธุลีพระบาทในงานหรือพิธีที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงประทับอยู่เป็นเวลานานๆ เช่น  ในพิธีพระราชทานปริญญาบัตรคงจะได้เห็นด้วยความพิศวงทุกคนด้วยกันว่า  พระเจ้าอยู่หัวนั้นเมื่อทรงประทับนั่งลงแล้ว  จะประทับอยู่ในพระอิริยาบถนั้น  ตั้งแต่เริ่มพิธีไปจนกระทั่งจบ  ไม่ทรงเปลี่ยนพระอิริยาบถเลย นอกจากนั้นยังทรงปฏิบัติพระราชกรณียะกิจอย่างกระฉับกระเฉงต่อเนื่อง  ไม่มีอาการที่แสดงว่าทรงเหนื่อยหรือทรงเบื่อเลย  ผมเคยเฝ้าทูลละอองธุลีพระบาทในพิธีพระราชทานปริญญาบัตรที่มหาวิทยาลัยแห่งหนึ่งในกรุงเทพมหานคร  พิธีนั้นยาวประมาณ 4 ชั่วโมง และมีบัณฑิตผู้สำเร็จการศึกษาเฝ้าฯรับพระราชทานปริญญาบัตรเป็นจำนวนหลายพันคนได้เห็นเหตุการณ์เช่นนั้น  แต่ผมได้เห็นมากกว่านั้นคือ  เมื่อเสด็จพระราชดำเนินกลับไปถึงพระตำหนักจิตรลดารโหฐานในตอนค่ำวันนั้น  พระเจ้าอยู่หัวยังทรงออกพระกำลังบริหารพระวรกายด้วยการวิ่งในศาลาดุสิตาลัยอีก ในการประกอบพระราชกรณียะกิจอื่นๆ ก็เช่นกัน  พระเจ้าอยู่หัวทรงปฏิบัติด้วยพระอาการที่แสดงว่าเอาพระทัยจดจ่ออยู่กับพระราชกรณียะกิจนั้นๆ อย่างต่อเนื่อง  ไม่ทรงเหนื่อยหรือเบื่อหน่าย เช่น ในการทรงดนตรีที่ใครๆ มักจะนึกว่าเป็นการหย่อนพระราชหฤทัย เป็นต้น  ผมเคยเห็นพระเจ้าอยู่หัวประทับทรงดนตรีตั้งแต่หัวค่ำจนสว่าง  โดยทรงนั่งไม่ลุกเลยแม้แต่จะเพื่อเสด็จฯไปสรง  ในขณะที่นักดนตรีอื่นๆ ลงกราบแล้วถอยหลังลุกไปเข้าห้องน้ำกันเป็นครั้งคราวทุกคน ในการทรงเรือใบก็เช่นกัน  ทรงจดจ่ออยู่กับการบังคับเรืออย่างต่อเนื่อง  ตั้งแต่เริ่มต้นจนกระทั่งจบ  ครั้งหนึ่งเคยเสด็จออกจากฝั่งไปได้ไม่นานก็ทรงแล่นเรือใบเข้าฝั่ง  ตรัสกับผู้มาเฝ้าฯอยู่ด้วยความฉงนว่า  เพราะเรือใบพระที่นั่งแล่นไปโดนทุ่นเข้า  ซึ่งในกติกาแข่งเรือใบถือว่าฟาวล์  ทั้งๆ ที่ไม่มีใครเห็น  แสดงว่าการทรงดนตรีก็ดี ทรงเรือใบก็ดี สำหรับพระเจ้าอยู่หัวเป็นงานอีกชนิดหนึ่งที่จะต้องทำด้วยความจดจ่อและต่อเนื่องไปจนเสร็จเหมือนกัน  พระราชกรณียะกิจอื่นๆ นั้น ทั้งน้อยและใหญ่ทรงปฏิบัติแบบเดียวกัน