Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com  


 
คนทำ MLM คือนักธุรกิจ หรือเป็นเพียงเซลแมน? ติดต่อทีมงาน

คนทำ MLM คือนักธุรกิจ หรือเป็นเพียงเซลแมน?      

นั่งอ่านกระทู้แอมเวย์ทั้งวัน มีประเด็นที่อยากเขียนเกี่ยวกับธุรกิจ MLM สักหน่อย คนทำธุรกิจเหล่านี้มักจะพูดเสมอว่านี่ไม่ใช่งานขายของ แต่เป็นการทำธุรกิจ ทั้งนี้เพราะถ้าขืนชวนใครไปขายของ ก็จะมีแต่คนร้องยี้ แต่ถ้าชวนทำธุรกิจจะดูมีศักดิ์ศรีกว่า แต่ผมเชื่อว่าคนที่เข้าสู่ MLM ใหม่ๆ (หรือเข้าไปนานแล้วแต่ยังไม่ประสบความสำเร็จ) มักไม่เข้าใจว่างานขายต่างกับการทำธุรกิจอย่างไร ทั้งที่การทำ MLM ในช่วงเริ่มต้นก็คืองานเซลแมนดีๆ นี่เอง

ผมจะลองยกตัวอย่างงานเซลแมนของบริษัทที่ประกอบธุรกิจทั่วไปที่ไม่ใช่ MLM ให้ดูก่อน หน้าที่ของเซลแมนเมื่อบริษัทรับเข้าไปทำงานใหม่ๆ คือการเรียนรู้เกี่ยวกับสินค้าของบริษัท จากนั้นเริ่มหารายชื่อว่าที่ลูกค้า ติดต่อขอนัดพบผู้ที่มีอำนาจการตัดสินใจซื้อ เข้าไปนำเสนอสินค้า หลังจากนั้นก็คอยติดตามผล เมื่อลูกค้าตัดสินใจซื้อก็ทำการส่งมอบสินค้าและวางบิลเก็บเงิน

ส่วนหน้าที่ของคนทำ MLM ใหม่ๆ คือการเรียนรู้สินค้า เรียนรู้วิธีการทำงาน ทำรายชื่อผู้มุ่งหวัง โทรนัด พาอัพไลน์ไปช่วย STP (Show The Plan / Sell The Product) ถ้าผู้มุ่งหวังสนใจสินค้าก็ปิดการขายเลย ถ้ามีท่าทีว่าจะสนใจธุรกิจก็คอยติดตามผล

จะเห็นว่าหน้าที่ของเซลแมนกับคนทำ MLM ในช่วงแรกนั้นแทบไม่แตกต่างกันเลยครับ ดังนั้นถ้าใครถูกชวนไปทำ MLM แล้วสนใจอยากเข้าไปทำ ให้เตรียมใจไว้ได้เลยว่าต้องเป็นเซลแมนแน่นอน ในการฝึกอบรมของ MLM คุณจะถูกปรับทัศนคติให้กล้าที่จะเปิดการขายกับเพื่อนของคุณ (ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นของความหายนะของหลายคน เดี๋ยวจะเล่าต่อ)

แต่สิ่งที่แตกต่างกันระหว่างเซลแมนกับคนทำ MLM ก็คือต้นทุนการบริหารงานขาย คนเป็นเซลแมนสามารถเบิกค่าโทรศัพท์และค่าน้ำมันรถจากบริษัทได้ แต่คนทำ MLM ไปเบิกกับบริษัทหรืออัพไลน์ไม่ได้หรอกครับ

นี่แหละที่เรียกว่าการทำธุรกิจในขั้นเริ่มต้น การเป็นเซลแมนลูกจ้าง คุณเพียงแค่รับผิดชอบยอดขายเพียงอย่างเดียว แต่การเป็นเซลแมน MLM คุณจะต้องรับผิดชอบทั้งยอดขายและต้นทุน

