Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com  


 
ดิฉันโดนป้ายยามาสามครั้งในรอบแปดปีที่ผ่านมาค่ะ ขอเล่าเตือนเป็นอุทาหรณ์ ติดต่อทีมงาน

ขออภัยที่อาจจะยาวไปค่ะ ปกติดิฉันอ่านกระทู้ที่นี่บ้างค่ะ เคยตั้งกระทู้ครั้งนึงเมื่อปีที่แล้ว และครั้งนี้เป็นครั้งที่สอง. เพราะมันเพิ่งเกิดขึ้นกับตัวจริงๆ รวมสามครั้ง เริ่มเลยนะคะ

ครั้งแรกเหตุเกิดเมื่อปี 2004
ดิฉันเพิ่งเริ่มทำงาน และต้องไปทําธุระแถวสยาม ได้เรียกรถ taxi หน้ามาบุญครอง จะไปลงแถวออฟฟิศที่ลาดพร้าว หิ้วของเยอะเพราะไปรับงานมา พอขึ้นนั่งสังเกตคนขับผู้ชาย อายุประมาณ 24-28 รูปร่างผอม ใส่แว่นดํา และหมวกแก๊ป ผมยาวรวบไปด้านหลัง นั่งไปเรื่อยๆ ระหว่างนั่งได้สังเกตคนขับเพราะเขาเหลือบมองผ่านกระจกมาเป็นระยะๆ ต่างคนก็เลยสังเกตกันและกัน เลยเริ่มใจไม่ค่อยดี เหมือนพอเขาสังเกตเรา เราก็สังเกตเขา อยู่ดีๆ รู้สึกอากาศมันหน่วงๆ เหมือนไม่มีอากาศหายใจ ทั้งๆ ที่ในรถก็เปิดแอร์ เลยสั่งให้ช่วยเพิ่มแอร์ให้หน่อยเพราะหายใจไม่ออกเหมือนจะเป็นลม แต่ไม่ได้สังเกตว่าคนขับทําอะไรกะหน้าแอร์รึเปล่า (รู้ทีหลังที่คนอื่นๆบอกให้สังเกตเรื่องอังแอร์) หลังจากนั้นไม่ดีขึ้น หน้ามืดแถมอาการมึนหัวก็หนักขึ้นจนมองข้างทางไม่รู้เรื่องแล้ว เลยลดกระจกลงแล้วโผล่หน้าไปหายใจนอกหน้าต่าง แบบเอาหัวทั้งหัวแกว่งออกไป รู้สึกดีขึ้น พอกลับเข้ามาใหม่ก็มึนอีกทรมานมากค่ะ นาทีนั้นรถวิ่งเร็วเรื่อยๆ ไม่ติดไฟแดง เลยพยายามส่งสัญญาณบอกรถข้างๆ แต่ไม่ได้ผล ไม่รู้จะทําอย่างไรรู้ว่าต้องเอาตัวเองออกจากรถโดยด่วน นึกถึงเมล์ที่ส่งต่อๆ กันมาเลยมั่นใจว่าตัวเองโดนแน่แล้ว เลยพยายามตะคอกและเปล่งเสียงสุดขีดบังคับให้คนขับจอดเดี๋ยวนี้ พอรถเลี้ยวตรงสี่แยกฟอร์จูน ดิฉันไม่สนใจอะไรเปิดประตูเอาตัวเองลงไป เขาหยุดรถ ตอนนั้นดิฉันรู้สึกโกรธมาก และแสดงอาการฉุนเฉียว ทั้งๆ ที่ไม่มีแรง พอลงก็เดินเอาตัวไปขวางหน้ารถที่จอด และพยายามจําทะเบียน แต่จําไม่ได้เลยเหมือนสมองไม่สั่งการ
หลังจากนั้นไม่รู้สึกตัว รู้แต่ว่าขาเดินๆๆๆ รู้ตัวอีกทีมานั่งอยู่ในร้านโดนัท มึนหัวและคอแห้งมากๆ ลมหายใจออกเหม็นฉุน และได้สั่งนํ้าส้มมาดื่ม รีบโทรหาแม่และเล่าเรื่องราวให้ฟัง
หลังจากนั้น ดิฉันไม่ขึ้นแทกซี่อีกเลย
ปีนี้เป็นปีแรกดิฉันไปเรียนต่อและได้อาศัยอยู่ต่่างแดนจนปัจจุบัน แต่กลับไทยทุกปีค่ะ

