นอกจากดูแลตัวเองให้ดีแล้ว... ก็อย่าลืมดูแลคนใกล้ตัวด้วยนะคะ
สังคมใกล้ๆตัวเราจะได้มีความสุข
ปล. ขอแปะบทความนึงนะคะ
มีข้อสังเกตนึงที่เราก็รุ้สึกว่า... อืมม มันก็แอบจริงนา~
ข้ามไปตรงที่เราไฮไลท์ไว้เลยก็ได้จ้ะ
-----------------------------------
นิธิ เอียวศรีวงศ์ มติชนรายสัปดาห์ วันที่ 01 ธันวาคม พ.ศ. 2549 ปีที่ 27 ฉบับที่ 1372
เขาเปลี่ยนเงื่อนไขการให้รางวัลแจ๊คพ็อตหวยบนดินเป็นผลให้รางวัลกระจายไปยังผู้ซื้อจำนวนมากขึ้น แทนที่จะกระจุกอยู่กับคนเดียว แต่ที่กระจายนี้ก็หมายถึงเงินรางวัลเป็นหลายล้านนะครับ
น่าประหลาดมากที่งวดแรกที่มีการกระจายรางวัล หวยกลับขายลดลง ข่าวยกสาเหตุของยอดขายที่ต่ำลงนี้ ว่ามาจากการให้รางวัลแจ๊คพ็อตน้อยลงโดยตรง
โอกาสที่จะได้แจ๊คพ็อตมีมากขึ้นกว่าเดิมนะครับ แต่คนกลับอยากเล่นน้อยลง เพราะอะไร? ผมเดาว่าคงกลัวว่าจะรวยไม่สะใจ แม้กระนั้นรางวัลที่อาจจะได้ก็ไม่ใช่น้อย เป็นเงินล้านแหละครับ
และส่วนใหญ่ของคนเล่นหวยก็ไม่ได้รวยล้นฟ้าอะไร เงินเป็นล้านมีความหมายแก่ชีวิตของเขาแน่ ถ้าเล่นหวยเพราะหวังแจ๊คพ็อต โอกาสที่เพิ่มขึ้นก็น่าจะดึงให้เล่นมากกว่าหยุด
ผมคิดว่าเรื่องนี้อธิบายไม่ง่ายเลย ทำไมคนไทยถึงอยากรวยเร็วและต้องรวยอย่างล้นเหลือเกินความจำเป็นของชีวิตอย่างนี้ เพราะที่จริงแล้วรางวัลแจ๊คพ็อตที่กระจายให้น้อยลงนั้น ก็เพียงพอที่จะเอาไปทำอะไรอื่นให้งอกเงยต่อไปได้ หรือทำอะไรไม่เป็นเอาจริงๆ แค่ค่อยๆ กินไปเรื่อยๆ ก็อยู่ได้หลายปีทีเดียว
ในปัจจุบัน ดูเหมือนใครๆ ก็ยอมรับว่าความอยากรวยเร็วเป็นธรรมชาติของมนุษย์ แต่ผมแก่เสียจนไม่แน่ใจว่าธรรมชาติของมนุษย์เป็นอย่างนั้นจริง
เมื่อตอนผมเรียนมหาวิทยาลัยนั้น ความใฝ่ฝันในชีวิตที่เราบอกเล่ากันแก่เพื่อนฝูงอย่างคนหนุ่มสาวทั่วไปนั้น ไม่ยักกะใช่ความมั่งคั่ง บางคนอยากเป็นกวี, เป็นนักเขียน, เป็นครู, เป็นด๊อกเตอร์, เป็นทูต, เป็นเมียของแฟน ฯลฯ แต่ไม่เคยได้ยินใครพูดว่าอยากเป็นเศรษฐีสักคน จนผมสงสัยว่า คนที่อยากเป็นเศรษฐีอาจไม่กล้าเล่าความใฝ่ฝันของตัวเอง ให้ใครได้ยินก็ได้ เพราะฟังดูหยาบคายเกินไปสำหรับยุคสมัย
แน่นอนนะครับ ไม่มีใครใฝ่ฝันจะเป็นคนจนหรอก แต่ทุกคนก็คิดว่าค่อยๆ ทำมาหากินไปในที่สุดก็คงพอเลี้ยงชีพได้ตามอัตภาพ ไม่ถึงกับอดอยาก แค่นั้นก็น่าพอใจแล้ว
แต่ในปัจจุบัน ความใฝ่ฝันที่จะเป็นเศรษฐีกลายเป็นปรกติธรรมดาไปเสียแล้ว
