เธอออกไปอยู่กับญาติฝ่ายพ่อ ไม่เคยคิดจะมาอะไรกับครอบครัวเลยตลอดเวลา 5 ปี เวลาเธอเดือดร้อน ก็มีแต่พ่อนี้แหละที่คอยช่วยเหลือห่างๆ เธอไม่เคยถามข่าวและมาเยี่ยมพ่อและแม่ จะโทรหาพ่อก็ต่อเมื่อมีเรื่องเดือดร้อนเท่านั้น เรียกร้องเอานั้นเอานี้จากท่าน เธอได้เกือบทุกอย่าง และก็ไม่รู้จักดูแลในบางสิ่งที่ให้ ให้มอเตอร์ไซด์ไปขับ ก็ไม่รู้จักไปต่อทะเบียนรถ จนต้องตัดสินใจขายต่อให้คนอื่น ไปอยู่นอกบ้านก็เอาครอบครัวไปพูดเสียๆหายๆ จนชาวบ้านแถวนั้นเขาเอาเธอมานินทาทั้งคนที่ทำงานอยู่กับเธอที่สำนักงาน โดยเฉพาะเรื่องแม่ เธอไปป่าวประกาศว่าแม่ไม่รักเธอ รักแต่ลูกชายคนโตกับลูกสาวสุดท้องไปทั่ว และยังเรียกแม่ว่า อี่ หรือพ่อว่าคุณ มาตลอด 5 ปี จากคำบอกเล่าของญาติฝั่งพ่อและคนในสำนักงานที่เธอทำงานด้วยมาเล่าให้ฟัง ตอนที่เธอออกจากบ้านไปอยู่นอกบ้านเป็นเวลา 2 เดือนแรก เราก็ไปเยี่ยมญาติฝ่ายพ่อ และไปกราบขอโทษเธอ แต่เธอไม่รับไหว้ และเดินหนีไปทางอื่น หลังจากนั้นเราก็คิดแต่ว่าพี่สาวไม่ต้องการเรา เราเลยไม่อยากยุ่งเกี่ยวอะไรกับพี่สาวคนนี้อีก
เวลาผ่านไป 5 ปี กับอีก 3-4 เดือนต่อมาเธอได้กลับมาอยู่บ้าน เพราะถูกญาติฝั่งพ่อขับไล่ให้กลับมาบ้าน เพราะเธอสอบรับราชการได้ไปบรรจุอยู่กรุงเทพ เลยจะให้ญาติฝั่งพ่อและย่าเองส่งเสียตัวเองในช่วง 3 เดือนแรก จำนวน 30000-40000 บาท แต่คนที่เธอเรียกร้องไม่มีเงิน และญาติเองเขาเองก็มีลูกมีหลานที่ต้องรับผิดชอบเหมือนกัน เธอไม่มีทางไปเลยได้กลับมาอยู่บ้าน กลับมาพวกเราครอบครัวดีใจนึกว่าเธออยากกลับมาบ้าน เพราะอยากมา ไม่ใช่เหตุการณ์บีบบังคับ พาเธอไปเลี้ยงนั้นเลี้ยงนี้ และพาไปส่งถึงกรุงเทพ แต่พฤติกรรมที่เธอทำกับเราในช่วงกลับมาแรกๆ มันบอกว่าสิ่งที่เราคิดนั้น เราคิดผิดแล้ว เธอไม่เอาอะไรสักอย่าง ชวนกินก็ไม่กินด้วย พี่ชายซื้อของมาเลี้ยง ก็ไม่แตะต้อง เวลาผ่านไป 2 สัปดาห์ ถึงช่วงสงกรานต์เธอก็กลับมาบ้านแถมมาพูดทำนองว่าครอบครัวทำดีกับเธอเพราะประจบที่เธอได้งานทำมั่งคง แถมเขี่ยเนื้อย่างที่เราตักไว้ให้ทิ้งอีกตั้งหาก ในวันนั้นเราเลี้ยงเนื้อย่างเกาหลีกัน 3 พี่น้อง เราเกือบจะทะเลาะกัน