คือ ด้วยการเอาพระราชหฤทัยจดจ่อไม่ทรงยอมให้ขาดจังหวะจนกว่าจะเสร็จและไม่ทิ้งขว้าง แบบทำๆ หยุดๆ  เพราะฉะนั้นจึงจะเห็นว่าพระราชกรณียะกิจทั้งหลายนั้นสำเร็จลุล่วงไปเป็นส่วนใหญ่  ผมไปรู้เอาหลังจากการเข้ารับราชการในตำแหน่งนายตำรวจราชสำนักประจำอยู่ไม่นานนักว่า  ที่ทรงสามารถจดจ่ออยู่กับพระราชกรณียะกิจได้เช่นนั้นก็เพราะพระสมาธิ ผมไม่ทราบว่าพระเจ้าอยู่หัวทรงดำริฝึกสมาธิตั้งแต่เมื่อใด  แต่สันนิษฐานว่าคงจะเริ่มในเดือนตุลาคม พ.ศ.2499     เมื่อทรงผนวชที่วัดพระศรีรัตนศาสดาราม ( วัดพระแก้ว )     หลังจากทรงผนวชแล้วประทับจำพรรษาอยู่ที่พระตำหนักปั้นหยา วัดบวรนิเวศวิหาร   ทรงอยู่ในสมณะเพศเป็นเวลา 15 วัน  ครั้งนั้นสมเด็จพระสังฆราชเจ้ากรมหลวงวชิรญาณวงศ์ซึ่งทรงเป็นพระอุปัชฌาจารย์  ทรงเลือกสมเด็จพระญาณสังวรสมเด็จพระสังฆราชสกลมหาสังฆปรินายก ( เมื่อครั้งยังเป็นพระโสภณคณาภรณ์ ) ให้เป็นพระอภิบาล ( พระพี่เลี้ยง ) ของพระเจ้าอยู่หัว  เป็นที่ทราบกันดีว่าแม้จะทรงมีเวลาน้อย  แต่พระเจ้าอยู่หัวก็ทรงศึกษาและปฏิบัติตามพระธรรมวินัยอย่างเคร่งครัด  และคงจะได้ทรงฝึกเจริญพระกรรมฐานในโอกาสนั้นด้วย เมื่อผมเข้าเป็นตำรวจพระราชสำนักประจำปี พ.ศ.2513 นั้น  ปรากฏว่าการศึกษาและปฏิบัติสมาธิหรือกรรมฐานในราชสำนักกำลังดำเนินอยู่แล้ว  พระเจ้าอยู่หัวทรงปฏิบัติเป็นประจำ  และข้าราชบริพารหลายคนทั้งฝ่ายพลเรือนและฝ่ายทหารก็กำลังเจริญรอยตามพระยุคลบาทอยู่  ด้วยการฝึกสมาธิอย่างขะมักเขม้น  ผมไม่ได้ตั้งใจจะฝึกสมาธิแม้ว่าจะเคยศึกษามาก่อน  โดยเฉพาะจากหนังสือของอาจารย์พุทธทาสภิกขุ แต่ระหว่างตามเสด็จโดยรถไฟจากกรุงเทพมหานครไปอำเภอทุ่งสง จังหวัดนครศรีธรรมราชเมื่อ พ.ศ.2515 เป็นการเดินทางไกลกว่าที่ผมคิด  หนังสือเล่มเดียวที่เตรียมไปอ่านฆ่าเวลาบนรถไฟก็อ่านจบเล่มเสียตั้งแต่กลางทาง  ขณะนั้นผมเห็นนายทหารราชองครักษ์ประจำที่ถวายหน้าที่รักษาความปลอดภัยร่วมกันสองนาย  ใช้เวลาว่างนั่งหลับตาทำสมาธิ  จึงลองทำดูบ้าง  โดยใช้อานาปานสติ ( กำหนดรู้แต่เพียงว่ากำลังหายใจเข้าและหายใจออก )     