ที่น่าเศร้าคือ MLM จะบอกคุณแค่เรื่องรายได้ในอนาคต (ย้ำ รายได้ใน "อนาคต") ด้วยการนำผู้ที่ประสบความสำเร็จแล้วมาแสดงตัว แต่ก่อนเป็นคนจน แต่ตอนนี้มีบ้านหลังใหญ่ ขับรถเบนซ์ ไปเที่ยวต่างประเทศ เพื่อให้คุณมองเห็นภาพตัวเองในอนาคตว่าจะได้เป็นแบบนี้บ้าง

แต่ MLM จะไม่บอก หรือบอกไม่ทั้งหมด ในเรื่องต้นทุนการทำธุรกิจ เขาจะบอกเพียงแค่ว่า คุณจ่ายเงินค่าสมัครไม่กี่ร้อยบาทในวันนี้ อนาคตคุณจะร่ำรวย แต่การไปถึงจุดนั้นมันไม่ง่ายนะ คุณต้องทำงานอย่างหนัก แต่เขาจะยังไม่ลงรายละเอียดให้คุณรู้ในทันทีว่าต้องทำอะไรบ้าง

คุณจะเริ่มมีต้นทุนที่เป็นตัวเงินที่ต้องจ่าย นอกจากค่าสมัคร คุณจะต้องเริ่มซื้อสินค้า (ด้วยเหตุผลว่า ถ้าไม่ลองใช้เองแล้วจะไปแนะนำคนอื่นได้ยังไง) ต้องซื้อเทป ซีดี หนังสือ (เป็นเครื่องมือในการปรับทัศนคติของคุณ) ต้องซื้อบัตรเข้างานประชุมต่างๆ (ทั้งปรับทัศนคติและให้ความรู้เกี่ยวกับสินค้าและการทำงาน) พอคุณเริ่มทำธุรกิจ คุณจะมีต้นทุนค่าโทรศัพท์หาผู้มุ่งหวัง ค่าเดินทาง ค่าน้ำมันรถ และพอคุณเริ่มมียอดขาย บางคนอาจจะใช้วิธีซื้อสินค้ามาตุนไว้เยอะๆ แล้วค่อยทยอยปล่อยออกทีหลัง เพื่อทำยอดให้ถึงเป้าที่จะได้ commission เยอะๆ (แต่ส่วนใหญ่มักปล่อยของไม่ค่อยออก)

ถึงจุดนี้ ถ้าคุณเป็นคนทำธุรกิจจริง คุณต้องเริ่มคิดแล้วว่าต้นทุนเหล่านี้คือการลงทุนเพื่ออนาคตอย่างที่อัพไลน์พร่ำบอกคุณหรือเปล่า? ถ้าคุณซื้อสินค้าราคาสมาชิก 800 บาท เอาไปขายต่อเพื่อนในราคา 1000 บาท ได้กำไร 200 บาท ถ้าหักค่าโทรศัพท์ ค่าน้ำมันรถ ค่าเสียเวลาของคุณเอง ถือว่าคุ้มหรือเปล่า?

ในแอมเวย์ถึงพยายามให้ผู้จำหน่ายนำสินค้าใหญ่ราคาสูงออกไปขาย เช่น เครื่องกรองน้ำ เครื่องฟอกอากาศ เพราะสินค้าเหล่านี้มีส่วนต่างราคาขายปลีกและราคาสมาชิกพอสมควร แต่ด้วยความที่มันราคาสูง จึงไม่ใช่เรื่องง่ายที่ใครจะตัดสินใจซื้อ เขาอาจจะแค่ซื้อยาสีฟัน 300 บาทเพื่อรักษาน้ำใจคุณ คุณได้กำไรค้าปลีก แต่ขาดทุนต้นทุนขายย่อยยับครับ นี่คือสิ่งที่ MLM ไม่ได้บอกคุณ

การทำ MLM ให้คุ้มต้นทุน (หรือที่เรียกว่าลงทุนเพื่ออนาคต) จริงๆ คือการชักชวนคนมาทำธุรกิจด้วยกัน เพราะเขาจะช่วยสร้างรายได้ให้คุณ แต่คุณก็ต้องลงทุนสอนและปรับทัศนคติให้เขา รวมถึงการซื้อใจด้วยวิธีการหลายๆ อย่างด้วย