ครั้งที่สอง โลตัสอ่อนนุช เหตุเกิดเดือนกันยาที่ผ่านมานี่เอง
ดิฉันมีนัดกับช่างแถวนั้น ปกติไม่เคยจะไปแถวนั้นเท่าไหร่ วันนั้นแม่ก็ไปเป็นเพื่อน ระหว่างรอช่าง พวกเราเข้าไปร้านหนังสือ ดิฉันก็เช็คแผงหนังสืออ่านไรไปเรื่อย และได้ซื้อหนังสือมาสามเล่ม จ่ายตังค์เสร็จแล้ว แม่ยังยืนนิ่งอ่านพวกนิตยสารอยู่ ดิฉันเลยบอกว่าซื้อและจ่ายตังค์เรียบร้อยแล้ว จะออกไปรอข้างนอก เพราะอยากไปนั่งอ่านหนังสือที่เพิ่งซื้อมาใหม่ แถวนั้นมีฟู้ดคอร์ทอยู่ คนเยอะมาก ดิฉันมองไปเห็นโต๊ะตัวนึงว่างอยู่เลยเดินไปนั่ง โต๊ะตัวนั้นอยู่ริมทางเดินที่คนเดินไปมาเพื่อสั่งอาหารหน้าร้าน ดิฉันนั่งโดยที่หันหน้าเข้าโต๊ะ (หันข้างหลังหาทางเดิน) ตอนนั่งอยู่รู้สึกได้ว่ามีคนมายืนเบียดๆ พอหันไป เห็นผู้ชายยืนหันหลังอยู่สองคน คนนึงหันหน้ามามองดิฉันแล้วหันกลับ อีกคนไม่หันมาเลย ก็เลยคิดว่าคงยืนรอสั่งอาหารอยู่หน้าร้านนั้น แล้วสองคนนั่นก็ขยับขึ้นไปชิดหน้าร้านอาหาร คนก็เดินผ่านไปมา ดิฉันหันกลับไปอ่านต่อไปได้ หน้าที่สาม อยู่ดีๆ ก็วูบไปเหมือนเบลอ ยังรู้สึกตัวว่าเอ๊ะ เป็นอะไร เพราะร่างกายแข็งแรงดี แต่เมื่อแปดปีที่แล้วเคยโดนแบบนี้แล้วรู้สึกคล้ายกัน เลยลุกขึ้นและรีบเดินหลบไปอย่างเร็ว และเล่าให้แม่ฟัง


ครั้งล่าสุด เมื่อวานนี้ ไม่คาดคิดว่าจะเจอเหตุการณ์เช่นซํ้าอีกในเวลาใกล้เคียงกันขนาดนี้