อันเป็นวิธีที่พระพุทธเจ้าทรงใช้ และท่านพุทธทาสแนะนำ  ปรากฏว่าจิตสงบเร็วกว่าที่ผมคาด  และเห็นนิมิตเป็นภาพสีสวยๆ งามๆ มากมาย และเป็นเวลาค่อนข้างนานด้วย  ตั้งแต่นั้นมาผมก็ติดสมาธิและเป็นอีกผู้หนึ่งที่ปฏิบัติสมาธิมาเป็นประจำจนถึงทุกวันนี้ เมื่อความทราบถึงพระกรรณว่าผมเริ่มปฏิบัติสมาธิ  พระเจ้าอยู่หัวก็ทรงพระกรุณาพระราชทานพระราชดำรัสแนะนำด้วยพระองค์เอง  ผมจึงได้รู้ว่าพระสมาธิของพระเจ้าอยู่หัวนั้นก้าวหน้าไปแล้วเป็นอันมาก  รับสั่งเล่าเองว่า  แม้จะใช้อานาปานสติเป็นอุบายในการทำสมาธิ  แต่พระเจ้าอยู่หัวก็ทรงไม่สามารถที่จะกำหนดพระอาสาสะ ( ลมหายใจเข้า ) และพระปัสสาสะ ( ลมหายใจออก ) ได้แต่ลำพังต้องทรงนับกำกับ  วิธีนับของพระเจ้าอยู่หัวนั้นทรงทำดังนี้  หายใจเข้าครั้งที่หนึ่งนับหนึ่ง  หายใจเข้าครั้งที่สองนับสอง  หายใจเข้าครั้งที่สามนับสาม  หายใจเข้าครั้งที่สี่นับสี่  หายใจเข้าครั้งที่ห้านับห้า  เมื่อถึงห้าแล้วหากจิตยังไม่สงบก็นับถอยหลังจากห้าลงมาหาหนึ่ง  แล้วนับจากหนึ่งขึ้นไปหาห้าใหม่  กลับไปกลับมาเช่นนั้น  จนกว่าจิตจะสงบ  รับสั่งว่าที่เห็นพระองค์ประทับอยู่นิ่งๆ นั้น  พระจิตทรงอยู่กับ “ หนึ่งเข้า หนึ่งออก “ ตลอดเวลา พระเจ้าอยู่หัวทรงศึกษาเรื่องสมาธิด้วยการรวบรวมและประมวลคำสอนของครูบาอาจารย์ทุกท่าน  แล้วก็ทรงพระราชทานประมวลคำสอนนั้นแก่ผู้ที่ทรงทราบว่ากำลังปฏิบัติสมาธิอยู่  ครั้งหนึ่งทรงพระกรุณาพระราชทานแถบบันทึกเสียงของสมเด็จพระญาณสังวรฯให้ผม  รับสั่งว่าเป็นเทปบันทึกการแสดงธรรมเรื่องฉักกสูตร ( คือพระสูตรว่าด้วยธรรมหมวด 6 รวม 6 ข้อ  ซึ่งอธิบายความไม่เที่ยง  ความเป็นทุกข์  และความไม่มีตัวมีตนของสิ่งต่างๆ มีอายตนะภายนอก  อายตนะภายใน วิญญาณ  ผัสสะ  เวทนา  และตัณหา  พระสูตรนี้เหมาะสำหรับผู้ที่ศึกษาและปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐาน )  และทรงแนะนำให้ผมฟังธรรมบทนั้น  ผมรับพระราชทานแถบ บันทึกเสียงม้วนนั้นมาแล้วก็เอาไปใส่เครื่องบันทึกเสียงแล้วเปิดฟัง  ฟังไปได้ไม่ทันหมดม้วนก็ปิดแล้วก็เก็บเอาไว้ไม่ได้ฟังอีก