การชวนคนทำ MLM ในยุคที่คนจำนวนมากมีทัศนคติเชิงลบกับธุรกิจ MLM นั้นไม่ใช่เรื่องง่ายเลย กลุ่มคนที่มีศักยภาพในการทำ MLM มีสองกลุ่ม คือกลุ่มนักศึกษาที่อยากมีรายได้โดยไม่ต้องพึ่งพาพ่อแม่ กลุ่มนี้ยังไม่ค่อยรู้จัก MLM นัก ไฟแรง แต่เงินน้อย อีกกลุ่มคือคนที่ทำงานมา 3-4 ปี เริ่มเบื่องานประจำ อยากหาอาชีพเสริม บางคนอยากมีธุรกิจส่วนตัวแต่ไม่รู้จะทำอะไร หรือยังไม่กล้าเริ่มต้น พอมีคนมาเสนอโอกาส MLM กลุ่มนี้ก็มีแนวโน้มที่จะสนใจ ด้วยความที่มีเงินเก็บมาพอสมควร จึงสามารถลงทุนได้ (แต่สุดท้ายหลายคนไม่เหลือเงินเก็บเลย บางคนเป็นหนี้ด้วย)

นอกจากต้นทุนที่เป็นตัวเงินแล้ว คนทำ MLM ยังมีต้นทุนที่ไม่ใช่ตัวเงินอีก เช่น ต้นทุนเวลา (ประชุมดึกๆ ยอมอดหลับอดนอน จนกระทบกับงานประจำ) ต้นทุนความสัมพันธ์กับเพื่อน (ชวนเพื่อนแล้วเพื่อนไม่เอาด้วยจนเสียเพื่อนไปเลย) และที่หายนะที่สุดคือต้นทุนในการลงจากหลังเสือ (เมื่อคุณเริ่มเอ่ยปากชวนเพื่อนแล้ว เพื่อนคุณมักจะปฏิเสธ คุณจะบอกเขาว่า "นายคอยดูเรานะ เราจะรวยภายใน 6 เดือน" พอผ่านไป 6 เดือน เพื่อนจะถามคุณว่ารวยหรือยัง บางคนอาจจะอ้อมแอ้มว่ามีรายได้เท่านั้นเท่านี้แล้ว โดยไม่พูดถึงค่าใช้จ่าย บางคนใจเหี่ยวแต่ไม่อยากเสียหน้า ก็ต้องฝืนอยู่ในธุรกิจต่อไป บางคนใช้เงินซื้อยอดเพื่อทำโปรโมชั่นเที่ยวต่างประเทศ หาเงินมาดาวน์รถหรูเพื่ออวดเพื่อนที่เคยปฏิเสธตนเอง โดยไม่รู้ว่านี่คือหายนะ)

MLM จะเริ่มเป็นธุรกิจก็ต่อเมื่อคุณไม่ต้องทำงานแบบเซลแมนอีกแล้ว เมื่อถึงวันนั้น ดาวน์ไลน์ของคุณจะเป็นเซลแมนแทนคุณ ส่วนคุณจะได้ทำงาน HR เช่น การให้ความรู้ดาวน์ไลน์ หรือการจัดการความขัดแย้งในองค์กร คุณจะได้ทำงาน Marketing เพื่อสนับสนุนงานขาย เช่น ทำแผ่นพับขายสินค้าให้ดาวน์ไลน์เอาไปใช้ จัดประชุมใหญ่เพื่อกระตุ้นยอดขายทั้งของคุณและดาวน์ไลน์ และคุณจะได้ทำงาน Strategic Planning ร่วมกับดาวน์ไลน์ติดตัวของคุณว่าจะทำอย่างไรให้ยอดขายโตขึ้น จำนวนดาวน์ไลน์ในองค์กรเพิ่มขึ้น

แต่จะมีกี่คนที่ขึ้นไปถึงจุดนั้น? มันไม่ต่างกับการเป็นมนุษย์เงินเดือนที่พยายามไต่เต้าขึ้นไปเป็นผู้บริหารองค์กรเลยครับ

http://www.facebook.com/note.php?note_id=135592049811602

จากคุณ : Mr.Feynman
เขียนเมื่อ : 17 ก.ค. 55 13:59:02




ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป



Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com