ดิฉันลงทะเบียนร่วมสัมมนาเกี่ยวกับอุปกรณ์ทางวิศวกรรมที่ประชุมแห่งหนึ่ง งานเริ่มตั้งแต่แปดโมงเช้าถึงสี่โมงเย็น ดิฉันรับประทานอาหารเช้าก่อนออกจากบ้าน เดินทางไปคนเดียว ถึงที่ก็จอดรถและเดินอ้อมไปไกล ในที่ประชุมแบ่งออกเป็นสองส่วนคือ ส่วนห้องประชุม ซึ่งมีที่นั่งเรียงกันน่าจะประมาณร้อยกว่าที่หรือมากกว่านั้น ห้องค่อนข้างใหญ่และเปิดกว้างสําหรับบุคคลทั่วไปที่สนใจ และบริษัทที่เกี่ยวข้อง
ส่วนที่สองเป็นห้องถัดไปสําหรับบริษัทผู้ร่วมรายการอื่นๆ โดยภายในงานมีการร่วมสนุกชิงรางวัล ผู้คนเดินไปมาตามช่วงพักคั่นรายการ ไฮไลท์ที่ดิฉันอยากดูมากอยู่ช่วงเวลาบ่ายสองถึงบ่ายสาม ช่วงเช้าถึงเที่ยงก็ฟังเรื่อยๆ และออกไปทานข้าวก่อนประมาณครึ่งชั่วโมง พอกลับเข้ามาก็เดินเยี่ยมชมตามบูธต่างๆ มีให้แข่งร่วมสนุกชิง iPad มีของรางวัลอื่นๆ อีก ดิฉันก็ร่วมเล่นเกมส์ชิงโชคด้วย (จริงๆแล้วดิฉันก็เอา iPad ของสามีมา และเปิดไปด้วยตอนฟังบรรยาย) ส่วนใหญ่เขามากันเป็นกลุ่ม มีแต่ผู้ชาย แต่ดิฉันไปส่วนตัวคนเดียว พอใกล้จะเริ่มสัมมนาต่อในช่วงบ่าย ดิฉันกลับเข้าไปนั่งในห้องบรรยาย แต่คราวนี้เปลี่ยนไปนั่งหน้า เพราะที่นั่งเก่ามองไม่ชัดเพราะหัวคนบัง เห็นแถวสองว่างอยู่สามเก้าอี้ ดิฉันเดินไปนั่งและอ่านหนังสือที่เขาแจกในงานในประมาณ 10 นาทีได้ มีผู้ชาย เดินตัดหน้ามานั่งข้างๆ ทางขวา คือแถวที่นั่งทางซ้ายมือมีคนนั่งกันเป็นทีมเรียงอยู่ 4 -5 คนมาด้วยกัน และทางขวาก็มีคนนั่งอยู่ก่อนแล้ว 3-4 คน ที่เปลี่ยนที่มาใหม่คือดิฉันและผู้ชายคนนี้(ตอนนั้นไม่ได้สังเกตอะไร) พอผู้ชายคนนี้นั่ง ดิฉันได้กลิ่นแรงมากตอนนั้นคิดว่าเป็นกลิ่นน้ำหอม มันมีกลิ่นคล้ายมิ้นท์เย็นๆ เขานั่งยุกยิกไปมา โดยเอาหลังหันมาหาหน้าฉัน และขยับเสื้ออยู่ได้ มือเขาก็เคลื่อนไหวระหว่างขยับเสื้อไปมา ในใจยังคิดว่าผู้ชายคนนี้เป็นอะไรรึเปล่า รู้สึกอึดอัดเพราะโดนประชิดตัว ดิฉันหันหน้าหนีออกไปทางซ้ายเพื่อกลั้นหายใจ เพราะกลิ่นแรง พอเขาเริ่มนิ่ง ฉันก็นั่งฟังหันหน้ามาปกติ ยังจดจ่อกะที่วิทยากรพูดอยู่ จู่ๆจากนั้นไม่กี่วิ สมองเริ่มมึน หนักอึ้ง และช่วงท้องรู้สึกชาไปหมด เริ่มรู้สึกเหมือนไม่มีแรง