หลังจากนั้นไม่นานนักได้เฝ้าทูลละอองธุลีพระบาท  พระเจ้าอยู่หัวมีพระราชทานกระแสรับสั่งถามว่า  ฟังเทปของสมเด็จฯแล้วหรือยัง เป็นอย่างไร  ผมไม่อาจจะกราบบังคมทูลความอันเป็นเท็จได้  ต้องกราบบังคมทูลตามตรงว่า  ฟังได้ไม่ทันจบม้วนก็ได้หยุดฟังเสียง  แล้วตรัสถามต่อไปถึงเหตุผลที่ผมไม่ได้ฟังให้จบ  และผมก็จำเป็นต้องกราบทูลตรงๆ ว่า  สมเด็จฯเทศน์ฟังไม่สนุก พูดขาดเป็นวรรคเป็นห้วงๆ  เนื่องจากสมเด็จฯพิถีพิถันในการใช้ถ้อยคำ  และประโยคเทศน์ของท่านนั้นถ้าเอามาพิมพ์ก็จะอ่านได้สบายกว่าฟัง  พระเจ้าอยู่หัวตรัสถามว่า ที่ฟังสมเด็จฯเทศน์ไม่รู้เรื่องนั้นก็เพราะคิดไปก่อนใช่หรือไม่ ว่าสมเด็จฯท่านพูดว่าอย่างนั้นอย่างนี้  ครั้นท่านพูดช้ากว่าที่คิด  หรือพูดออกมาแล้วไม่ตรงกับที่คาดหมายจึงเบื่อ  เมื่อผมนิ่งไม่กราบบังคมทูลตอบ  ทรงแนะนำว่าให้กลับไปทำใหม่  คราวนี้อย่าคิดไปก่อน  ว่าสมเด็จฯจะพูดอย่างไร  สมเด็จฯหยุดก็ให้หยุดด้วย  ผมกลับมาทำตามพระราชกระแสรับสั่ง  เปิดเครื่องบันทึกเสียงฟังเทศน์ของสมเด็จฯจากเครื่องบันทึกเสียงม้วนนั้นใหม่ตั้งแต่ต้นฟังด้วยสมาธิ  สมเด็จฯหยุดตรงไหนผมก็หยุดตรงนั้น  และไม่คิดไปก่อนว่าสมเด็จฯจะพูดอย่างไร  คราวนี้ผมฟังได้จนจบและเห็นว่าจริงดังพระราชดำรัส  เทปบันทึกเสียงม้วนนั้นเป็นม้วนที่ดีที่สุดม้วนหนึ่ง ครั้งหนึ่งหลังจากที่นั่งสมาธิแล้ว  ผมได้มีโอกาสเฝ้าทูลละอองธุลีพระบาทและกราบบังคมทูลประสบการณ์ที่ได้จากการนั่งสมาธิ  ผมกราบบังคมทูลว่า  ขณะที่นั่งสมาธิครั้งนั้นรู้สึกว่าตัวเองลอยขึ้นจากพื้นสูงประมาณศอกหนึ่ง  ทีแรกก็ไม่รู้สึกอะไร  แต่ครั้นหัวเริ่มคล้อยลงไปข้างหน้าทำท่าทางเหมือนจะตีลังกา ผมก็ตกใจและต้องเลิกสมาธิ  พระเจ้าอยู่หัวทรงวิจารณ์ว่า ถ้าหากสติยังอยู่ยังรู้ตัวว่ากำลังเกิดอะไรขึ้น ก็ไม่ควรเลิก  แต่ควรจะปล่อยให้เป็นไปตามสภาพนั้นอีก ครั้งหนึ่งหลังจากทำสมาธิแล้วผมกราบบังคมทูลว่า  พอจิตสงบผมรู้สึกว่าตัวเองกำลังเลื่อนต่ำลงไปในท่อขนาดใหญ่  คือตัวผมและที่ปลายข้างล่าง ผมแลเห็นแสงสว่างเป็นจุดเล็กๆ  