แต่ก็ผ่านมันไปด้วยดี เวลาผ่านไป 6 เดือน แม่ไปเยี่ยมคุณย่าและญาติฝั่งพ่อ ทางญาติและคุณย่ามาเล่าสิ่งที่พี่สาวเราพูดในในช่วงหลังจากสงกรานต์ ให้แม่ฟังว่า พี่สาวคนนี้ยังคงพูดจาซ้ำซาก และเอาเราและพี่ชายไปพูดเยาะแกมซ้ำเติมพ่อแม่ให้ย่าและญาติฝั่งพ่อฟังว่า ลูกสาวลูกชายพ่อแม่เป็นยังไงละ ชีวิตสู้เธอไม่ได้สักคน เธอสอบได้ทำงานข้าราชการพลเรือน ส่วนลูกชายท่านก็สอบได้เป็นแค่ข้าราชการตำรวจ ส่วนลูกสาวก็เรียนหนังสือไม่จบ ซึ่งที่เธอพูดก็เป็นเรื่องจริง เรายอมรับว่าเราเรียน ป.ตรีไม่จบภายใน 4 ปี ต้องไปเรียนใหม่ไม่ต่ำกว่า 2 ปี เพราะตัวเองวางแผนเรียนหนังสือล้มเหลวเอง แต่ที่เราไม่เข้าใจทำไม รู้อยู่แก่ใจว่าเราแย่ แล้วทำไมไปพูดให้คนอื่นฟังแบบนั้น ไม่รู้ว่าพี่คนนี้เคยรักพี่-น้องตัวเองรึเปล่า ตลอดมาก่อนที่เธอจะถูกไล่ออกจากบ้าน เธอเองก็พูดบอกแม่ว่า ให้แม่ระวังว่าเรากับพี่ชายจะล้างผลาญพ่อกับแม่อยู่บ่อยๆ เราเข้าใจว่าเธออาจจะน้อยใจพ่อกับแม่ในบางเรื่อง แต่ทำไมจะต้องไปพูดให้แม่รู้สึกไม่ดีกับพี่น้องตัวเองด้วย
เธอกลับมาก็ยังดีค่ะ ที่เธอเลิกเถียงพ่อแม่ไม่เหมือนเมื่อก่อน และไม่พูดจาในลักษณะพี่-น้องทำลายหรือเกาะกินพ่อแม่จนตายต่อหน้าเราและพ่อแม่อีก แต่สิ่งหนึ่งที่เธอยังไม่เลิกพูดอยู่ดี คือการพูดลักษณะครอบครัวไม่รักตนเอง ครอบครัวทอดทิ้งเธอตลอด 5 ปี เราละอยากพูดสวนเหลือเกิน ว่าเธอเองก็ไม่ต่างกันหรอก มีอะไรก็วิ่งเข้าหาตาย่ากับญาติพี่น้องฝั่งพ่อ แต่กลัวทะเลาะจึงต้องอดทนฟัง และที่สำคัญคือเธอเองไม่อยากนับเรากับพี่ชายเป็นพี่น้องกัน เพราะต่อหน้าพวกเราก็เรียกอยู่หรอกว่า เป็นพี่น้องปกติ แต่ลับหลังก็เรียกพี่ชายตัวเองว่า บ่ เรียกเราซึ่งเป็นน้องสาวว่า อี่ จนแม่ถามว่าทำไมเรียกเราแบบนี้ เธอกลับโกหกแม่ว่า ลับหน้าแม่เราเรียกเธอพี่สาว แต่ลับหลังแม่เวลาพูดกับเธอเราเรียก อี่ ซึ่งความจริงมันไม่ใช่เลย
แต่พี่สาวเราไม่ใช่คนเลวร้ายนะค่ะ เธอยังมีอะไรบางอย่างในตัวที่ทำให้เราคิดถึงอยู่บ้างในบางเวลา แล้วถ้าเป็นคุณมีคนในครอบครัวลักษณะแบบนี้ จะวางตัวยังไง ทำตัวยังไงให้อยู่ด้วยกันไปนานๆและมีความสุขค่ะ