รู้ทันทีว่าดิฉันกำลังตกเป็นเหยื่อ แต่ทําไมตอนนี้?? เวลาที่ทุกคนในห้องเงียบ ดิฉันพรวดลุกขึ้นและเปลี่ยนที่ไปนั่งแถวหน้าสุด ไม่ไกลจากเดิม ก็รู้สึกดีขึ้นนิดหน่อยพยายามสูดลมหายใจยาวๆ และตั้งใจฟัง แต่หัวสมองเริ่มไม่รับรู้อะไรแล้ว รู้แต่มองจอ projector แต่ไม่รับรู้ และหัวใจก็เต้นเร็วมากๆ จึงเริ่มกลัว หันไปมองข้างหลังอีกที ผู้ชายคนนั้นหายไปแล้ว ท้องยังชาอยู่ ฉันหันหน้ากลับไปใหม่ฟังวิทยากรพูด ก็ไม่รู้เรื่อง อีกสิบนาที เป็นอีกอาการมึนหัว ฉันหันไป ผู้ชายคนนั้นกลับมานั่งที่นั้น ทีนี้ฉันแน่ใจลุกพรวดขึ้นแล้ว ทุกคนในห้องก็เห็นฉันลุกขึ้นสองครั้งและหันไปหันมาผิดปกติ แต่ฉันไม่ไหวแล้วเดินไปบอกพิธีกรหญิง เล่าให้ฟัง คนในห้องนั้นคงงงว่าเกิดอะไร ออกมานอกห้องก็บอกทีมที่จัดสองสามคน ฉันพยายามอธิบาย ในใจรู้สึกกลัวมากเพราะเหตุการณ์ก่อนหน้านี้ ทั้งๆที่อยากอยู่ต่อฟังช่วงสาธิต และรางวัลชิงโชคในตอนท้าย แต่วินาทีนั้นกลัวมากๆ เพราะอยู่ท่ามกลางคนเยอะอย่างนั้น ไม่รู้ขบวนการคือใครบ้าง คนหวังดีเขาส่งยาดมให้ และบอกให้นั่งพัก คิดในใจ ถ้ากลับไป แล้วโดนมันเล่นงานอีกล่ะ ต้องกลับบ้านลูกเดียว ดิฉันขอร้องให้น้องผู้หญิงช่วยเดินไปส่งที่รถเป็นเพื่อน เธอก็เดินไป ตอนนี้ดิฉันอุ่นใจแล้ว แม้จะมึนอยู่ ท้องก็ยังชาอยู่เลย บอกน้องว่าส่งแค่นี้แหละ ลุยฝนไปเอารถ พออยู่ในรถ ฉันรีบล็อค และนั่งหายใจทบทวนเหตุการณ์ซักพัก ค่อยยังชั่วก็ขับออกไป พอรถติดโทรหาสามีได้ยินเสียงเค้าก็ปล่อยโฮออกมาเลย
ดิฉันคิดว่าที่ตกเป็นเหยื่อ เหตุคืออาจเป็นเพราะดิฉันมาคนเดียวตัวบอบบาง และคนร้ายสังเกตว่าดิฉันมีไอแพด ไอโฟน ใส่สร้อยข้อมือ (เส้นบางๆ) มีแหวนแต่งงาน (แบบเพชรเม็ดเล็กๆเรียงติดๆกัน) นิ้วนางข้างซ้ายหนึ่งวง
ที่ไม่เข้าใจคือ ทําไมคนร้ายเลือกปฏิบัติการตอนนั้น ระหว่างทุกคนนั่งเงียบ ไม่พลุกพล่าน? หรือเพราะกรณีที่ว่านี้ ดิฉันค่อนข้างถูกบังคับให้นั่งอยู่กับที่ ทุกคนนั่งเงียบฟังบรรยาย ไม่มีใครลุกเดิน เลยทำให้เบลอแล้วยังไงต่อ? แต่จําได้ว่าเขาไม่ได้ถูกตัว ได้แต่กลิ่นฉุนปะทะจมูก ตอนนั้นไม่ได้รู้สึกง่วงเลย แต่มึนเบลอ และชา กลับบ้านหลับตั้งแต่บ่ายสาม ตื่นมาทุ่มนึง