แสดงว่าท่อยาวมากกลัวจะหลุดออกจากท่อจึงเลิกทำสมาธิ  รับสั่งเช่นเดียวกันว่า หากยังรู้ตัว ( มีสติ ) อยู่ก็ไม่ควรเลิก  ถึงหากหลุดออกนอกท่อไปก็ไม่เป็นไร  ตราบเท่าที่สติยังอยู่และรู้ว่ากำลังเกิดอะไรกับตน ต่อมาภายหลังจากการศึกษาคำสอนของครูบาอาจารย์ทุกท่าน  และโดยเฉพาะของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่ตรัสสอนให้ “ ดำรงสติให้มั่น “ ในเวลาทำสมาธิ ในส่วนที่เกี่ยวกับพระสมาธิของพระเจ้าอยู่หัวเคยตรัสเล่าให้ผมฟังว่า  ครั้งหนึ่งขณะกำลังทำสมาธิอยู่พระจิตสงบและเกิดนิมิต  ในนิมิตนั้นพระเจ้าอยู่หัวทรงทอดพระเนตรเห็นพระกร ( แขนท่อนล่าง ) ลอกออกทีละชิ้นๆ  ตั้งแต่จากพระตจะ ( หนัง ) ลงไปถึงพระอัฐิ ( กระดูก ) พระเจ้าอยู่หัวทรงประยุกต์พระสมาธิในการประกอบพระราชกรณียะกิจทุกอย่างทั้งน้อยและใหญ่  จึงทรงสามารถเผชิญกับพระราชภาระอันหนักในตำแหน่งพระมหากษัตริย์ได้โดยไม่สะทกสะท้านหรือหวั่นไหว  ไม่ทรงคาดการณ์ล่วงหน้าไปไกลๆ อย่างเลื่อนลอยและเปล่าประโยชน์  ไม่ทรงอาลัยอดีตหรืออนาคต  ไม่ทรงเสียเวลาหวั่นไหวไปกับความสำเร็จ  หรือความล้มเหลวอันเป็นเรื่องที่ผ่านพ้นไปแล้ว  แต่จดจ่ออยู่กับปัจจุบัน  ทรงสนพระราชหฤทัยอยู่แต่กับพระราชกรณียะกิจเฉพาะพระพักตร์เท่านั้น ในฐานะที่เกิดมาเป็นพลเมืองของประเทศที่มีพระเจ้าอยู่หัวพระองค์นี้เป็นพระประมุข  และในฐานะที่ทุกคนมีหน้าที่ในการทำนุบำรุงเมืองไทยนี้ให้เป็นที่ร่มเย็นของเราและของลูกหลานของเรา  จึงสมควรที่เราจะเจริญรอยประพฤติตามพระยุคลบาทด้วยการศึกษาและปฏิบัติสมาธิกันอย่างจริงจัง  และนำสมาธิมาประยุกต์ในการดำเนินชีวิต  เช่นเดียวกับพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวของเรา. ที่มา www.oknation.com ซึ่งผมเชื่อโดยบริสุทธิ์ใจว่า ท่านทรงถึงพร้อมที่จะกระทำได้ แก้ไขเมื่อ 21 พ.ค. 55 20:19:54 แก้ไขเมื่อ 21 พ.ค. 55 20:17:03 แก้ไขเมื่อ 21 พ.ค. 55 20:14:53 แก้ไขเมื่อ 21 พ.ค. 55 20:09:17 แก้ไขเมื่อ 21 พ.ค. 55 20:07:55 แก้ไขเมื่อ 21 พ.ค. 55 20:05:47 จากคุณ : kim (kimyunhee) เขียนเมื่อ : 21 พ.ค. 55 20:04:44