ความเปลี่ยนแปลงนี้มาอย่างไร ผมก็ตอบไม่ได้หรอกครับ จะโทษฝรั่ง, ทุนนิยม, หรือคุณทักษิณ ก็เชิญตามสบาย แต่ผมออกจะสงสัยว่า มันน่าจะมีความอ่อนแอบางอย่างในวัฒนธรรมไทยเกี่ยวกับเรื่องทรัพย์หรือทางได้มาของทรัพย์ จึงทำให้คนไทยเปลี่ยนแปลงมารับความอยากรวยเร็วได้ในเวลาอันสั้นอย่างนี้
ความคิดของไทยกับฝรั่งที่นับถือนิกายโปรเตสแตนท์ ไม่ต่างกันนัก คือผูกเรื่องความมั่งคั่งรุ่มรวยกับศาสนา คนไทยแต่ก่อนเชื่อว่าความมั่งคั่งของบุคคลนั้นย่อมเป็นผลมาจากกรรมดีในอดีตชาติ ทุคตะเข็ญใจอาจกลายเป็นเศรษฐีได้ในพริบตา หากผลบุญที่ทำไว้ให้อานิสงส์เมื่อใด เรียกว่ากรรมดีมันตามทัน ก็พลิกผันกลายเป็นเศรษฐีได้ในพริบตา
ฝรั่งโปรเตสแตนท์เชื่อว่า ความมั่งคั่งเป็นสัญลักษณ์ของความโปรดปรานของพระเจ้า
ไทยกับฝรั่งคริสเตียนยังเชื่อเหมือนกันอีกด้วยว่า เศรษฐีจึงควรทำบุญสุนทานเพื่อเสริมต่อกรรมดีให้ยิ่งๆ ขึ้นไป หรือเพื่อให้เป็นที่โปรดปรานของพระเจ้ายิ่งขึ้นไปอีก
แต่ความต่างก็มีและสำคัญเสียด้วย นั่นก็คือนิทานไทยพูดถึงยาจกพบขุมทรัพย์โดยบังเอิญอยู่เสมอ เพราะกรรมดีบันดาลให้ได้พบ ในขณะที่พวกโปรเตสแตนท์เห็นว่า ความมั่งคั่งต้องเกิดขึ้นจากการทำงาน ได้มาโดยโชคลาภไม่ได้ น่าอับอาย และพาลไปคิดถึงด๊อกเตอร์เฟาสท์ที่ขายวิญญาณให้ปีศาจ เพื่อแลกกับทรัพย์, อำนาจและเกียรติยศไปเสียก็ได้
ที่คนไทยชอบแทงหวยนั้น บางทีอาจมีเหตุด้าน "จิตวิญญาณ" อันเป็นเหตุที่ลึกกว่าเพียงเพราะมีเจ้ามือหวยเถื่อนซึ่งซื้อตำรวจได้ การแทงหวยคือการเดินเล่นเพื่อสะดุดถุงทองเหมือนในนิยายนั่นเอง
ยิ่งกว่านี้ ผมยังพาลสงสัยต่อไปด้วยว่า ที่เรายกมือไหว้และยกย่องคนรวย อันเป็นการกระทำที่ผู้หลักผู้ใหญ่บางคน เห็นว่าไม่ควรนั้น คนไทยคงไม่ได้ไหว้แต่เงินในกระเป๋าของท่านเพียงอย่างเดียว แต่ไหว้ "บารมี" หรือกรรมดีที่ได้สั่งสมไว้ของท่านด้วย
แล้วเราไม่ควรไหว้กรรมดีของบุคคลที่ได้กระทำมาหรอกหรือครับ
มุสลิมผู้มีทรัพย์คนหนึ่งบอกผมว่า ที่เขามีทรัพย์นั้นก็เป็นเพราะเขาปฏิบัติตามคำสอนของท่านศาสดาอย่างเคร่งครัด ตัวการปฏิบัตินี่แหละที่ทำให้เขาได้มาซึ่งทรัพย์สมบัติที่เขามีอยู่ (เช่น ไม่กินเหล้าเมายา, มัธยัสถ์, ไม่เอาเปรียบคนอื่น, ซื่อสัตย์ ฯลฯ)
ผมไม่ทราบว่านี่เป็นคำสอนของศาสนาอิสลามหรือไม่ แต่อย่างน้อยในทัศนะของเขา ความมั่งคั่งไม่ได้เกิดขึ้นจากความบังเอิญ แต่เป็นผลมาจากการปฏิบัติ
ประเพณีจีนโบราณ (อาจจะเป็นอิทธิพลของลัทธิเต๋า) ยกย่องความยากจนเสียด้วยซ้ำ นักปราชญ์อ้วนนี่ก่อให้เกิดความคลางแคลงใจ เป็นปราชญ์แล้วอ้วนได้อย่างไรหว่า