หลังเหตุการณ์นี่ ทําให้ดิฉันอยากเตือนเพื่อให้ทุกคนระวังตัวว่าเรื่องเหล่านี้มีอยู่จริง สามารถเกิดขึ้นได้กับทุกคน และโชคดีที่ดิฉันรอดพ้นเหตุการณ์เลวร้ายมาได้โดยไม่เสียทรัพย์สิน หรือถูกทําร้ายร่างกาย หลังจากครั้งแรกดิฉันระวังตัวมากขึ้น จากปกติที่เป็นคนระวังตัวอยู่แล้วเพราะแม่ชอบเตือนบ่อยๆ เวลามีข่าวแปลกๆ ดิฉันรับฟังด้วยความระมัดระวัง ครั้งที่สองและสามไม่คาดคิดเลยค่ะ ว่าจะเกิดตามมา เพราะดิฉันเลี่ยงไม่ขึ้นแท็กซี่แล้ว แต่กลับกลายมาเป็นว่าพื้นที่สาธารณะที่มีผู้คนเยอะๆ อะไรก็เกิดขึ้นได้ พวกคนร้ายกำลังก่อพิษให้กับสังคม

ดิฉันหวังเป็นอย่างยิ่งว่าซักวันจะมีการสืบค้นเบาะแสอย่างจริงจัง ยาพ่นยาป้ายพวกนี้มีการซื้อขายในมุมมืด เป็นสารเคมีที่ปกติใช้ทางการแพทย์แต่ถูกอาชญากรดัดแปลงนํามาใช้ผิดวัตถุประสงค์ เป็นเครื่องมือลงมือที่ทุ่นแรงอาชญากรอย่างมาก เพราะเป็นการตัดกำลังเหยื่อ เนื่องจากการเล็งเหยื่อที่ไม่ทันระมัดระวังสภาพแวดล้อม เหยื่อที่อยู่ตามลำพัง อาศัยช่วงที่เหยื่อไร้ความสามารถการระวังตัวเพื่อชิงทรัพย์ ยาป้ายยาพ่นพวกนี้หาซื้อได้ มีแหล่งขายเป็นหมวดหมู่ และหากอาชญากรปฏิบัติการล้มเหลวบ่อยครั้งขึ้น เหยื่อไหวตัวกันมากขึ้น การก่อเหตุแต่ละครั้งก็จะมีความเสี่ยงมากขึ้น การก่อเหตุในลักษณะนี้อาจลดลงหรือในทางตรงกันข้าม อาจมีการพัฒนาวิธีในรูปแบบอื่นต่อมา ซึ่งอย่างไรควรระแวดระวังรอบตัวเราไว้เป็นดี

อยากจะขอเตือนทุกท่านว่าหากสงสัยว่าเกิดเหตุการณ์กับตน คือ เริ่มมีอาการมึน เบลอ ชา ไร้สติกับตนแบบผิดสังเกต ให้คุณตีความในแง่ร้ายไว้ก่อนเพื่อป้องกันและหลีกเลี่ยงสถานการณ์อันเลวร้ายที่จะเกิดขึ้น พยายามหนีออกจากสถานการณ์นั้นอย่่างรวดเร็วที่สุด แล้วคุณจะปลอดภัย

ต้องขอโทษที่ยาวนะคะ เมื่อคืนนี้ดิฉันลองเสิร์ชหาข่าวกรณีที่ว่า และรู้สึกว่าคนที่คิดว่านี่คือเรื่องไม่จริง อาจจะเป็นได้ว่าถ้าคุณไม่โชคร้ายเจอกับตัว ก็ไม่มีวันรู้ แต่คนที่รู้แน่ๆ ก็คือ คนร้าย กับเหยื่อ ค่ะ

จากคุณ : Lovely Planet
เขียนเมื่อ : 18 ต.ค. 55 14:09:46 A:101.109.165.91 X: TicketID:378888




ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป



Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com