ความคิดเห็นที่ 104 จขกท อย่ามาแอ๊บสตรอฯหลอกด่าพระเลย ทำเป็นอินโนเซนท์ โถ... จากคุณ : เขียนบน iPhone (น้องเหมียวสีสวาด) เขียนเมื่อ : 21 พ.ค. 55 20:11:11

ความคิดเห็นที่ 105 เราว่า ท่าน ว วชิราเมธี ก็เทศน์สอนคำพูดดีนะ จากคุณ : บราวนี่ชีสเค้กท็อปปิ้งวิคครีม เขียนเมื่อ : 21 พ.ค. 55 20:12:13

ความคิดเห็นที่ 106 คิดว่าจะไม่มีแล้วนะเนี่ย ไอตรรกกะด่าพระแล้วนรกแดกกระบาล ทำไม่ได้อย่างเค้าห้ามพูด คนไทยด้วยกันจะด่ากันทำไม มีทุกที่จริงๆแฮะ จากคุณ : Aeonlalala เขียนเมื่อ : 21 พ.ค. 55 20:26:09

ความคิดเห็นที่ 107 ค.ห.104 ผมไม่ได้เแอ๊บจะด่าพระแล้วมาตั้งกระทู้นะครับ ผมไม่เข้าใจจริงๆ แล้วผมก็กำลังจะพิมพ์ถามคนที่ต่อต้านด้วย ว่าเข้าใจผิดหรือเปล่า ผมทยอยอ่านของแต่ละคนที่เม้นอยู่ครับ อันไหนเป็นประเด็นผมจะยกมา ผมเป็นกลางจริงๆ ลองอ่านดู อันนี้คือสิ่งที่ผมอ่านๆจากหลายคนในกระทู้นะครับ เลยมาวิเคราะห์ดูว่าเป็นไปได้ม้ั้ยที่เจตนาของท่านวอ.เป็นแบบนี้ (ผมไม่ได้อยู่ฝ่ายสนับสนุนหรือต่อต้าน ผมกำลัง งงๆ กับกระแสอยู่ ใครอ่านแล้ว จะแย้งตรงไหน ได้เลยครับ) 1. "ฆ่าเวลาบาปไม่น้อยไปกว่าการฆ่าคน" อาจจะเป็นการเปรียบเปรยเฉยๆรึเปล่าครับ ว่า การปล่อยเวลาไปแบบเรื่อยเปื่อยจนเราตาย ก็ไม่ได้ประโยชน์อะไร แต่คงไม่ได้หมายความว่า ฆ่าแล้วบาปเท่ากับคนจริงๆ 2. "ออกสื่อทีวี ลงหน้าปกบ่อยๆ" อาจจะเป็นว่า ก็เค้าเชิญท่านให้มาเป็นแบบอย่าง เป็นไอดอลธรรมมะ 3."คนในอดีตเหาะได้" อาจจะเป็นความเชื่อของท่านส่วนตัว ที่คล้ายๆกับเชื่อว่า พระพุทธเจ้าเดินบนดอกบัวได้ตอนประสูติ ซึ่งอาจจะไม่จริงทุกเรื่องเลยก็ได้ แต่เค้าเชื่อส่วนตัว 4."อย่างมงายในวิทยาศาสตร์" อ่านอาจจะบอกว่า วิทยาศาสตร์ไม่ได้เพอร์เฟคเสมอไป ต้องใช้วิจารณญาณ บางครั้งก็จริง บางครั้งก็ไม่จริง เพราะวิทยาศาสตร์นั้น มีการลบล้าง กันอยู่เสมอ เช่น เมื่อก่อนบอกว่า คนวิวัฒนาการมาจากลิง ต่อมา บางสาขาก็เชื่อว่า มาจากสัตว์ทะเล หรือบางแห่งก็ไม่เชื่อว่าบรรพบุรษคือสัตว์ หรือ ในอดีต เชื่อว่า กินข้าวมากๆ จะได้พละกำลังทำงานมาก เพราะมีคาโบไฮเดรต แต่ปัจจุบัน บอกว่าควรกินแป้งน้อยๆ เพราะจะอ้วนได้ หรือในอดีต บอกว่า ควรนอน 6 ชม ต่อวัน แต่ปัจจุบันบอกว่า ควรนอน 8 ชม ต่อวัน อะไรทำนองนี้ ซึ่งการเหาะ อาจจะไม่จริงก็ได้ ละไว้ในความเชื่อส่วนตัว 5."ธรรมะด่วนใน faceboook" อาจเป็นไปได้ว่า ท่านเห็นว่าคำสอนดี เลยเอามาแบ่งปัน แต่บางประโยคก็เข้าใจภาษายากเหลือเกิน 6."ใช้ชีวิตไฮโซ" อาจเป็นเพราะว่า เมื่อท่านดัง ก็มีคนเข้ามาทำบุญมาก ให้การต้อนรับ ถวายของ หรืออาหารมาก ท่านจึงรับไว้เพียงเท่านั้น แก้ไขเมื่อ 21 พ.ค. 55 20:29:38 จากคุณ : TheK1Ninja เขียนเมื่อ : 21 พ.ค. 55 20:27:09