ชีวิตในอุดมคติคือสงบสุขเพราะไม่มีสมบัติไว้ครอบครองเกินจำเป็น, พอใจในตนเองจนกระทั่งอยู่เดียวดายได้, ใช้ชีวิตใกล้ชิดกับธรรมชาติ ฯลฯ ซึ่งพบได้เสมอในภาพเขียนจีน
ผมเข้าใจว่าไทยไม่มีประเพณีอย่างนี้ นอกจากอุดมคติของพระภิกษุในพระพุทธศาสนา แม้กระนั้นเราก็เน้นความยากจน ของพระภิกษุไม่มากนัก ดูเหมือนชาวบ้านจะถือการครองเพียงอัฐบริขารของภิกษุเป็นประเพณีเท่านั้น ถึงหลวงพี่ หลวงพ่อจะมีอย่างอื่นอีกมากมาย ก็ไม่เห็นว่าขัดกับสมณเพศ
แต่คำถามที่เกิดในใจผมก็คือ ถ้าอย่างนั้นคนไทยก็น่าจะอยากรวย และรวยเร็วมาตั้งแต่โบราณแล้ว ผมจะผ่านยุคสมัยที่เด็กหนุ่มสาวไม่ค่อยได้คิดถึงความมั่งคั่งรุ่มรวยมาได้อย่างไร
คำตอบที่ผมนึกได้ก็คือ แม้เราไม่เน้นการทำงานเพื่อให้ได้มาซึ่งทรัพยฺ์, แม้เราไม่มีประเพณียกย่องความยากจน, แต่พระพุทธศาสนาของไทยมีเป้าหมายสำคัญคือพระนิพพาน
พระนิพพานไม่อาจใช้ทรัพย์เป็นยานไปถึงได้ ฉะนั้น คนรวยหรือจนก็มีโอกาสเท่าๆ กัน เป้าหมายสำคัญในชีวิตของแต่ละคน จึงไม่ใช่ความมั่งคั่ง มีก็ดี ไม่มีก็ไม่เป็นไร แต่ที่สำคัญกว่าก็คือ สามารถเขยิบเข้าไปใกล้ความหลุดพ้นได้มากน้อยแค่ไหนต่างหาก
ความอยากรวยของเราจึงถูกถ่วงดุลด้วยเป้าหมายอื่นที่ไม่ใช่ทรัพย์
แต่ นับตั้งแต่่การปฏิรูปศาสนาเป็นต้นมา ได้ลดทอนเป้าหมายสำคัญนี้ลง พระนิพพานกลายเป็นเรื่องไกลตัวเสียจนไม่จำเป็นต้องเน้นในคำสอน พระพุทธศาสนาเป็นแต่เรื่องที่เรียกกันว่าคีหิปฏิบัติ คือแนวทางการปฏิบัติของผู้ครองเรือน
ดุลสำหรับถ่วงความอยากรวยเพียงอันเดียวที่มีในวัฒนธรรมไทยจึงหายไป และกลายเป็นว่าความอยากรวยและรวยเร็วคือธรรมชาติของมนุษย์ในสังคมไทยไป
เหตุผลสำหรับการเรียนรู้อะไรก็ตาม คือเรียนแล้วจะหาเงินได้อย่างไร เหตุผลเช่นนี้แทรกซึม อยู่ในหลักสูตรการศึกษา, ในละครทีวี, ในสิ่งพิมพ์ทุกชนิด, และในโอวาทต่างๆ ที่เราได้ยินจากผู้หลักผู้ใหญ่อยู่เสมอ
เป้าหมายในชีวิตคือรวยและรวยเร็ว
ผมหยิบเรื่องนี้มาคุยตามแฟชั่นหรอกครับ เพราะยุคสมัยนี้เป็นยุคที่ต้องใช้คำว่าศีลธรรมแทนหางเสียงกันไปแล้ว แต่แม้จะเน้นย้ำกันแต่ศีลธรรม ก็ไปไม่เกินกว่ารูปแบบภายนอก เช่น งดกินเหล้าเข้าพรรษา, เลิกแทงหวย, ฯลฯ
ศีลธรรมที่ไม่มีฐานบนเป้าหมายอันสูงส่งของชีวิต (ไม่ว่าจะเป็นพระนิพพาน หรือพระเจ้าก็ตาม) ไม่ต่างอะไรจากกฎหมาย กระบวนการแปรศีลธรรม ให้เป็นกฎหมายซึ่งกำลังเกิดอยู่เวลานี้ จึงเป็นผลสรุปที่ตรงตามตรรกะของสังคม ที่ขาดเป้าหมายนามธรรมของชีวิตนั่นเอง