|
พอเพียงของคนเราไม่เท่ากันนะครับ
ผมตีความพระราชดำรัสของพระองค์แบบนั้น
หากเรามีความมั่งคั่ง เราไม่ได้เดือดร้อนอะไร เราก็มีสิทธิ์ที่จะซื้อของสนองความอยากของชีวิตได้เท่าที่อยากทำ
เพราะเราไม่ได้เบียดเบียนใคร และไม่ได้ทำตัวเป็นทาสของเงิน ด้วยการ "หา" มันเข้ามาอย่างเดียว
หากแต่เรารู้จักที่จะใช้มันเพื่อให้ชีวิตเรามีความสุข
พอเพียงของบางคนอาจแค่มีรถปี 89 เก่า แต่พอเพียงของบางคนอาจต้องเป็นจากัวร์คาบริโอเล่ท์
ซึ่งมันก็ไม่ได้ผิดอะไรเลยซักนิด
บางทีคนเราก็ใช้เงินแบบไม่มีเหตุผลครับ เพราะเขาหาได้ง่าย และมีความมั่งคั่งพอที่จะไม่เสียดาย ไม่งั้นมันจะมีคนในแบบที่พร้อมจะจ่ายเงิน 3,456,789 ดอลล่า เพียงเพื่อที่จะได้กินข้าวกลางวันกับ วอเร็น บัฟเฟ็ท เพียงหนึ่งมื้อหรอกครับ
เพราะเขารู้ว่าเขา "ได้" อะไรมากกว่าเงินที่จ่ายไป
การได้กินข้าวกลางวันกับวอเร็น คนที่ประมูลได้สามารถที่จะถามวอเร็นได้ทุกเรื่อง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องส่วนตัว หรือ เรื่องของการลงทุน
และสามารถพาเพื่อนๆไปร่วมโต๊ะได้อีก 7 คน
ส่วนเงินที่ประมูลนั้น ก็จะนำไปบริจาคมให้มูลนิธิ
แรกๆก็มีเสียงครหา ว่าเศรษฐีที่ประมูลเพื่อกินข้าวกลางวันกับวอเร็นนั้น "เว่อร์"
แต่ไปๆมาๆไอ้ที่บอกว่าเว่อร์นั้น ประมูลกันแบบลืมๆ ก็ทำมา 13 ปีติดกันแล้วครับ
ทุกคนที่ประมูลได้นั้นบอกตรงกันว่า "คุ้มยิ่งกว่าคุ้ม"
เพราะมันคือการใช้เงินเพื่อสนองคามอยาก และได้ประโยชน์จากการพูดคุยกับวอเร็นในแบบที่ไม่รู้จะได้ทำอีกเมื่อไร
พอเพียงมันอยู่ที่ตัวเราครับ หากเรามีเงิน เราก็พอเพียงในแบบมีเงิน แต่หากเราไม่มีเงิน เราก็พอเพียงในแบบไม่มีเงิน
ทั้งการซื้อกระเป๋าใบละ 4 ล้าน หรือการประมูลเพื่อกินข้าว 3,456,789 ดอลล่า เราไม่มีทางรู้หรอกว่ามันสามารถ "ต่อยอด" ให้กับคนๆนั้นได้มากมายขนาดไหน
เพราะกระเป๋าอาจจะเป็นเฟอร์นิเจอร์ในการอยู่ในอาชีพนี้ และการกินข้าวกลางวันราคาแสนแพง อาจได้กลับมาด้วยความรู้ที่แสนแพงกว่า
เราเลือกพอเพียงได้เท่าที่อยากทำ หากว่าไม่ได้เบียดเบียนใครครับ
หรือแม้แต่เบียดเบียนตัวเองก็เถอะ !!!
จากคุณ |
:
ตุ้ม (Toom McCartney)
|
เขียนเมื่อ |
:
29 มิ.ย. 55 13:59:30
|
|
|
|
|