ความคิดเห็นที่ 108 ฟังคลิบนี้จบ  รู้เลยว่าท่านเป็นพระแท้องค์หนึ่ง ที่เก่งทั้งทฤษฎีและปฎิบัติ จากคุณ : โชติช่วงชัชวาล เขียนเมื่อ : 21 พ.ค. 55 20:39:59

ความคิดเห็นที่ 109 ประดิษฐ์เกิน ไม่เป็นธรรมชาิติ อยากเป็น เซเลป มากกว่าพระ อัพออนไลน์ ตลอดๆๆๆๆ ไม่น่านับถือ บอกตรงๆ จากคุณ : นางฟ้าปีกสีชมพู เขียนเมื่อ : 21 พ.ค. 55 20:42:00

ความคิดเห็นที่ 110 อย่างน้อยก็ทำให้นานๆทีเช็ค inbox แล้วมีคำสอนอะไรดีๆจรรโลงใจ เตือนสติได้ รับฟังไว้ไม่่เสียหายตรงไหน เอียนๆกับละครหลังข่าวๆเก็นสังคมเสื่อมๆ มีพระช่วยดึงเอาคำสอนดีๆ ช่วยกระจายส่งต่อก็ดีแล้วหนิ ถ้าพระต้องเงียบขรึมตลอด คนรุ่นใหม่จะมีซักกี่คนที่ดูที่ฟัง ไม่หมุนตามโลก ก็ดูสิจะมีซักกี่คนเข้าวัดฟังธรรม สารที่สื่ิอออกมามันดี มันก็คือของดี ไม่ว่าใครจะเป็นผู้สื่อสาร เพราะถ้าให้เราไปนั่งอ่านพระธรรม ไปนั่งศึกษาเองคงไม่ล่ะ แต่นี่พระท่านมีความรู้และช่วยเผยแผ่พระธรรมเตือนใจคน ไม่ดีตรงไหน แต่ที่บางเรื่องมันมากไป ก็ข้ามๆไปบ้างเถอะ เต็ม100 หลุดรั่วมา 1-2 เปอร์เซ็นต์ก็ปกติความผิดพลาดมนุษย์(วัดจากระยะงานนะ) ทำงานยังพลาดได้ นี่เทศน์มาตั้งเท่าไหร่ จะมีคำพูดหรืออะไรไม่ถูกใจคนบ้างเรื่องสองเรื่องก็มองข้ามไปบ้างเถิด มองให้เห็นข้อดี แล้วจะเห็นว่ามันมีมากกว่าข้อเสียนะ (หรืออาจเฉพาะเรา เพราะหลายๆครั้งอ่านเมลหรือข้อความที่แชร์มาแล้วมันก็เตือนใจจริงๆ ช่วยให้ใจสงบ แค่นี้ก็ขอบคุณท่านมากแล้ว) ปล ไม่ได้แอนตี้วิทยาศาสตร์(ชอบด้วย แอบสถิตหว้ากอบ่อยๆ)และไม่ได้ธรรมะจ๋า(ไม่สวดมนต์ ไม่เข้าวัด ไม่ไรทั้งนั้น) แต่กรณีนี้ไม่เห็นว่าเสื่อมเสียมากไปถึงขนาดต้องไปแอนตี้หรือไม่รับฟัง ฟังไว้และจับแง่คิด คนฟังก็มีแต่ได้กับได้ มีอะไรให้เสียเหรอ??? จากคุณ : BigSom เขียนเมื่อ : 21 พ.ค. 55 20:56:26

ความคิดเห็นที่ 111 ใครเกลียดยังไงไม่รู้นะ...รู้แค่ว่าจริตไม่ตรงกับท่านก็เลยไม่ได้สนใจ แหะๆ จากคุณ : จะงอนฯ เขียนเมื่อ : 21 พ.ค. 55 21:01:30

ความคิดเห็นที่ 112 รู้สึกเศร้า หดหู่ ในหลายๆ คคห. แม้จะรู้ว่า มีสิทธิ์วิจารณ์ได้ พระยังโดนขนาดนี้..... ขอบคุณคุณตุ้ม คคห.  ของคุณถูกใจมาก จากคุณ : มินนี่Mouse เขียนเมื่อ : 21 พ.ค. 55 21:09:48

ความคิดเห็นที่ 113 คนเหาะเหินเดินอากาศได้..ท่านเคยเห็นหรือพิสูจน์....?? แอปเปิ้ลตกจากต้น....สามารถบอกสิ่งที่เป็นอยู่...และยังเหมือนเดิม...และมีมาก่อนท่านเกิด แล้วคนบินล่ะ...บินบนเครื่องไปธิเบต ไปญี่ปุ่นหรือ ??? จากคุณ : เจ้าของกระทะ เขียนเมื่อ : 21 พ.ค. 55 21:13:28

ความคิดเห็นที่ 114 แปลให้หน่อยคับ ผมไม่เข้าใจ จากคุณ : งง เขียนเมื่อ : 21 พ.ค. 55 21:17:26 A:171.98.14.113 X: TicketID:360288

ความคิดเห็นที่ 115 จริงดิ  เพิ่งรู้นะเนี่ยยย จากคุณ : rakwahnron เขียนเมื่อ : 21 พ.ค. 55 21:21:10

ความคิดเห็นที่ 116 [url=http://upic.me/show/35905768][img]http://upic.me/i/ti/11759_307226419360396_269663169783388_665776_5704130_n.jpg[/img][/url] จากคุณ : งง เขียนเมื่อ : 21 พ.ค. 55 21:21:21 A:171.98.14.113 X: TicketID:360288